4 ม.ค. 2020 เวลา 23:00 • ประวัติศาสตร์
ชีวิตพระ
ตอนที่ ๓๖ สายสัมพันธ์ในอดีต ของพระสารีบุตร กับ พระเทวทัต
พระอัครสาวกทั้งสอง พาพระใหม่ผู้กลับใจ ที่เพิ่งบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันหมาดๆ ทั้ง ๕๐๐ รูป มาเข้าเฝ้าถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่วัดเวฬุวัน
การกลับมาของพระอัครสาวกทั้งสอง โดยมีพระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปแวดล้อมนั้น เป็นภาพที่ช่างงดงามนัก โดยเฉพาะพระสารีบุตร จะโดดเด่นเป็นสง่าที่สุด จนพระภิกษุที่อยู่ในวัดเวฬุวันเห็นแล้วอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเสนาบดี พี่ชายใหญ่ของข้าพระองค์ทั้งหลายอันภิกษุ ๕๐๐ แวดล้อมมาอยู่ งดงามเหลือเกิน ส่วนพระเทวทัตเป็นผู้มีบริวารเสื่อมแล้ว”
(หมายเหตุ คำว่า พระพุทธองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระธรรมราชา ด้วยเหตุนี้ พระสารีบุตรจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น พระธรรมเสนาบดี)
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรอันหมู่ญาติแวดล้อมมา ย่อมงดงาม แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็งดงามเหมือนกัน. ฝ่ายพระเทวทัตเสื่อมจากหมู่ญาติ ในบัดนี้เท่านั้นหามิได้ แม้ในกาลก่อนก็เสื่อมมาแล้วเหมือนกัน”
พระพุทธองค์ตรัส แล้วก็นิ่ง ไม่ตรัสอะไรต่อ ก็เป็นที่รู้กันของพระภิกษุทุกรูปว่า หากอยากทราบเรื่องราว Story ก็ต้องทูลอ้อนวอนให้พระพุทธองค์เล่าให้ฟัง ไม่งั้นพระองค์ก็จะนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
ไม่มีใครไม่อยากรู้ จึงทูลอ้อนวอนของให้พระองค์ตรัส พระองค์ก็ตรัสเล่าเรื่องในอดีตที่ได้ Intro ไว้ตอนต้น แต่การตรัสเล่าเรื่องของพระพุทธองค์ ไม่ใช่ธรรมดา สำนวนในอรรถกถา ใช้คำว่า
“พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุ อันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฎ”
ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ก็เหมือนกับเราเดินทางให้เร็วกว่าแสงเพื่อไปดูภาพเหตุการณ์ในอดีตนั่นแหละ แต่นี่ไม่ต้องเดินทาง เพราะพระองค์เอาภาพเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนั้น มาให้พระภิกษุสาวกของพระองค์ได้ดูกัน ... เห็นทั้งภาพ ได้ยินทั้งเสียง ด้วยพุทธานุภาพ
พระพุทธองค์ทำอย่างไร จะอธิบายพอให้ตามทันนะ เราลองนึกเหตุการณ์อะไรก็ได้สักอย่างที่ผ่านมาซิ ว่าเรานึกออกไหม จะสังเกตว่าเรานึกได้ทั้งภาพทั้งเสียงใ่ช่ไหม แต่เราไม่สามารถให้คนอื่นได้เห็นและได้ยินเสียงที่เรานึกอยู่ได้ เราจึงสื่อสารให้ผู้อื่นรับรู้ได้ด้วยการพูดให้ฟัง หรือ เขียนให้อ่าน
แต่พระพุทธองค์ฝึกสมาธิมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ยิ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วด้วย พลังจิตของพระองค์จึงมากมายมหาศาล เมื่อพระองค์ระลึกเหตุการณ์ในอดีต นอกจากพระองค์จะเห็นทั้งภาพได้ยินทั้งเสียงด้วยพระองค์เองแล้ว ยังสามารถเปิดใจให้ผู้อื่นได้เห็นภาพและได้ยินเสียงที่พระองค์ระลึกอยู่ได้ด้วย ด้วยเหตุนี้แหละโบราณจารย์ จึงใช้คำว่า “ทรงกระทำเหตุ อันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฎ”
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน พระพุทธองค์ทรงระลึกเหตุการณ์ในอดีตเมื่อครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นพญากวาง ปกครองบริวาร ๑,๐๐๐ ตัว อยู่ในป่าใกล้ที่นาของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
พญากวางมีลูกชาย (เพศผู้) ๒ ตัว ตัวพี่ชื่อ “ลักขณะ” ตัวน้องชื่อ “กาฬะ” เมื่อกาลเวลาผ่านไป พญากวางก็เข้าสูวัยแก่เฒ่าชรา จึงเรียกลูกทั้งสองตัวมาพบ แล้วแบ่งกวางบริวารให้ลักขณะ ๕๐๐ ตัว และให้ กาฬะ ๕๐๐ ตัว เท่าๆ กัน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงฤดูปลูกข้าวของชาวบ้าน ซึ่งกวางส่วนมากมักจะอดใจไปขโมยกินข้าวกล้าของชาวบ้านไม่ได้ ชาวบ้านจึงมักจะทำกับดัก หรือซุ่มฆ่าจับกวางไปทำเป็นอาหารเป็นประจำ
ซึ่งเมื่อถึงฤดูกาลนี้ พญากวางจะพาบริวารไปหลบภัยอยู่ที่หลังเขาแห่งหนึ่งในป่า เพื่อให้ห่างไกลจากพื้นที่ปลูกข้าว แต่ตอนนี้ได้มอบบริวารให้ลูกทั้งสองแล้ว จึงเรียกลูกทั้งสองมาพบ แล้วบอกให้พาบริวารไปที่หลังเขาแห่งนั้นที่พญากวางเคยพาไปเป็นประจำทุกปี เมื่อชาวบ้านถอนข้าวกล้าแล้วจึงค่อยกลับมา
กวางตัวพี่ ชื่อ ลักขณะ เป็นผู้มีปัญญา เพราะตอนที่ติดตามพญากวางไปหลังเขานั้น ก็สังเกตว่าพญากวางผู้เป็นพ่อ เดินเส้นทางไหน เวลาใด เช่น ไม่ผ่านหมู่บ้านซึ่งเป็นเส้นทางสะดวกแต่ตายง่าย ยอมไปเส้นทางรกแต่ตายยาก ไม่เดินทางตอนกลางวันหรือพลบค่ำที่มนุษย์ยังสามารถมองเห็นได้ ยอมเดินทางตอนเที่ยงคืน เพื่อไม่ให้มนุษย์คนใดเห็น ...
กวาง “ลักขณะ” ตัวพี่ จึงสามารถประคับประคองบริวารทั้ง ๕๐๐ ตัว ให้อยู่รอดปลอดภัยทั้งไปและกลับ
ส่วนกวาง “กาฬะ” ตัวน้อง ไม่เคยมีความช่างสังเกตเหมือนกวางตัวพี่ จึงไปเส้นทางสะดวกแต่ตายง่าย และชอบไปตอนกลางวัน เพราะคิดว่าเห็นทางสะดวกดี ตอนขาไปจึงถูกมนุษย์ดักซุ่มจับฆ่าตายไปประมาณครึ่งหนึ่ง ขากลับก็ยังทำเหมือนเดิม จึงถูกมนุษย์ดักซุ่มจับฆ่าตายไปอีกครึ่งหนึ่ง สรุป บริวารตายหมดไม่เหลือสักตัว
ตอนกวาง ๒ พี่น้อง กลับมาพบพญากวาง กวาง “ลักขณะ” ผู้พี่เดินนำบริวาร ๕๐๐ ตัวที่ตามหลังอย่างสง่างาม
ส่วนกวาง “กาฬะ” ผู้น้อง เดินกลับมาแบบ จ๋อยๆ ตัวเดียว
เหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ ทรงระลึกนั้น พระพุทธองค์เปิดใจให้พระภิกษุสาวก ได้เห็นและได้ยินตามไปด้วย เหมือนดูหนัง ๓ มิติอย่างนั้นแหละ แล้วพระองค์ก็สรุปว่า
กวาง “ลักขณะ” ตัวพี่ คือ อดีตชาติของพระสารีบุตร
กวาง “กาฬะ” ตัวน้อง คือ อดีตชาติของพระเทวทัต
กวาง บริวารทั้ง ๕๐๐ ตัว ที่รอดชีวิต คือ พุทธบริษัท ในบัดนี้
ส่วนพญากวาง คือ อดีตของพระพุทธองค์เอง
เรื่องนี้จึงทำให้ได้คำตอบหลายๆ เรื่องว่า
ทำไมพระสารีบุตร จึงมีความบริสุทธิ์ใจกับเทวทัต และยกย่องชื่นชมพระเทวทัตตลอด ดังที่เคยกล่าวไว้ในตอนที่ ๑๑ เพราะเคยเป็นพี่ชายที่รักน้องชายมาข้ามชาติ
ทำไมพระเทวทัต จึงริษยา พระสารีบุตร ดังที่เคยกล่าวไว้ในตอนที่ ๑๑ เช่นกัน ก็เพราะเคยริษยาพี่ชายมาข้ามชาติ ว่าดูแลปกครองบริวารได้ดีกว่าตน
ทำไมพระพุทธองค์ จึงส่งพระอัครสาวกทั้งสอง โดยเฉพาะพระสารีบุตร ไปตามพระใหม่ที่กำลังหลงผิด ดังที่กล่าวไว้ในตอนที่ ๓๕ กลับมา ก็เพราะท่านมีบุญเก่าที่เคยประคับประคองหมู่คณะข้ามชาติ และคาดว่า พระใหม่ทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น ก็คงจะมีส่วนหนึ่งที่เคยเป็นกวางบริวารของกวางลักขณะ
ทำไมพระเทวทัต จากที่เคยไม่ชอบพระสารีบุตร กลับมีความยินดีที่พระสารีบุตรมาหาที่สำนักตน ในตำบลคยาสีสะ ดังที่กล่าวไว้ในตอนที่ ๓๕ ก็เพราะว่าสายสัมพันธ์ของความเป็นพี่เป็นน้องยังมีกันอยู่ ไม่ได้จางหายไปโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น เรื่องราวในสังสารวัฏ หรือ การเวียนว่ายตายเกิดนั้น มันสลับซับซ้อนนัก บางอย่างเราจะตัดสินใจเพราะเพียงแค่ดูแต่ผลในปัจจุบันไม่ได้ ต้องพิจารณาถึงเหตุในอดีตด้วย เช่น คนบางคนเห็นตั้งใจทำความดี แต่ทำไมปัจจุบันไม่ “เฮง” เลย มีแต่ “ซวย” ซึ่ง ความจริง อาจจะไม่สมควรกับเหตุในปัจจุบัน (ที่ตั้งใจทำความดี) แต่สมควรกับเหตุในอดีต (ที่เคยทำชั่วในชาติก่อน) ก็เป็นได้
ขอกลับมาที่ ตำบลคยาสีสะ (ตอนที่ ๓๔ - ๓๕) เมื่อพระโกกาลิกะ เห็นพระอัครสาวกทั้งสอง พาพระภิกษุใหม่ทั้ง ๕๐๐ กลับไป ก็รู้สึกโกรธมาก ได้ไปปลุกพระเทวทัต ที่กำลังหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ให้ตื่นขึ้น
“พระอัครสาวกทั้งสอง พาพระภิกษุใหม่กลับไปหมดแล้ว ท่านไปดูสิ” พระโกกาลิกะบอกพระเทวทัต
พระเทวทัตลุกไปดู ก็ไม่เห็นพระภิกษุใหม่เหลืออยู่เลยแม้แต่รูปเดียว
"บอกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าไว้ใจพระสารีบุตร กับพระโมคคัลลานะ
พระโกกาลิกะพูดด้วยความโกรธ แสน โกรธ ... โกรธ มากๆๆ
“ความโกรธ” เป็นกิเลส ชนิดหนึ่ง ไหนๆ ก็เขียนเรื่องความโกรธแล้ว ตอนต่อไป ขอเขียนเรื่องกิเลส ๓ ตระกูลสักหน่อย เพื่อให้ผู้อ่าน มีความลึกซึ้งกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น ... จบตอนที่ ๓๖

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา