I sang a lullaby ที่ชั้นร้องเพลงกล่อมเธอทั้งๆที่ไม่มีเธออยู่ด้วยกันตรงนี้ ก็เพราะชั้นคิดถึงเธอครับ เพราะถ้าเธอไม่ได้อยู่ห่างกันถึงคนละฟากฟ้า เธอก็คงนอนฟังชั้นร้องเพลงกล่อมอยู่ด้วยกันตรงนี้ ตรงนี้เจ็บปวดมากครับโดยเฉพาะสำหรับใครที่คิดถึงคนที่ล่วงลับไปแล้ว คิดถึงแล้วก็อยากจะทำอะไรที่เคยทำด้วยกันอีกซักครั้ง ตรงนี้มองอารมณ์ออกใช่มั้ยครับ ถึงแม้ในเพลงจะสื่อว่าเค้าไม่ได้ล่วงลับจากกัน เพราะคนนึงอยู่อเมริกาส่วนอีกคนอยู่อัมสเตอร์ดัม แต่ในหนังเค้าก็ล่วงลับจากกันจริงๆ (ขออภัยที่สปอล์ย ^^') แต่ถึงจะเป็นคนละสถานที่ในโลก แต่ลักษณะของความหมายก็ใช้สื่อถึงการล่วงลับไปแล้วได้เช่นกันครับ อเมริกาเป็นโลกนึง อัมสเตอร์ดัมก็เป็นอีกโลกนึง
Day and Night
You're on the other side เธออยู่อีกฝาก as the skyline splits in two ที่ฟากฟ้าถูกแยกออกเป็นสอง แปลแค่นี้มันยังไม่จบครับ ที่ฟากฟ้าแยกเป็นสอง ต้องดูตามรูปข้างบนครับ เพราะจะเห็นว่ามันถูกแยกให้เป็นกลางวันกับกลางคืน ดังนั้นสถานการณ์ของคนที่กำลังนั่งร้องเพลงนี้อยู่คือเค้าอยู่ในอเมริกาช่วงกลางคืน ถึงได้นั่งมองดูจันทร์ ถึงเห็นดวงจันทร์ได้เพราะเป็นกลางคืน ในขณะที่อีกคนในเวลาเดียวกันนี้อยู่ไกลถึงอัมสเตอร์ดัมซึ่งเป็นกลางวัน จึงไม่น่าจะมองเห็นดวงดาวแน่ๆเพราะยังสว่างอยู่เลยครับ
Miles away from seeing you จึงไม่ได้แค่ไกลจากกันเป็นไมล์ๆธรรมดา แต่ไกลโขครับ ไกลมากๆคนละซีกโลก ถึงขนาดฟ้าของคนนึงมืดแต่ฟ้าของอีกคนนึงสว่าง ผู้ร้องเพลงเลยบอกว่าตอนนี้ชั้นนั่งดูจันทร์ (กลางคืน) เห็นหมู่ดาว (but I can see the stars) จากอเมริกาที่ชั้นอยู่ตรงนี้ เห็นดาวตก (shooting star) แล้วคิดถึงเธอ ซึ่งเราอาจจะเคยได้นั่งมองจันทร์ข้างริมธาร (waterside) ด้วยกัน เห็นดาวตกแล้วก็เคยร้องเพลงกล่อมกันมาก่อน พอมาเห็นอีกครั้งซึ่งตอนนี้อยู่คนเดียวก็เลยระลึกถึงเลยร้องเพลงกล่อมให้เธออีกครั้งทั้งๆที่เธอไม่อยู่แล้ว อารมณ์ประมาณนี้ครับ แล้วก็เลยคิดว่าเธอจะเห็นดาวเหมือนกับชั้นตอนนี้มั้ยนะ แต่เวลาของเธอน่าจะเป็นช่วงกลางวัน
ก็เลยบอกให้ลืมตามองดู (open your eyes and see) ตรงเส้นขอบฟ้า (horizon) ที่ขอบฟ้าของเราบรรจบกัน ก็กลับไปดูตามรูปข้างบนครับ ที่ขอบฟ้าของคนนึงเป็นกลางคืน กับของอีกคนเป็นกลางวัน ส่วนที่เป็นกลางวันยังสว่างจึงไม่เห็นดาว แต่ในส่วนของกลางคืนยังมืดอยู่พอจะเห็นดาว ก็เลยให้อาศัยเอาแสงจากดาว (all the lights) ที่ยังเห็นอยู่ตามเส้นขอบฟ้านั้นเป็นเส้นนำส่องลงมา (lead into the night) ยังชั้นที่นั่งชมจันทร์ข้างลำน้ำคิดถึงเธออยู่ตรงนี้
And I know these scars will bleed ถ้าให้แปลตรงตัวจะได้ว่า "และชั้นรู้ว่าแผลเป็นเหล่านี้จะมีเลือดซึมออกมาอีกครั้ง" scars คือแผลเป็นซึ่งก็คือแผลที่หายแล้วครับ ตอนที่ยังเป็นแผลสดมันจะเจ็บปวดมาก แต่เมื่อมันหายแล้วเราก็ไม่เจ็บแล้วครับ แต่มันทิ้งรอยเอาไว้ เราจำได้ว่าว่ามันเคยเป็นแผลเพราะอะไร เคยเจ็บเพราะอะไร แต่ตอนนี้มันไม่เจ็บแล้ว มันหายแล้ว scars ตรงนี้สื่อย้อนไปถึงความเจ็บปวดจากการพลัดพรากกันที่เค้าต้องแยกห่างจากกันต้องคิดถึงกันครับ เราคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าคนที่ผูกพันธ์กันรักกันแล้วไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้น การคิดถึงกันมันทรมานขนาดไหน ดังนั้นตอนนี้เค้าแยกจากกันไปแล้ว คนนึงอยู่อเมริกา คนนึงอยูอัมสเตอร์ดัม เคยเจ็บปวดจากการแยกจากกัน จากความคิดถึงกัน จนยอมรับได้แล้ว จนทำใจได้แล้ว จนหายเจ็บและกลายเป็นแผลเป็นแล้ว (ลองนึกถึงความเจ็บปวดจากการคิดถึงคนที่ล่วงลับไปแล้วนะครับ) แต่การให้เธอมองมาที่เส้นขอบฟ้าแล้วใช้แสงจากหมู่ดาวนำทางกลับมาหาชั้นอีกครั้งเพราะความคิดถึงจะเหมือนกับเป็นการสะกิดแผลเป็นนี้อีกครั้งครับ ซึ่งมันจะเจ็บปวดมากจนทำให้แผลเป็นนี้ต้องมีเลือดซึมออกมาได้อีกครั้ง
I can hear your heart on the radio beats ตรงนี้เป็นเหตุการณ์คล้ายๆท่อนแรกครับที่เค้ามองจันทร์เห็นดาวตกแล้วคิดถึงเธอ คราวนี้ได้ยินเสียงเพลง Chasing car จากวิทยุแล้วนึกถึงเธอเพราะมันเป็นเพลงแห่งความประทับใจ มันเป็นเพลงของเรา มันเป็นเพลงในเหตุการณ์ที่ทำให้ชั้นต้องหลงรักเธอ (I looked across and fell in love) มันเลยมีความหมายมาก ชั้นเหมือนได้ยินเสียงหัวใจเธอดังมาจากจังหวะเพลงด้วยซ้ำ (your heart . . . . beats) มันเลยทำให้ชั้นนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์นั้น ตอนที่เธอนอนอยู่ข้างๆชั้นฟังเพลงนี้ด้วยกัน (you were lying next to me)
ภาษาอังกฤษตรงนี้มี trick นิดหน่อยครับ ถ้าเราแปลตรงๆจาก I can hear your heart from the radio beats ตรงๆเลยอาจจะงงได้ แต่ถ้าเราเอามือปิดตั้งแต่ตรงคำว่า from จนถึง radio เราก็แปลได้ง่ายๆแล้วครับ I can hear your heart beat ซึ่งได้ยินมาจากวิทยุ (from the radio) ซึ่งเป็น beats จังหวะของเพลง chasing car
So I took your hand ชั้นเลยจูงมือเธอ ถ้าเรามองเป็นฉากของสถานการณ์ก็คือจูงมือเดินนั่นแหล่ะครับ เดินฝ่าน้ำค้าง (dew) และแสงไฟจากโคมไฟส่องทางข้างถนน (lamp lit street) ตรงนี้เราจะสังเกตเห็นการ setup context อีกครั้งของเพลงครับ เค้าพยายามสร้างฉากของเหตุการณ์ให้เราซึ่งเป็นผู้ฟังเข้าใจฉากนี้ ถ้าให้ผมมโนฉากนี้ (ยากกว่าฉากแรกที่นั่งมองจันทร์ข้างลำน้ำหน่อยนึง) ให้คุณเห็นก็จะประมาณนี้ครับ เค้าทั้งคู่คงนอนฟังเพลง chasing car อยู่ด้วยกันตอนกลางดึก (จนอาจจะถึงใกล้เช้า เพราะต้องเดินฝ่าน้ำค้าง) ในสวนที่ไหนซักแห่งที่อยู่ติดถนน (หรือนอนเล่นข้างถนน) มีโคมไฟส่องทางสาธารณะด้วย ฉากก็จะประมาณนี้ครับ ซึ่ง everything led back to you ก็เลยหมายถึงว่า ไม่ว่าชั้นเห็นอะไรมันก็พาให้คิดถึงเธอไปได้ซะทั้งหมด
เนื้อเพลงบางเนื้อจะมีคำว่า Lambert street เข้ามานะครับ ฟังเพลงดูอาจจะเหมือนว่าร้องเช่นนั้นจริง แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่นะครับเพราะมันแค่คล้าย ถ้าลอง google เพิ่มอีกหน่อยจะทราบว่า Lambert street เป็นถนนในท่าอากาศยานใน St. Louis ครับ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันกับ TFIOS เพราะฉากของหนังเกิดขึ้นที่ Indianapolis และ Amsterdam ครับ
แล้วทีนี้ก็ดึงกลับมาสู่ฉากปัจจุบันที่ข้างริมน้ำอีกครั้งแล้วถามว่า can you see the stars over Amsterdam เธอเห็นดวงดาวที่ท้องฟ้าเหนืออัมสเตอร์ดัมที่เธออยู่ตอนนี้มั้ย แล้วได้ยินเสียงเพลงของตัวเธอที่หัวใจของชั้นใช้เต้นอยู่นี้รึเปล่า? หมายความว่า หัวใจของชั้นที่เต้นอยู่ตอนนี้ ถ้าการเต้นหมายถึงต้องมีจังหวะเสียงเพลงล่ะก็ เพลงเพลงนั้นคือเธอ ซึ่งแน่นอนว่าเธอมองไม่เห็นดวงดาวหรอก เพราะฟากฟ้าของเธอเป็นเวลากลางวัน ดังนั้นก็เลยบอกให้เธอมองดูตรงเส้นขอบฟ้าอีกครั้ง เพื่อให้แสงดาวที่ขอบฟ้านำเธอกลับมาหาชั้นในฟากฟ้ากลางคืนตรงนี้
But both of our hearts believe all of these stars will guide us home ก็ตรงตัวครับ