26 ม.ค. 2020 เวลา 01:19 • ประวัติศาสตร์
จื่อก้ง ยอดนักการทูต ผู้พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
จื่อก้งชำราญการเจรจา จึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งสิบอัครสาวกแห่งสำนักขงจื่อในหมวดวาทศิลป์ สำหรับส่วนนี้ ในหนังสือประวัติศาสตร์สื่อจี้ (史記) บทตำนานศิษย์ขงจื่อ (仲尼弟子列傳) ได้มีการบันทึกไว้เช่นนี้ว่า “จื่อก้งวาจาคมคายเพริศพลิ้ว ขงจื่อจึงมักตำหนิในเรื่องการโต้เถียงของจื่อก้งอยู่เสมอ” (《史記·仲尼弟子列傳》載:“子貢利口巧辭,孔子常黜其辯”) ทั้งนี้ ในหลุนเหิง (論衡) ก็ได้บันทึกเรื่องราวของจื่อก้งไว้เช่นนี้ว่า “หากถามท่านขงจื่อว่า จื่อก้งเป็นคนเช่นไร ขงจื่อก็ตอบว่า เป็นนักโต้แย้งที่เก่งกาจ ข้าเองยังสู้ไม่ได้” (論衡·書解》載:“或問於孔子曰:‘…子貢何人也?’曰:‘辯人也,丘弗如也’”)
แม้นการช่างเจรจาของจื่อก้ง อาจจะถูกขงจื่อตำหนิไปในทางลบอยู่บ้าง นั่นก็เพราะขงจื่อตำหนิจื่อก้งในแง่มุมด้านการเสริมส่งคุณธรรมให้จำเริญ แต่ในความเป็นจริงที่เป็นแง่มุมของทางโลกแล้ว ความช่างเจรจาของจื่อก้ง นับว่าได้สร้างคุณูปการไม่น้อยเลยทีเดียว นั่นก็คือผลงานการช่วยกอบกู้วิกฤตภัยคุกคามของเมืองหลู่ ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดเมืองนอนของขงจื่อนั่นเอง และการช่างเจรจาด้วยวิถีทางการทูตของจื่อก้งในครั้งนั้น ได้ทำให้เมืองหลู่มีความมั่นคง ส่วนเมืองฉีก็ประสบกับความวุ่นวาย เมืองอู๋กลับกลายเป็นพังพินาศ เมืองจิ้นมีความเข้มแข็ง และเมืองเยี่ยที่ขึ้นครองเป็นมหาอำนาจได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบปีเท่านั้น เรื่องราวนี้ได้ถูกบันทึกในในหนังสือประวัติศาสตร์สื่อจี้ (史記) บทตำนานศิษย์ขงจื่อ (仲尼弟子列傳) ดังนี้
เทียนฉาง (田常) แห่งเมืองฉีมีความคิดที่จะก่อการกบถ แต่มีความเกรงกลัวเกาเจาจื่อ (高昭子) กั๋วฮุ่ยจื่อ (國惠子) เปามู่ (鮑牧) และเยี่ยนอวี่ (晏圉) จึงแสร้งให้กองกำลังของทั้งสี่ออกไปโจมตีเมืองหลู่ ครั้นขงจื่อทราบข่าวก็กล่าวกับลูกศิษย์ว่า “เมืองหลู่เป็นเมืองมาตุภูมิ เมื่อชาติมีภัยเช่นนี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่คิดอ่านช่วยกอบกู้เล่า?” จื่อลู่ขออาสา ขงจื่อปฏิเสธ จื่อจังและกงซุนหลงขออาสา ขงจื่อไม่อนุญาต ครั้นจื่อก้งขออาสา ขงจื่ออนุญาตในทันที
จื่อก้งจึงออกเดินทางไปที่เมืองฉี และกล่าวกับเถียนฉางว่า “การที่ท่านจะทำการโจมตีเมืองหลู่ นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเมืองหลู่เป็นเมืองที่ตียาก เมืองหลู่เปราะบาง ที่ดินก็เล็กน้อย เจ้าเมืองก็โฉดเขลาไร้ความเมตตา ขุนนางผู้ใหญ่ก็มีแต่ความเสแสร้งและไร้ความสามารถ ส่วนประชาชนก็กลัวการทำสงคราม เมืองนี้จึงไม่ควรที่จะรณรงค์ทำสงคราม แต่เมืองอู๋นั้นเล่า กำแพงเมืองสูงใหญ่และแน่นหนา แผ่นดินมีความกว้างใหญ่ไพศาล เกราะศัตรายังใหม่และแข็งแรง บัณฑิตนักคิดอยู่ดีมีสุข กำลังทหารและศัตราวุธล้วนมีอยู่มากมาย ทั้งยังมีแม่ทัพนายกองที่เก่งกล้าอยู่คอยบัญชาการอีกด้วย ดังนั้นเมืองนี้จึงตีได้ง่ายแล”
ครั้นเถียนฉางได้ยินก็กล่าวขึ้นด้วยความโกรธว่า “ความยากที่เจ้ากล่าว คือความง่ายของคนอื่น ส่วนความง่ายที่เจ้ากล่าว กลับเป็นความยากของคนอื่น แล้วการที่ท่านมาแนะนำให้กับข้าเช่นนี้ แท้คืออะไรกันแน่?”
จื่อก้งกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่า หากความวิตกอยู่ที่ภายในก็ให้ทำศึกกับผู้ที่เข้มแข็ง หากความวิตกอยู่ที่ภายนอกก็ให้ทำศึกกับผู้ที่อ่อนแอ แต่บัดนี้ความวิตกของท่านอยู่ที่ภายใน ข้าทราบมาว่าท่านได้รับการแต่งตั้งอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกคัดค้านทุกครั้ง ทั้งเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง บัดนี้ท่านคิดที่จะโจมตีเมืองหลู่เพื่อขยายอาณาเขตเมืองฉี หวังชนะสงครามเพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่โปรดปรานแห่งเจ้าแคว้น ทำลายเมืองอื่นเพื่อสร้างบารมีต่อสมุนบริวาร หากผลงานท่านไม่เป็นที่ประจักษ์ นานวันเข้าท่านกับเจ้าแคว้นก็จะเริ่มเหินห่าง ดังนั้น การที่ท่านเอาใจเจ้าแคว้นที่เบื้องบน ตามใจขุนนางที่เบื้องล่าง เพื่อหวังให้สำเร็จสมประสงค์เช่นนี้ ข้าเห็นว่ายากนักแล เพราะการเอาใจนายนายก็จะเหิมเกริม ขุนนางมีความยโสก็จะเกิดการแย่งชิง ดังนั้นท่านก็จะมีรอยร้าวกับเจ้าแคว้นที่เบื้องบน และมีการแย่งชิงกับเหล่าขุนนางที่เบื้องล่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งของท่านที่เมืองฉีก็จะอันตรายแล จึงกล่าวว่ายังมิสู้โจมตีเมืองอู๋เสียดีกว่า หากตีเมืองอู๋ไม่สำเร็จ ประชาชนล้มตายที่นอกเมือง ขุนนางผู้ใหญ่ที่ภายในก็ว่างหาย เช่นนี้ท่านก็จะไร้ขุนนางที่เข้มแข็งคอยเป็นศัตรูที่เบื้องบน ไร้ประชาชนที่คอยโจมตีท่านที่เบื้องล่าง และก็คงเหลือแต่ท่านที่อยู่ข้างกายเจ้าแคว้นผู้โดดเดี่ยวและทำการปกครองเมืองฉีแล”
เทียนฉางกล่าวว่า “ช่างดียิ่งนัก แต่ทว่า ทัพของข้าได้ประชิดเมืองหลู่แล้ว หากให้เปลี่ยนโจมตีเมืองอู๋แทน ขุนนางก็จะสงสัยในตัวข้า จะให้ทำเช่นไรดี?”
1
จื่อก้งกล่าวว่า “ท่านจงพักทัพไว้อย่าเพิ่งทำศึก รอให้ข้าเจรจาด้วยอ๋องอู๋ เพื่อให้เมืองอู๋ช่วยหลู่ตีเมืองฉีก่อน ยามนั้นท่านก็มีเหตุผลยกทัพเข้าประจัญแล้ว” เทียนฉางเห็นดีด้วย จึงยอมให้จื่อก้งไปเจรจาด้วยเมืองอู๋ที่แดนใต้
จื่อก้งกล่าวว่า “กระหม่อมได้ยินมาว่า มหาราชจะมิยอมให้เมืองบริวารพังพินาศ มหาอำนาจย่อมไร้ไพรีที่เข้มแข็ง ด้วยแม้นสิ่งของจะหนักถึงพันชั่ง แต่หากเติมน้ำหนักแค่บาทสองบาทก็ยังมีโอกาสจะเคลื่อนย้ายได้ บัดนี้ เมืองฉีที่มีรถศึกถึงหมื่นคัน กำลังรุกรานเมืองหลู่ที่มีรถศึกแค่พันคัน นี่คือเมืองฉีกำลังแข่งรัศมีด้วยเมืองอู๋ กระหม่อมจึงรู้สึกกังวลถึงภยันตรายแทนพระองค์ยิ่งนักแล ทั้งนี้ การได้ช่วยเมืองหลู่ ก็จะยิ่งสำแดงกิตติศัพท์ท่านให้เกียงไกร การตีเมืองฉี จึงเป็นคุณอนันต์แล การที่จะสำแดงเดชเหนือเหล่าเจ้าแคว้นที่อยู่เหนือแม่น้ำซื่อสุ่ย พระองค์ทรงโจมตีเมืองฉี ก็จะสามารถสยบเมืองจิ้นให้ยำเกรง ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์มหาศาลยิ่งนักแล ภายนอกคือช่วยพยุงเมืองหลู่ที่อ่อนแอ แต่ความจริงคือการกำราบเมืองฉีที่เข้มแข็ง นี่คือสิ่งที่ผู้ทรงปัญญาไม่ควรจะสงสัยเลยแล”
เจ้าแคว้นอู๋ตรัสว่า “ประเสริฐยิ่งนัก แต่ทว่า ข้าเคยรบด้วยเมืองเยี่ย ทัพเยี่ยจึงหลบลี้ที่กุ้ยจี อ๋องเยี่ยกัดฟันหล่อเลี้ยงขุนทหาร มีจิตคิดล้างแค้นด้วยข้า ท่านจงรอให้ข้ากำราบทัพเยี่ยลงก่อน แล้วค่อยทำตามแผนการของท่านดีไหม?”
จื่อก้งกราบทูลว่า “กำลังของเมืองเยี่ยสู้เมืองหลู่มิได้ ส่วนกำลังเมืองอู๋ก็สู้เมืองฉีไม่ได้ หากพระองค์ทรงพักตีเมืองฉีและไปตีเมืองเยี่ยแทน ยามนั้นเมืองฉีก็คงทำลายเมืองหลู่ไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่กำลังเป็นโอกาสที่พระองค์จะทรงมีความชอบธรรมในการกอบกู้และสืบสานเมืองที่พินาศ หากพระองค์ทรงทำการตีเมืองเยี่ยและกลัวเมืองฉีที่เข้มแข็งแทน นี่มิใช่ความกล้าหาญแล อันว่าผู้กล้ากหญจะไม่ระย่อต่อความลำเค็ญ ผู้ทรงความเมตตาจะไม่เสียเกียรติในยามจนตรอก ผู้ทรงปัญญาจะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย มหาราชาจะไม่ตัดโค่นเมืองอ่อนแอให้พินาศ ทั้งนี้เพื่อธำรงคงไว้ซึ่งคุณธรรมให้เกริกไกร การที่พระองค์ทรงรักษาเมืองเยี่ยไว้ก็คือการสำแดงเมตตาธรรมให้ประจักษ์แก่ทุกแว่นแคว้น การตีเมืองฉีเพื่อกู้เมืองหลู่ ก็คือการสำแดงเดชให้เมืองจิ้นได้ยำเกรง ยามนั้นเหล่าแคว้นน้อยใหญ่ก็จะถวายบรรณาการที่เมืองอู๋ กิจแห่งมหาอำนาจก็จะบรรลุสมประสงค์ได้เป็นแน่แท้ แต่หากพระองค์ทรงกังวลเรื่องแคว้นเยี่ย กระหม่อมก็จะขอพระอนุญาตไปเจรจาด้วยอ๋องเยี่ย ให้ทรงยกกำลังสมทบด้วยเมืองอู๋ ยามนั้นเมืองเยี่ยก็จะว่างเปล่า ทั้งยังชื่อว่าได้ติดตามเหล่าทัพตีเมืองฉีเพื่อผดุงความยุติธรรมแล” ครั้นเจ้าแคว้นอู๋ทรงสดับก็เปรมปรีดิ์ยิ่ง จึงอนุญาตให้จื่อก้งไปเจรจาด้วยเมืองเยี่ย
อ๋องเยี่ยทรงสั่งแผ้วทางออกต้อนรับที่ชานเมือง เสด็จยังเรือนรับรองแล้วทรงถามว่า “ในบ้านป่าเมืองเถื่อนเยี่ยงนี้ ไฉนท่านจึงลดตัวมาเยือนแต่ไกลด้วยเล่า?”
จื่อก้งทราบทูลว่า “กระหม่อมได้เจรจาให้อ๋องอู๋ตีเมืองฉีเพื่อช่วยเมืองหลู่ พระองค์ทรงตั้งพระทัยตามนั้น หากแต่ทรงเกรงเมืองเยี่ยที่ซุ่มอยู่ พระองค์จึงตรัสว่าจะตีเมืองเยี่ยก่อนแล้วค่อยดำเนินตามนั้น หากเป็นเช่นนี้ เมืองเยี่ยต้องพินาศเป็นแน่แท้ ทั้งนี้ หากไร้ใจที่จะแก้แค้นแต่กลับทำให้เขาเกิดความระแวง นี่คือความเขลาแล หากมีใจแก้แค้นแต่กลับแพร่งพรายให้เขาได้รับรู้ นี่คือความวินาศแล เรื่องยังไม่เกิดแต่ทำให้ระแคะระคาย คือความอันตรายแล สามสิ่งนี้ คือสามข้อควรวิตกแห่งการก่อการแล”
อ๋องเยี่ยพระนามว่าโกวเจี้ยนทรงรีบก้มกราบอีกครั้ง พร้อมทั้งตรัสว่า “ข้ามิประเมินกำลังตน จึงได้ทำศึกด้วยทัพอู๋ สุดท้ายต้องมาหลบลี้ที่กุ้ยจี ความเจ็บปวดครั้งนี้ลึกเข้าไขกระดูก ทั้งวันและคืนปากคอแห้งผาก จนอยากจะขอตายร่วมกับอ๋องอู๋เลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่ข้าหวัง”
ครั้นแล้วก็ทรงถามจื่อก้ง จื่อก้งตอบว่า “อ๋องอู๋ทรงเป็นอ๋องที่โหดร้าย เหล่าขุนนางก็เหลือที่จะทน อีกทั้งประเทศชาติก็เที่ยวทำศึกไปทั่ว บัดนี้ขวัญทหารสุดที่จะทานทนได้แล้ว ประชาชนทุกข์ระงม ขุนนางผู้ใหญ่ซ่องสุมคอยคิดคด ขุนนางผู้ซื่อตรงนามว่าจื่อซวียอมทัดทานด้วยความตาย ส่วนมหาอำมาตย์นามว่าผี่ บัดนี้เป็นผู้ครองอำนาจบริหาร ก็เอาแต่ประจบเอาใจนายเพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตน นี่คือการเมืองที่กัดกร่อนชาติแล
“หากท่านอ๋องส่งกำลังสมทบเพื่อยุใจให้ฮึกเหิม มอบกำนัลมีค่าเพื่อเอาใจให้ร่าเริง ใช้จาจาอ่อนน้อมเพื่อยกยอในฐานะ เชื่อว่าเขาต้องตีเมืองฉีเป็นแน่แท้ หากว่าศึกเมืองฉีไม่ชนะ ก็นับว่าเป็นวาสนาของท่านอ๋อง แต่หากว่าชนะ เขาจะต้องยกทัพขึ้นตีเมืองจิ้นต่อ ขอให้ท่านอนุญาตข้าขึ้นเหนือไปเจรจาด้วยเมืองจิ้น เพื่อชักชวนให้เขาร่วมตีเมืองอู๋ เมืองอู๋จะต้องอ่อนแอเป็นแน่แท้ หากยอดขุนพลล้มตายที่เมืองฉี ทัพศัตราที่แข็งแกร่งถูกรั้งไว้ที่เมืองจิ้น แล้วท่านอ๋องฉวยโอกาสในยามที่อู๋เหนื่อยล้า เชื่อว่าจะต้องชนะเป็นแน่แท้”
ครั้นอ๋องเยี่ยได้ทรงสดับก็ปีติยินดียิ่ง จึงรีบรับปากจื่อก้ง พร้อมทั้งทรงประทานทองคำร้อยอี้ กระบี่วิเศษหนึ่งเล่ม และหอกเนื้อดีอีกสองด้าม จื่อก้งปฏิเสธ แล้วเดินทางต่อไปทันทีที่เมืองจิ้น
จื่อก้งทูลรายงานอ๋องอู๋ว่า “กระหม่อมได้นำพระบรรหารของพระองค์ทูลให้อ๋องเยี่ยได้ทรงทราบ อ๋องเยี่ยทรงตระหนกตกพระทัยยิ่ง ตรัสว่า ‘ข้าช่างโชคร้ายยิ่งนัก ด้วยกำพร้ามาแต่เยาว์ ทั้งก็ยังไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ทำการล่วงเกินเมืองอู๋ จนต้องทัพพ่ายสบความอัปยศ รนรานซ่อนตัวที่กุ้ยจี แลมหาธานีวิปริตเป็นเมืองร้าง แต่เพราะได้รับความเมตตาจากท่านอ๋อง จึงทำให้มีโอกาสได้บูชาบรรพบุรุษ ได้บูรณะศาลบรรพชน พระคุณนี้แม้นตัวตายก็มิลืม แล้วไยจึงกล้ามีความคิดก่อการใดๆ ได้เล่า?’ ”
ต่อมาอีกห้าวัน เมืองเยี่ยได้แต่งอำมาตย์เป็นราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี ราชทูตได้บังคมก้มกราบว่า “กระหม่อมเหวินจ่ง ราชทูตแห่งตงห่ายในอ๋องโกวเจี้ยน ขอน้อมผูกสัมพันธไมตรีแด่ขุนนางน้อยใหญ่ ด้วยได้ทราบมาว่าท่านไต้อ๋องทรงมีพระดำริกรีธาพลผดุงธรรม บำราบเมืองพาลประดุงเมืองเล็ก ล้อมกรอบเมืองฉีทรชาติ เพื่อผดุงราชสำนักโจว จึงขอน้อมส่งพลทหารสามพัน แลขอร่วมสวมเกราะนำทัพด้วยองค์ เพื่อร่วมรับคมหอกศัตราอยู่เบื้องหน้า ด้วยการนี้ ท่านอ๋องโกวเจี้ยนในนามเมืองเยี่ยที่ต่ำต้อย ได้ทรงขอพระอนุญาตถวายธนสมบัติแห่งบรรพบุรุษ พร้อมด้วยเกราะศัตรายี่สิบชุด ขวานและหอก กระบี่ปู้กวง เพื่อเป็นขวัญบรรณาการแห่งกองทัพ”
อ๋องอู๋ทรงปีติยินดียิ่ง จึงตรัสกับจื่อก้งว่า “อ๋องเยี่ยจะขอร่วมทำศึกกับข้าเพื่อปราบเมืองฉี คิดว่าควรหรือไม่?”
จื่อก้งกราบทูลว่า “ไม่ควร เพราะการทำให้ชาติอื่นว่างเปล่า เกณฑ์กำลังพลเขาจนเหือดแห้ง ทั้งยังให้เจ้าเมืองเขาร่วมทัพไปด้วยอีก นี่คือการไร้คุณธรรม ทางที่ควรคือพระองค์ทรงรับซึ่งเครื่องบรรณาการ อนุญาตให้กองทัพร่วมศึก หากแต่ปฏิเสธอ๋องเมืองเยี่ยร่วมศึกด้วย” อ๋องอู๋ทรงเห็นชอบ จึงได้ขอบพระทัยและปฏิเสธในน้ำพระทัยในอ๋องเยี่ย ครั้นแล้วจึงทรงบัญชาทัพทั้งเก้าเข้าโรมรันด้วยเมืองฉี
ต่อมาจื่อก้งจึงเดินทางไปที่เมืองจิ้น แลกราบทูลอ๋องจิ้นว่า “กระหม่อมได้ยินมาว่า ดำริยังมินิ่งมิอาจรับความฉับพลัน พิชัยยุทธยังมิตรองจะมิอาจปราบไพรี บัดนี้เมืองฉีและเมืองอู๋กำลังจะทำศึก หากว่าทัพอู๋พ่าย เมืองเยี่ยจักได้ทีเข้าจู่โจม หากทัพอู๋มีชัย ก็จักยกทัพตีเมืองจิ้นเป็นแน่แท้”
อ๋องจิ้นตกพระทัยยิ่ง จึงตรัสว่า “แล้วจะทำเช่นไรดี?”
จื่อก้งกราบทูลว่า “จงตั้งทัพเตรียมพลให้พรักพร้อม” อ๋องจิ้นทรงเห็นด้วย
จื่อก้งเดินทางกลับเมืองหลู่ ปรากฏว่าอ๋องอู๋ได้ทำศึกด้วยทัพฉีที่ไอหลิง และมีชัยเหนือทัพฉีได้อย่างเด็ดขาด ทัพอู๋กุมตัวเจ็ดแม่ทัพแห่งทัพฉีและยังไม่กรีธาทัพกลับ หากแต่ยาตราทัพตรงไปที่แคว้นจิ้น ทัพอู๋และจิ้นประจันกันที่ทางเหนือของหวงฉือ สองทัพเข้าชิงชัย ทัพอู๋แพ้พ่าย
ครั้นอ๋องเยี่ยทราบข่าว ก็ยกทัพข้ามน้ำเข้าตีเมืองอู๋ ทัพเยี่ยตั้งทัพห่างจากเมืองอู๋แค่เจ็ดลี้ ครั้นอ๋องอู๋ทราบข่าว ก็รีบยกทัพกลับเมืองอู๋ในทันที ทัพอู๋ประจัญบานกับทัพเยี่ยที่อู่หู รบสามครั้งก็มิอาจชนะ สุดท้ายกำแพงเมืองแตก ทัพเยี่ยเข้าล้อมวังหลวง สังหารอ๋องอู๋และอำมาตย์ หลังตีเมืองอู๋ได้สามปี ทัพเยี่ยก็ได้กลายเป็นมหาอำนาจแห่งบูรพา
ดังนั้น เพียงจื่อก้งออกโรง ก็กู้หลู่ วุ่นฉี พังอู๋ เสริมจิ้น และหนุนเยี่ย เพียงจื่อก้งเจรจาด้วยวิถีทางการทูต สถานการณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนผัน ในห้วงเวลาเพียงแค่สิบปี เมืองทั้งห้าก็เปลี่ยนไปจากเดิม
โฆษณา