4 ก.พ. 2020 เวลา 04:05 • ปรัชญา
#1 เล่ม 1 บทที่ 1 หน้า 31 ~ 38
*** นี่คือบทที่มีสำคัญที่สุดในหนังสือชุดนี้ (3เล่ม) มันเป็นต้นทางของทุกสิ่งที่หนังสือชุดนี้ได้กล่าวถึง เพราะถ้าคุณพอเข้าใจ ส่วนที่เหลือของหนังสือคุณก็จะเข้าใจมันได้มากขึ้น แต่ถ้าไม่ ส่วนที่เหลือของหนังสือก็จะกลายเป็นหนังสือ How to อีกเล่ม ที่พอคุณอ่านจบคุณก็คงคิดว่าดีนะ แล้วคุณก็คงวางมันทิ้งไว้แบบนั้นเหมือนหนังสือเล่มที่ผ่านๆมา และมันก็ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนอะไรในชีวิตคุณ
อ่านแล้วก็ขบคิดพิจารณาและจงสังเกตตัวเองกันให้ดีครับ และได้โปรดอย่าอ่านเพียงแค่ผ่านๆเท่านั้น
สิ่งสำคัญจริงๆในที่นี้ไม่ใช่เรื่องราวของนีลเพียงคนเดียว หากเป็นเรื่องของคุณ เรื่องราวในชีวิตคุณเองที่พาคุณมาที่นี่ ประสบการณ์ชีวิตส่วนตัวของคุณเองนั่นแหละที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้ ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มาอยู่ตรงนี้ ขณะนี้ กับหนังสือเล่มนี้ และพระเจ้าไม่ได้สื่อสารกับนีลเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่พระองค์สื่อสารกับพวกคุณทุกคนด้วย...
5
นีล : พระเจ้าพูดอย่างไร? และกับใครครับ?
พระเจ้า : ฉันพูดกับทุกคนตลอดเวลา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันพูดกับใคร แต่อยู่ที่ว่า "มีใครฟังบ้าง?"
4
N : มันหมายความว่าอย่างไรครับ? ช่วยขยายความให้หน่อย
G : ก่อนอื่น ลองเปลี่ยนคำว่า "พูด" เป็น "สื่อสาร" ดู เพราะเป็นคำที่ดีกว่า ถูกต้องและตรงเต็มความหมายมากกว่า เมื่อเราพยายามจะพูดคุยกับใครซักคน ฉันพูดกับเธอหรือเธอพูดกับฉัน เราต่างถูกกำหนดด้วย "ข้อจำกัดอันเหลือเชื่อ" ของภาษาในทันที
2
ดังนั้นฉันจะไม่สื่อสารกับเธอ "ผ่านถ้อยคำ" เพียงอย่างเดียว จริงๆแล้วฉันทำอย่างนั้นน้อยมาก รูปแบบปรกติที่สุดที่ฉันใช้สื่อสารกับเธอก็คือ "ผ่านทางความรู้สึก"
2
"ความรู้สึกคือภาษาของจิตวิญญาณ"
8
หากอยากจะรู้ว่าอะไร "จริง" สำหรับเธอละก็ จงดูว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งนั้น
3
บางครั้ง "ความรู้สึก" ก็ยากจะค้นพบและมักยากขึ้นไปอีกที่จะยอมรับ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกลึกสุดนั้นเองคือ "ความจริงสูงสุดของเธอ"
สิ่งสำคัญคือ เข้าถึงความรู้สึกลึกสุดนี่ให้ได้ ฉันจะบอกวิธีให้ถ้าเธอปรารถนาจะรู้...
N : ผมปรารถนาที่จะรู้ครับ และอยากได้คำตอบมากกว่านี้สำหรับคำถามแรก*ด้วยครับ
[* พระเจ้าพูดอย่างไรและกับใคร ~ แอดมิน]
G : นอกจากความรู้สึกแล้ว ฉันยังสื่อสารผ่าน "ความคิด" ด้วยความคิดและความรู้สึกไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แม้จะเกิดขึ้นได้พร้อมกัน
3
ในการสื่อสารผ่านความคิดฉันมักใช้จินตภาพ หรือมโนภาพประกอบ ฉะนั้นในฐานะเครื่องมือสื่อสารแล้ว ความคิดจึงมีพลังมากกว่าคำพูดล้วนๆ
1
นอกจากความรู้สึกและความคิด ฉันยังใช้ "ประสบการณ์" เป็นพาหะสื่อสารอันทรงพลังอีกด้วย
3
และสุดท้ายหากความรู้สึก ความคิด รวมทั้งประสบการณ์ต่างก็ไม่ได้ผล ฉันถึงจะเปลี่ยนมาใช้ "คำพูด"
1
ถ้อยคำเป็นตัวนำสารที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด และมักทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือตีความผิดได้ง่ายที่สุด
2
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ก็ถ้อยคำคืออะไรล่ะ มันเป็นแค่เสียงที่เปล่งออกมาเท่านั้นเอง เสียงซึ่งใช้ "แทน" ความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ เป็นเพียง สัญลักษณ์ สัญญาณ หรือเครื่องหมาย ไม่ใช่ตัวความจริงเอง ไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตนอยู่จริง
2
ถ้อยคำอาจช่วยให้เธอเข้าใจบางสิ่ง แต่ประสบการณ์จะทำให้เธอ "รู้" แต่ก็มีบางอย่างที่เธอไม่อาจมีประสบการณ์ได้ ฉันจึงให้เครื่องมือแห่งการรู้อย่างอื่นแก่เธออีก นั่นคือ "ความรู้สึกและความคิด"
2
ถึงตอนนี้ที่กลับตาลปัตรที่สุดก็คือ เธอให้ความสำคัญอย่างมากกับถ้อยคำของพระเจ้า แต่ให้ความสำคัญน้อยเหลือเกินกับตัวประสบการณ์*
2
[* ที่ยิ่งไปกว่านั้น เรายังให้ความสำคัญกับถ้อยคำของใครก็ไม่รู้อย่างมากอีกด้วย (เราชอบอ้างเอาถ้อยคำมาใช้ทั้งที่เราก็ไม่ได้รู้จริงๆด้วยว่านั่นใช่ถ้อยคำจริงๆของบุคคลที่เราอ้างรึป่าว?) และขนาดพระเจ้าเอง ยังให้ฟังถ้อยคำจากพระองค์น้อยกว่าฟังจากตัวประสบการณ์เลย ~ แอดมิน]
1
ที่จริงแล้วเธอให้ค่าต่อประสบการณ์น้อยมากเสียจนเมื่อประสบการณ์ที่เธอมีต่อพระเจ้าหรือต่อสัจจะความจริงนั้นๆ "ต่างไปจากที่เคยได้ยินได้ฟังมา" เธอจะปัดประสบการณ์ทิ้งแล้วหันไปยึดถ้อยคำที่ถูกสอนมาแทน ทั้งที่ควรจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม
ประสบการณ์และความรู้สึกที่เธอมีต่อสิ่งต่างๆ แสดงถึงสิ่งที่เธอ "รู้" ในเชิงข้อเท็จจริงและในเชิงญาณทัสนะ ถ้อยคำทำได้เพียงพยายามแสดงสัญลักษณ์แทนสิ่งที่เธอรู้ และก็ทำให้ "สับสน" กับสิ่งที่เธอรู้อยู่บ่อยๆ
1
นี่คือบรรดาเครื่องมือที่ฉันใช้สื่อสาร แน่นอน... มันไม่ใช่สูตรสำเร็จหรอก เพราะไม่ใช่ทุกความรู้สึก ทุกความคิด ทุกประสบการณ์ และทุกถ้อยคำ "จะมาจากฉัน"
3
ถ้อยคำมากมายกล่าวขึ้นโดยคนอื่นในนามของฉัน ความคิดและความรู้สึกมากมาย เกิดขึ้นจากแหล่งอื่นที่ไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์จากฉันโดยตรง หลายประสบการณ์เป็นผลพวงจากอะไรที่ว่านี่
นี่คือความท้าทายที่ต้องมองให้ทะลุ มันยากตรงที่เธอต้องแยกความต่างระหว่างสารที่มาจากพระเจ้ากับข้อมูลที่มาจากแหล่งอื่น ต้องอาศัย "ความช่างสังเกต" บวกกฏพื้นฐานง่ายๆ คือ
2
สิ่งที่มาจากฉัน...
"คือความคิดสูงส่งที่สุดของเธอ"
"คือถ้อยคำชัดแจ้งที่สุด"
"คือความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่สุด"
5
สิ่งใดก็ตามหากน้อยไปกว่านี้แสดงว่ามาจากแหล่งอื่น
ทีนี้ภารกิจในการแยกแยะก็ง่ายเข้า เพราะแม้แต่เด็กประถมก็ชี้ได้ว่าอะไรสูงส่งที่สุด ชัดแจ้งที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุด
1
แต่ฉันจะให้แนวทางแก่เธอไว้ด้วย
"ความคิดสูงสุดแฝงความเบิกบานเสมอ"
3
"คำพูดชัดแจ้งที่สุดคือคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความจริง"
2
"และความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรู้สึกที่พวกเธอเรียกว่าความรัก"
3
"ความเบิกบาน ความจริง ความรัก" สามอย่างนี้สลับสับเปลี่ยนกันได้ สิ่งหนึ่งจะนำไปสู่อีกสิ่งเสมอ ไม่สำคัญหรอกอะไรจะมาก่อนมาหลัง
3
ตอนนี้เธอได้แนวทางแยกแยะแล้วว่าสิ่งไหนคือสารจากฉันและสิ่งไหนมาจากแหล่งอื่น คำถามที่เหลือก็คือ "เธอจะฟังสารจากฉันหรือเปล่า?"
ส่วนใหญ่แล้ว "ไม่" บ้างเป็นเพราะมันดูดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ บ้างก็เพราะมันยากเกินกว่าจะทำตาม และหลายครั้งก็เพียงเพราะถูกเข้าใจผิด แต่ที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือ "พวกเธอไม่รับ"
1
ผู้ส่งสาร ที่ทรงประสิทธภาพที่สุดของฉันก็คือ "ประสบการณ์" แม้กระทั่งสิ่งนี้พวกเธอก็ยังคงเพิกเฉย และโดยเฉพาะสิ่งนี้ที่ "พวกเธอไม่ใส่ใจ"
1
โลกของเธอจะไม่อยู่ในสภาพที่เป็นอยู่นี้ ถ้าเพียงแต่พวกเธอฟัง "ประสบการณ์ของตัวเอง"
2
ผลจากการไม่ฟังประสบการณ์ของตัวเอง*ก็คือ เธอต้องเจอกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น เพื่อว่าจุดหมายของฉันจะไม่ถูกขัดขวางและประสงค์ของฉันจะไม่ถูกเพิกเฉย เธอจะได้รับสารนั้นไม่ช้าก็เร็ว
2
[*ซึ่งแน่นอน การอ่านก็เป็นประสบการณ์รูปแบบหนึ่งเช่นกัน ~ แอดมิน]
1
แต่ฉันจะไม่บังคับและขู่เข็ญเธอ เพราะได้ให้เจตจำนงเสรี (free will) แก่เธอไปแล้ว เป็นสิทธิอำนาจที่จะ "ทำตามที่เลือก" และฉันจะไม่ยกเลิกสิทธินี้ตลอดกาล
ดังนั้นฉันจึงเฝ้าส่งสารเดิมๆมายังเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านกาลเวลา สู่ทุกมุมแห่งจักรวาลที่พวกเธออาศัยอยู่ ฉันจะส่งข่าวสารอย่างไม่สุดสิ้น จนกว่าเธอจะได้รับและแนบไว้ใกล้ชิด...และเรียกว่าของเธอเอง
สารของฉันจะมาในหลายร้อยรูปแบบ ทุกห้วงพันขณะ ข้ามกาลเวลานับล้านๆปี "เธอไม่มีทางพลาดหากตั้งใจฟังอย่างแท้จริง" และ "ไม่อาจเพิกเฉยหากได้ยินจริงๆ"
เมื่อนั้นการสนทนาของเราจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง ในอดีตพวกเธอได้แต่พูดกับฉันเพียงฝ่ายเดียว อธิษฐานถึง วอนขอความเมตตาหรือการช่วยเหลือ เวลานี้เองที่ฉันจะพูดตอบกลับบ้าง... เหมือนที่กำลังทำอยู่ตอนนี้
N : ผมจะรู้ได้ยังไงว่าการสื่อสารนี้มาจากพระเจ้า? จะรู้ได้ยังไงว่านี่ไม่ใช่จินตนาการของผมเอง?
G : แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ? เธอไม่เห็นหรือว่า ฉันสามารถกระทำผ่านจินตนาการของเธอได้ง่ายพอๆกับอย่างอื่นเลย
ฉันจะส่งมอบ ความคิด ถ้อยคำ หรือความรู้สึกที่ "ถูกต้องแน่ชัด" ให้เธออย่างสอดคล้องกับเป้าหมายที่สุด ในเวลาใดก็ได้ โดยใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีรวมกัน
1
N : พระเจ้าสื่อสารแต่เฉพาะกับบุคคลพิเศษ ในช่วงเวลาพิเศษ เท่านั้นรึเปล่าครับ?
G : ทุกคนล้วนพิเศษ ทุกโมงยามนั้นดีเลิศ ไม่มีใครพิเศษกว่าใครหรือขณะใดที่พิเศษกว่าอีกขณะ
5
คนส่วนใหญ่เลือกจะเชื่อว่าพระเจ้าสื่อสารด้วยวิธีพิเศษกับบุคคลพิเศษเท่านั้น นี่ทำให้ผู้คน "ไม่ต้องรับผิดชอบ" การฟังข่าวสารจากฉันด้วยตนเอง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องว่าจะ "ได้รับ" หรือเปล่านะ (นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง)
1
จากนั้นก็ไป "รับเอาถ้อยคำจากคนอื่น" สำหรับทุกเรื่องทุกราว เธอไม่จำเป็นต้องฟังฉันแล้วนี่ เพราะ "ปักใจเชื่อ" ไปแล้วว่ามีคนได้ฟังทุกเรื่องจากฉันเรียบร้อย "เธอให้คนอื่นฟังแทน"
เพราะคอยแต่จะฟังสิ่งที่คนอื่นคิดว่าได้ยินฉันพูด เธอจึงไม่จำเป็นต้อง "คิดเอง" เลย
นี่คือสาเหตุใหญ่ ที่ทำให้ผู้คนละเลยที่จะฟังสารจากฉัน "ด้วยตัวเอง" หากเธอยอมรับว่าได้รับสารจากฉันโดยตรงแล้ว เธอก็ต้อง "รับผิดชอบ" ในการตีความ การฟังการตีความจากผู้อื่น (แม้ว่าคนเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่เมื่อ 2,000 กว่าปีมาแล้ว) นั้นง่ายและปลอดภัยกว่า การพยายามตีความสารที่เธอได้รับในขณะนี้ด้วยตัวเองมาก
แต่ฉันขอเชิญเธอเข้าร่วมการสื่อสารรูปแบบใหม่กับพระเจ้า อันเป็นการสื่อสารแบบสองทาง ที่จริงเธอต่างหากที่เป็นคนเชื้อเชิญฉัน เพราะฉันมาปรากฏที่นี่เวลานี้ ในรูปแบบนี้ เพื่อตอบเสียงเรียกร้องของเธอ
1
N : ทำไมคนบางคน เช่นพระเยซูถึงดูเหมือนจะได้สดับฟังพระองค์มากกว่าคนอื่นๆครับ?
G : เพราะบางคนเต็มใจจะฟังอย่างแท้จริงน่ะสิ เต็มใจจะได้ยินและเต็มใจที่จะเปิดรับการสื่อสารนั้น แม้จะดูน่าหวาดหวั่น บ้าบอ หรือดูผิดอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม
1
N : เราควรจะฟังพระเจ้าด้วยหรือครับ หากว่าที่พระองค์กล่าวนั้นฟังดูผิดน่ะ?
G : โดยเฉพาะเวลาที่ "ดูเหมือนผิด" นั้นล่ะที่สำคัญ หากเธอคิดว่าตัวเองเข้าใจทุกอย่างถูกต้องแล้ว จะมาคุยกับพระเจ้าอีกทำไม? เอาเลย ทำไปตามที่เธอรู้มาเลย
1
แต่จงสังเกตว่าพวกเธอทำอย่างนี้มาตั้งแต่จุดเริ่มต้นของกาลเวลาแล้ว แล้วดู "ความเป็นไปของโลกเวลานี้สิ" ชัดเจนว่าพวกเธอต้องพลาดอะไรบางอย่างไป เห็นชัดว่ามีบางสิ่งที่เธอยังไม่เข้าใจ
ส่วนสิ่งที่เธอ "เข้าใจ" ก็ดูเหมือนจะถูกต้องดีแล้วสำหรับเธอ เพราะคำว่า "ถูก" นั้นเธอใช้กับสิ่งที่ตน "เห็นชอบ" ดังนั้นอะไรที่เธอ "พลาดไป" ก็คือสิ่งที่ตอนแรกเธอบอกว่า "ผิด" นั่นเอง
ทางเดียวที่เราจะเดินหน้าต่อไปได้ก็คือ จงถามตัวเองว่า "จะเกิดอะไรขึ้นถ้าจริงๆแล้วสิ่งที่ฉันคิดว่า 'ผิด' กลับกลายเป็น 'ถูก' "
1
นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายต่างเข้าใจเรื่องนี้ดี เมื่อสิ่งที่ทำไม่ได้ผล นักวิทยาศาสตร์จะทิ้งสมมติฐานเดิมๆ และเริ่มต้นใหม่
การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ทุกอย่างเกิดจากความเต็มใจและความสามารถที่จะ "ไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายถูก" และนั่นก็จำเป็นสำหรับ "เรา" ในตอนนี้ด้วย
เธอไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้ หากเธอไม่หยุดบอกตัวเองว่า "เธอรู้จักพระเจ้าดีแล้ว" เธอไม่อาจได้ยินเสียงพระเจ้า หากเธอไม่หยุดคิดว่า "เธอได้ฟังจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว"
1
ฉันไม่อาจบอก "สัจจะของฉัน" ต่อเธอ หากเธอไม่หยุดพูดถึงสัจจะของตัวเองเสียก่อน
N : แต่ว่าความจริงเรื่องพระผู้เป็นเจ้าของผมก็มาจากพระองค์นะครับ?
G : ใครบอกเธอล่ะ?
N : คนอื่นๆ
G : คนอื่นนะใครล่ะ?
N : ก็พวกผู้นำ คณะสงฆ์ พระ นักบวช คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ให้ตายเถอะ คัมภีร์ใบเบิล นั่นไง
1
G : นั่นไม่ใช่แหล่งที่ฉันรับรองหรอกนะ
N : ไม่ใช่เหรอครับ?
G : ก็ไม่ใช่นะสิ
N : งั้นอะไรล่ะครับ?
G : ฟัง "ความรู้สึก" ของเธอ ฟัง "ความคิดสูงสุด" ของเธอ ฟัง "ประสบการณ์" ของเธอ
3
หากสิ่งเหล่านี้ต่างไปจากถ้อยคำที่เธอได้รับการสั่งสอนหรือได้อ่านมาล่ะก็ "จงลืมถ้อยคำเหล่านั้นเสีย" เพราะ "ถ้อยคำเป็นผู้ส่งสัจจะที่เชื่อถือได้น้อยที่สุด"
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา