8 ก.พ. 2020 เวลา 05:49 • ปรัชญา
#5 เล่มหนึ่ง บทที่ 1 หน้า 47 ~ 53
...
...เพราะนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ที่จะรักแล้วก็ทำลายแล้วก็รักอีกครั้งในสิ่งที่พวกเขาให้ค่าสูงสุด
N : ทำไมล่ะครับ ทำไมเราถึงทำแบบนั้น?
G : `ทุกการกระทำของมนุษย์` ล้วนมีแรงผลักดันในระดับลึกสุดด้วยอารมณ์หนึ่งในสองอย่างนี้คือ "รักหรือกลัว" เป็นความจริงว่ามีอารมณ์อยู่เพียงสองชนิดเท่านั้น "มีเพียงสองคำในภาษาแห่งจิตวิญญาณ" คือสุดปลายของสองขั้วตรงข้ามที่ฉันสร้างขึ้นครั้งสร้างจักรวาลและโลกนี้ขึ้นมาตามที่เธอเข้าใจ
4
นี่คือ อัลฟาและโอเมก้า คือจุดสูงสุดและต่ำสุด คือสองจุดที่ทำให้ระบบที่เธอเรียกว่า "สัมพันธภาพ" ดำรงอยู่ได้ *หากปราศจากสองจุดหรือสองแนวคิดนี้แล้วจะไม่มีแนวคิดใดๆตั้งอยู่ได้เลย*
1
ทุกความคิดและการกระทำของมนุษย์ล้วนเกิดจาก`ความรัก`หรือไม่ก็`ความกลัว` ไม่มีแรงผลักดันหรือมโนคติอื่นอีกนอกจากที่แตกย่อยจากสองความรู้สึกนี้ สิ่งอื่นเป็นเพียงรูปแบบหรือการบิดพลิกที่แตกต่างบนต้นตอเดียวกัน
2
ลองใคร่ครวญให้ลึกซึ้งแล้วเธอจะเห็นว่าเป็นความจริง นี่คือสิ่งที่ฉันเรียกว่า "ความคิดสนับสนุน" เป็นความคิดที่มาจากความรู้สึกไม่รักก็กลัวอย่างใดอย่างหนึ่ง
นี่คือความคิดเบื้องหลังความคิดเบื้องหลังความคิด คือ "ความคิดแรก" "พลังแรก" "เป็นพลังงานดิบที่ขับเคลื่อนยานแห่งประสบการณ์มนุษย์"
นี่คือสิ่งที่อธิบายว่าพฤติกรรมมนุษย์ได้สร้างประสบการณ์เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างไร ทำไมมนุษย์ถึงรักแล้วก็ทำลายจากนั้นก็กลับมารักอีก เป็นการเหวี่ยงจากขั้วอารมณ์หนึ่งไปสู่อีกขั้วตลอดเวลา รักสนับสนุนกลัวสนับสนุนรักสนับสนุนกลัว
1
และสาเหตุก็พบได้ใน `คำโกหกอันแรก`...คำโกหกที่เธอยึดมั่นดุจสัจจะเกี่ยวกับพระเจ้าที่ว่า
`พระเจ้าไม่อาจเชื่อถือได้` `ความรักของพระเจ้าไม่อาจพึ่งพิง` `พระเจ้ายอมรับเธออย่างมีเงื่อนไข` รวมทั้ง `ผลลัพธ์บั้นปลายที่น่ากังขา` เพราะถ้าเธอยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าพระเจ้ามีความรักให้เธอตลอดเวลาล่ะก็ ความรักของใครกันเล่าที่จะพึ่งพิงได้อีก
หากพระเจ้าถอยห่างและละทิ้งเมื่อเธอทำตัวไม่เหมาะสม มนุษย์ด้วยกันเองจะไม่เป็นอย่างนั้นหรือ?
เพราะฉะนั้นขณะสาบานรักสูงสุด เธอก็ได้ต้อนรับความกลัวอย่างที่สุดไปพร้อมๆกันด้วย
เพราะสิ่งแรกที่เธอหวั่นหลังจากพูดคำว่า "ฉันรักเธอ" ออกไปก็คือ เธอจะได้ยินคำพูดเดียวกันนั้นกลับมาไหมหนอ... หากได้ยินคำรักตอบ เธอก็จะเริ่มกังวลขึ้นมาอย่างฉับพลันว่าอาจต้องเสียรักที่เพิ่งค้นพบนี้ไป "การกระทำทุกอย่างจึงกลายเป็นปฏิกิริยาป้องกันการสูญเสีย" ขณะเดียวกันเธอก็พยายามป้องกันตัวเองไม่ให้สูญเสียพระเจ้าด้วย
1
แต่หาก `เธอรู้ว่าเธอคือใคร` `รู้ว่าเธอคือสิ่งมีชีวิตที่พิเศษสุด` `ดีเลิศสมบูรณ์` และ `มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่พระเจ้าได้เคยสร้างขึ้น` ล่ะก็...เธอจะไม่หวาดกลัวเลย เพราะใครกันจะปฏิเสธสิ่งที่สมบูรณ์มหัศจรรย์อย่างนั้นได้ กระทั่งพระเจ้ายังไม่พบข้อบกพร่องเลย
2
แต่เธอ`ไม่รู้`ว่าตัวเองคือใคร และเฝ้าคิดว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยที่สุด เธอรับเอาความคิดเรื่องความกระจ้อยร่อยของตัวเองแทนความดีเลิศมหัศจรรย์มาจากไหน ก็จากผู้ที่เธอนำคำสอนของพวกเขาไปใช้กับทุกเรื่องนั่นล่ะ "จากพ่อและแม่ของเธอเอง"
2
นี่คือผู้ที่รักเธอมากที่สุด แต่ทำไมพวกเขาถึงกล่าวเท็จกับเธอเล่า ก็พวกเขาไม่ได้`บอกเธอ`หรือว่า เธอมีสิ่งนี้มากไปหรือยังขาดสิ่งนั้นอยู่ ไม่ได้ทำให้เธอ`รู้สึก`หรือว่า พวกเขาเพียงแค่เห็นแต่ไม่ได้รับฟังเธอเลย พวกเขาไม่ได้`ตะคอกใส่`ขณะเธอกำลังเล่นสนุกหรือ ไม่ใช่พวกเขาหรอกหรือที่`บอกให้เธอ`ทิ้งจินตนาการเพริศแพร้วบางเรื่องเสีย?
1
นี่คือ "สารที่เธอได้รับ" แม้ว่าจะไม่ได้มาตราฐาน ดังนั้นจึงไม่ใช่สารจากพระเจ้า ...แต่ก็อาจจะใช่ก็ได้ เพราะมันมาจากพระเจ้าทั้งสององค์ในจักรวาลของเธอนี่นา
2
พ่อแม่เธอนั่นเองที่สอนว่า`ความรักนั้นมีเงื่อนไข` เธอรู้สึกถึงเงื่อนไขของพวกเขาหลายต่อหลายครั้ง ประสบการณ์แบบนี้เองที่เธอนำไปใช้ในสัมพันธ์รักของตนและยังเป็นประสบการณ์ที่เธอนำมาใช้กับฉันด้วย
1
จากประสบการณ์นี้เองทำให้เธอสร้าง`ข้อสรุป`เกี่ยวกับฉันขึ้นมา เธอสร้าง`ความจริงของตน`ขึ้นภายใต้โครงสร้างนี้ "พระเจ้าคือพระเจ้าแห่งความรัก" เธอบอก "แต่ถ้าเราขัดคำสั่งนะ พระองค์จะลงโทษเราด้วยการทอดทิ้งชั่วนิรันดร์และสาปแช่งเราตลอดไปกาล"
ก็เธอไม่เคยมีประสบการณ์การถูกทอดทิ้งจากพ่อแม่มาหรอกหรือ? เธอไม่เคยเจ็บปวดจากคำดุด่าของพวกเขาหรือไร? แล้วจะให้เธอจินตนาการถึงฉันในแบบที่ต่างออกไปได้อย่างไรล่ะ?
1
เธอ "ลืม" หมดสิ้นแล้วว่าการได้รับความรักที่ปราศจากเงื่อนไขเป็นอย่างไร เธอจำประสบการณ์ความรักของพระเจ้าไม่ได้ เธอจึงพยายามจินตนาการว่าความรักของพระเจ้าจะเป็นอย่างไรบนพื้นฐานความรักที่เธอพบเห็นในโลกมนุษย์
เธอได้โยนบท "ผู้ปกครอง" มาให้พระเจ้า
จึงเกิดเป็นพระเจ้าผู้คอยพิพากษา ให้รางวัลและลงโทษตามความรู้สึกที่พระเจ้ามีต่อสิ่งที่เธอทำ ทว่านี่คือความคิดต่ำตื้นที่สุดเกี่ยวกับพระเจ้า
ซึ่งมีที่มาจากตำนานปรัมปราของเธอเอง ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ`สิ่งที่ฉันเป็น`เลยแม้แต่นิดเดียว
3
เพราะเธอสร้างระบบคิดทั้งหมดเกี่ยวกับพระเจ้าจากประสบการณ์ของมนุษย์มากกว่าความจริงทางจิตวิญญาณ
เธอจึงสร้างความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับความรักต่ออีกทอดหนึ่ง "ความจริงซึ่งตั้งอยู่บนความกลัว" อันมีรากมาจากความคิดว่าพระเจ้านั้นดุร้ายและน่าหวาดหวั่น "ความคิดสนับสนุนนี้ผิดพลาด"
1
แต่การจะปฏิเสธความคิดนั้นให้ได้หมายความว่าเธอจะต้อง`ทำลาย`ทฤษฎีทางเทววิทยาหรือศาสนศาสตร์ทั้งหมดของตนตามไปด้วย
และแม้ว่าทฤษฎีใหม่ที่นำมาแทนจะเป็น ***ทางรอดที่แท้จริง*** ของเธอ แต่เธอก็ไม่อาจยอมรับได้เพราะความคิดที่ว่า "พระเจ้าผู้ไม่จำเป็นต้องยำเกรง" "พระเจ้าที่ไม่ตัดสินพิพากษา" และ "ไม่มีเหตุให้ลงโทษเธอ" นั้นดีเกินกว่าจะน้อมรับไว้ภายในได้ แม้เมื่อเทียบกับความเชื่อเลอเลิศที่สุดของเธอว่าพระเจ้าคือใครและเป็นอะไรก็ตาม
ความรักที่มีพื้นฐานจากความกลัวนั้นเองได้ครอบงำประสบการณ์ความรักของเธอไว้จนในที่สุดก็ทำให้เป็นจริงไปตามนั้น
2
เพราะไม่เพียงแต่เธอจะมองว่าตนกำลังได้รับความรักอย่างมีเงื่อนไขเท่านั้น ในทางกลับกัน เธอก็เห็นตัวเองกำลังให้ความรักออกไปแบบเดียวกันเลย
2
และแม้ขณะที่เธอยับยั้ง ถอยหนี หรือสร้างเงื่อนไขต่างๆขึ้นมา `บางส่วนของเธอ` ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความรักที่แท้จริงหรอก แต่เธอก็ `ไร้พลังเกินกว่าจะเปลี่ยน` วิธีแจกจ่ายความรักออกไป
2
เธอบอกตัวเองว่าเธอเรียนรู้มาหนักและจะต้องแย่แน่ๆ หากปล่อยให้ตนเองต้องแตกสลายอีกครั้ง แต่ความจริงคือ "เธอจะแย่แน่หากเธอไม่ทำต่างหาก"
2
(จากความคิด (ที่ผิดพลาด) ของเธอเกี่ยวกับความรัก เธอจึง`สาปแช่งตัวเอง`ไม่ให้มีประสบการณ์ของความรักบริสุทธิ์ และก็`สาปแช่งตัวเอง`ไม่ให้รู้จักฉันตามที่ฉันเป็นจริงๆด้วย ก็จนกว่าเธอจะไม่ทำอย่างนั้นนั่นล่ะ เพราะเธอไม่อาจปฏิเสธฉันได้ชั่วนิรันดร์หรอก แล้วเมื่อถึงเวลานั้น เราจะได้คืนดีกัน)
ทุกการกระทำของมนุษย์มีที่มาจาก `ความรัก ` ไม่ก็ `ความกลัว` สิ่งนี้ใช่เพียงเกิดกับความสัมพันธ์ทั่วไปเท่านั้น การตัดสินใจนี้มีผลทั้งในทางธุรกิจ อุตสาหกรรม การเมือง ศาสนา การให้การศึกษากับบุตรหลาน วาระทางสังคมของประเทศชาติ เป้าหมายทางเศรษฐกิจ
1
รวมทั้งทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับสงคราม สันติภาพ การจู่โจม การป้องกันตนเอง ความรุนแรง การยอมจำนน ปณิธานที่จะฉวยคว้าหรือหยิบยื่น เก็บรับหรือแบ่งปัน ประสานเป็นหนึ่งหรือแยกตัวออก ทุกหนทางที่เธอ`เคยเลือก`ผุดขึ้นจากหนึ่งในสอง`ความคิด`ที่เป็นไปได้นี้นั่นคือ #ความคิดแห่งความรักหรือความคิดแห่งความกลัว
`กลัว` คือพลังที่ บีบหด ปิดตัว เก็บงำ ถอยหนี หลบซ่อน กักตุน ทำร้าย
1
*รัก* คือพลังที่ ขยายออก เปิดกว้าง ส่งไป คงอยู่ เปิดเผย แบ่งปัน และ บำบัดเยียวยา
1
`กลัว` หุ้มห่อร่างกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์
*รัก* ทำให้เราเปิดเปลือย
2
`กลัว` รวบกำทุกสิ่ง
*รัก* แจกจ่ายทั้งหมดที่มี
1
`กลัว` บีบรัด
*รัก* โอบกอด
1
`กลัว` คว้ากำ
*รัก* ปลดปล่อย
1
`กลัว` ปวดร้าว
*รัก* ปลอบประโลม
1
`กลัว` จู่โจม
*รัก* เสริมสร้าง
3
ทุกความคิด ถ้อยคำ หรือ พฤติการณ์ (การกระทำ) ของมนุษย์ ต่างยืนพื้นอยู่บนสองความรู้สึกนี้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นเพราะไม่มีอย่างอื่นนอกจากนี้ เธอเพียงแต่มีอิสระที่จะเลือกหนึ่งในสอง
N : พระองค์ทำให้มันฟังดูง่ายจัง แต่ทำไมตอนที่เรา`ตัดสินใจ` กลัวถึงชนะบ่อยกว่ารักล่ะครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
G : เธอ`ถูกสอน`ให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัว เธอได้รับการบอกเล่าถึงการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของผู้ที่เหมาะสมที่สุด ชัยชนะของผู้ที่แข็งแรงที่สุด และความสำเร็จของผู้ที่ฉลาดที่สุด "น้อยมากที่จะพูดถึงเกียรติภูมิของผู้ที่รักมากที่สุด"
1
ฉะนั้นพวกเธอจึง`ต่อสู้`เพื่อให้ตัวเองได้เป็นคนที่เหมาะสมที่สุด แข็งแรงที่สุดหรือไม่ก็ฉลาดที่สุดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วเมื่อเธอเห็นว่าตนด้อยกว่าที่ว่ามานี้ในสถานการณ์ใดล่ะก็ เธอก็`กลัว`ว่าจะต้องแพ้ เพราะ`ถูกสอน`มาว่า "การทำได้ไม่ถึงจุดนั้นแปลว่าแพ้"
และแน่นอนเธอจึง`เลือก`การกระทำที่มีรากมาจากความกลัว เพราะเธอถูกสอนมาอย่างนั้น
แต่ฉันจะสอนเธอว่า : เมื่อเธอเลือกทำสิ่งต่างๆจาก *ความรัก* "เธอจะทำได้มากกว่าการเอาตัวรอด" "ทำได้มากกว่าการเอาชนะ" "ทำได้มากกว่าการประสบความสำเร็จ" เมื่อนั้นเธอจะมีประสบการณ์ถึงความยิ่งใหญ่ของตัวตนที่แท้จริงของเธอ และสิ่งที่เธอสามารถเป็นได้
3
การจะทำอย่างนี้ได้เธอต้อง`ทิ้ง`คำสอนจากเหล่าอาจารย์ทางโลกที่ "เจตนาดีแต่เข้าใจผิด" เสียก่อน แล้วหันมาฟังการสอนของผู้ที่ `ปัญญาญาณมาจากอีกแหล่งหนึ่ง`
มีคุรุที่ว่านี้มากมายรอบตัวเธอเช่นที่เป็นมาเสมอ เพราะฉันไม่เคยปล่อยเธอไว้โดยปราศจากผู้ที่สามารถแสดง สอน นำทาง หรือย้ำเตือนให้เธอ `ระลึกถึงสัจจะเหล่านี้`
3
ทว่าผู้ย้ำเตือนที่ดีที่สุด...ไม่ได้อยู่ภายนอก แต่คือ "เสียงภายในตัวเธอ" นี่เป็นเครื่องมือแรกที่ฉันใช้ "เพราะเธอเข้าถึงได้ง่ายที่สุด"
2
*เสียงภายในคือเสียงที่ดังที่สุดที่ฉันเป็นผู้พูด*
ด้วยมันอยู่`ใกล้ตัวเธอมากที่สุด` คือเสียงที่บอกเธอว่า..."สิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ" "ผิดหรือถูก" "ดีหรือเลว" อย่างที่เธอได้นิยาม คือเรดาร์กำหนดวิถี คัดท้ายนาวา และคอยนำทาง "หากเธอยอมรับฟัง"
1
คือเสียงที่บอกเธอตอนนี้เลยว่า...
***ถ้อยคำที่เธอกำลังอ่านอยู่นี้เป็นถ้อยคำแห่งความรักหรือความกลัว***
ด้วยเครื่องวัดนี้เธอจะบอกได้ว่า...
***นี่เป็นถ้อยคำที่ควรเพิกเฉยหรือนำมาใส่ใจ***
...
...
...
หากเราได้ลองค้นลงไปจนลึกที่สุดภายในใจของเราจริงๆ เราจะได้รับรู้ว่า...มีเพียง"ความรัก"เท่านั้นที่อยู่ที่นั่น (จิตเดิมแท้ของเราเกิดขึ้นมาจากความรัก) ความกลัว นั้นเกิดขึ้นมาในภายหลัง จากภายนอก
2
แต่ความกลัวก็จำเป็นที่จะต้องถูกสร้าง(เกิด)ขึ้น...
ทำไมน่ะเหรอ... รออ่านต่อไปครับ มันมีเหตุผลอันสุดแสนจะเรียบง่ายและสมเหตุสมผลที่สุดแบบเส้นผมบังภูเขาอยู่
และเราจะกลัวได้ เราต้อง "ลืม" ว่าอะไรเรียกว่า
"ความรัก" (ของพระเจ้า) ไปก่อน...
[ลองคิดตามดูสิว่าทำไม?]
เพื่อแผนการอันยิ่งใหญ่ที่สุด
จะสามารถเกิดขึ้นและดำเนินต่อไปได้...
แผนการอันยิ่งใหญ่นั้นคืออะไรกันนะ...
ค่อยๆตามกันมาครับ ^_^
1
แอดมิน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา