big world, but we thought we were bigger ตรงนี้คนที่คล่องอังกฤษหน่อยอาจเผลอคิดว่าเป็นเรื่องของการเติบโตการโตขึ้น ซึ่งต้องดูให้ดีครับตรงนี้เป็นการเปรียบเทียบครับ ระหว่างโลกกับตัวเรา ดังนั้นมันต้องเป็นเรื่องเดียวกันเพราะเราจะเปรียบเทียบของสองสิ่งจากคนละเรื่องไม่ได้ ดังนั้นตรงนี้เป็นเรื่องของขนาดครับ (big world) เพราะเราคิดว่าเราใหญ่กว่าโลก นั่นหมายถึงเราจะทำอะไรก็ได้ (ซึ่งนี่ตรงกับความเชื่อของเค้าใน verse ล่างที่พูดถึงความเชื่อ)
1
pushing each other to the limits ผลักดันกันและกันให้ถึงขีดจำกัด we were learning quicker เราเรียนรู้ได้เร็วขึ้น เคยสังเกตมั้ยครับว่าคนเราเติบโตภายใต้ความกดดันเสมอ ดังนั้นทุกครั้งที่เรารู้สึกกดดันก็อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ เพราะนั่นแปลว่าเรากำลังอยู่ในสภาวะที่เราสามารถเติบโตได้
make that steady figure - figure แปลว่าตัวเลข steadyแปลว่าคงที่ ทั้งหมดแปลว่าทำตัวเลขให้คงที่ เลยต้องย้อนกลับไปดูวลีก่อนหน้านั้นซึ่งก็คือ never rich ไม่เคยรวย ดังนั้นพูดถึงรายได้ครับ out to make that steady figure เลยแปลว่าออกไปหารายได้ที่มั่นคง
had that dream, like my father before me - had that dream เน้นคำว่า that ครับเค้ากำลังพูดถึงสิ่งที่เฉพาะเจาะจง มันคืออันนั้นเลย มันเป็นฝันอันเดียวกันกับที่พ่อชั้นเคยมี (like my father before me)
ตรง something about that glory just always seemed to bore me ตรงนี้น่าสนใจครับ เค้าก็ใช้ that ในการเจาะจงเช่นกัน หมายความว่าคนที่รักเค้าจริงๆเท่านั้นถึงจะรู้ว่าทำไมเค้าถึงเบื่อความ glory นั้น ('cause only those I really love will ever really know me) โดยไม่สนใจว่าใครอื่นจะเข้าใจว่ายังไง มันเป็นการแสดง perception ของเค้าที่มีต่อ glory ครับ เพราะเค้าก็พูดถึง glory ของเค้าอีกครั้งในท่อน morning sun ซึ่งเค้าอาจจะมองว่าความรุ่งเรืองมันไม่จีรังก็ได้ (เพราะยังไม่แน่ใจว่าพอแก่ตัวลงไปแล้วชีวิตจะเป็นยังไงจะเปลี่ยวเหงาหรืออบอุ่นกันแน่?)
before the morning sun, when life was lonely - ตรง morning sun แปลตรงตัวคือพระอาทิตย์ยามเช้า ท่อนนี้ถ้าแปลตรงตัวจะงงได้ครับดังนั้นต้องแปลความหมายพิเศษของพระอาทิตย์ยามเช้าแทนซึ่งส่วนมากพระอาทิตย์ยามเช้าจะสดใสเจิดจ้า ถ้าเปรียบกับเรื่องของชีวิตก็เปรียบได้เหมือนกับความรุ่งเรืองครับ เค้าเคยมีช่วงเวลาที่เปลี่ยวเหงา ต่อมาเรื่องราวของเค้าได้รับการถ่ายทอด จากนั้นจึงเริ่มเป็นช่วงรุ่งเรืองของชีวิต เพลงจะขายได้ จะได้เดินทางรอบโลก ฯลฯ นั่นคือชีวิตเค้าดีขึ้น
'cause I know the smallest voices, they can make it major. I got my boys with me at least those in favor - ตรงนี้คือความหมายของ favor ครับ at least those in favor แปลว่าอะไรครับ?ถ้าแปลตรงๆคงงงน่าดู คำว่า favor ตรงนี้หมายถึงthe smallest voices, they can make it major ครับ เพราะใช้ those ไปลากเอาความหมายก่อนหน้านั้นมา ดังนั้นมันจึงหมายความว่า "แม้เสียงเล็กๆของเราจะไม่โดดเด่นออกไปถึงใครๆแต่อย่างน้อยมันก็โดดเด่นอยู่ในหมู่เพื่อนของเราเอง" ครับ นั่นคือ at least I got my boys for those in favor
ตรง my woman brought children for me นี้แปลรวมกับประโยคถัดไปแล้วเกลาออกมาครับมันเป็นการคาดคะเนถึงอนาคตในช่วงอายุสามสิบของเค้า เค้าจะมีภรรยาและมีลูก เค้าจะได้ร้องเพลงและเล่าเรื่องราวของเค้าให้ภรรยาและลูกๆฟัง เค้ายังคงเห็นเพื่อนๆมากมายรายล้อมอยู่ข้างกาย มีบ้างที่ห่างหายไปเพราะยังคงออกไปตามหาความฝันของตัวเอง และก็มีบ้างที่หายไปเพราะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เคยใช่มั้ยครับ? มีคนบางคนในชีวิตของเราที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหมือนกัน เช่นเพื่อนบางคนที่เลิกคบกันไป หรือความสัมพันธ์ที่ไปต่อไม่ได้ ซึ่งตรงนี้แหล่ะที่อธิบาย my brother, I'm still sorry ชั้นยังคงเสียใจอยู่กับการที่ต้องทอดทิ้งใครบางคนไว้ข้างหลังแต่ชีวิตของทุกคนก็ต้องเดินต่อครับ
remember life, and then your life becomes a better one - ตรงนี้เป็นข้อแนะนำครับ ให้จำช่วงเวลาในชีวิตเอาไว้ life คืออะไรเหรอครับ? ถ้า Life คือชีวิต แล้วชีวิตคืออะไรครับ? ตอนนี้เรามาถึงจุดนี้ของชีวิตตัวเองคุณลองนึกย้อนกลับไปตั้งแต่แรกของชีวิตคุณจนถึงตอนนี้สิครับ คุณจะเห็นชัดเจนว่าชีวิตที่ผ่านมาของคุณมันคือความทรงจำเท่านั้นครับ (เคยได้ยินมั้ยครับว่าชีวิตคือความฝัน และ mind set ที่สำคัญอันนึงคือ Life is Imagination) เค้ากำลังแนะนำว่า ชีวิตเราจะเป็นชีวิตดีขึ้น (เราจะใช้ชีวิตได้ดีขึ้น) หากเราจดจำช่วงเวลาต่างๆของชีวิตเราได้ (สิ่งนี้เรียกว่าประสบการณ์) เพราะประสบการณ์ทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นครับ จู่ๆเค้าแนะนำสิ่งนี้ขึ้นมาทำไมครับในขณะที่กำลังจะพูดถึงชีวิตของตัวเองในช่วงอายุหกสิบ?
เพราะตอนนี้พ่อเค้าอายุหกสิบครับ (หกสิบเอ็ดนั่นแหล่ะ) เค้าได้เห็นชีวิตของพ่อตัวเอง พ่อมีความฝัน (ซึ่งไม่ได้พูดถึงว่าพ่อสามารถทำฝันให้สำเร็จได้รึเปล่า) พ่อผ่านช่วงเวลาในชีวิตมา ลูกพ่อไม่ค่อยได้ไปหา พ่อจึงดีใจมากเวลาที่ได้จดหมายจากลูกที่นานๆจะเขียนมาซักฉบับ (I made a man so happy when I wrote a letter once) ท่อนนี้นำเสนอออกมาได้สะเทือนใจมากครับ เพราะพูดถึงพ่อในฐานะที่เป็นคนอื่น (a man) เป็นแค่ชายชราอายุหกสิบเอ็ดคนนึงที่ดีใจได้รับจดหมายของลูกที่นานๆจะเขียนมาซักครั้ง (wrote a letter once) แล้วก็สะท้อนถึงชีวิตของตัวเค้าเองครับหากเค้าต้องอายุหกสิบขึ้นมาจะเป็นเหมือนพ่อตอนนี้มั้ย?
เค้าเลยคาดหวังว่าลูกๆของเค้าคงจะทำได้ดีกว่านี้ด้วยการมาเยี่ยมเค้าบ้างอย่างน้อยเดือนละครั้งหรือสองครั้ง แล้วสังเกตนะครับว่าดนตรีช่วงนี้จะกระทั้นเร่งเร้าขึ้น มันเป็นการบีบคั้นความรู้สึกครับ และแถมท่อนต่อมาก็ร้องด้วยเสียงสูง มันเป็นดนตรี learning ที่บีบคั้นอารมณ์จนถึงไคลแมกซ์ซึ่งมัน emotional มากๆจนน้ำตาร่วงได้เลย แล้วตัวชั้นเองล่ะ? ชั้นก็จะอายุหกสิบเหมือนกันนะ แล้วตัวชั้นเองจะเป็นยังไง? (soon I'll be 60 years old) ชั้นจะต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวตัวคนเดียวจนรู้สึกเย็นยะเยือกมั้ย? หรือว่าชั้นจะมีลูกหลานมากมายห้อมล้อมทำให้ชั้นอบอุ่น?