14 ก.พ. 2020 เวลา 11:15 • ปรัชญา
#9 เล่ม 1 บทที่ 1 หน้า 65 ~ 67
...
N : มีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมอยากถามพระองค์ คำถามเยอะแยะไปหมด ผมว่าผมควรเริ่มจากคำถามข้อใหญ่สุดและมองเห็นชัดเจนที่สุด เช่น "ทำไมโลกถึงเป็นอย่างนี้?"
G : จากบรรดาคำถามทั้งหมดที่มนุษย์ร้องถามพระเจ้า นี่เป็น "ข้อที่ถูกถามบ่อยที่สุด" มนุษย์ตั้งคำถามนี้นับตั้งแต่เริ่มต้นกาลเวลา เธออยากจะรู้มาตั้งแต่`วินาทีแรก` จนถึงบัดนี้ว่า "ทำไมต้องเป็นอย่างนี้?"
รูปแบบเก่าแก่ของคำถามพวกนี้ก็เช่นว่า หากพระเจ้าสมบูรณ์แบบและทรงเป็นความรักแล้ว ทำไมพระองค์ถึงปล่อยให้เกิดโรคระบาด ทุพภิพขภัย (ความอดอยาก) สงครามและโรคภัย แผ่นดินไหว ทอร์นาโด เฮอริเคน หรือหายนะภัยทางธรรมชาติอื่นๆ รวมทั้งความรันทดหมดหวังในมวลมนุษย์และความวิบัติทั้งหลายแหล่ในโลกด้วย?
คำตอบของคำถามเหล่านี้อยู่ใน "ความลี้ลับลึกล้ำของจักรวาล" และ "ในความหมายสูงสุดของชีวิต"*
[*จากความสมบูรณ์แบบ สู่ ความไม่สมบูรณ์ การเดินทาง (มีประสบการณ์) จากความไม่สมบูรณ์สู่ความสมบูรณ์แบบ`อีกครั้ง` กระบวนการนี้ล่ะ คือ *ความหมายสูงสุดของการมีชีวิต* (การมาเกิด หรือ การเข้าสู่จักรวาลทางกายภาพ) ~ แอดมิน]
ฉันจะ`ไม่แสดงความดีของตัวเอง`โดยสร้างเพียงสิ่งที่เธอเรียกว่าสมบูรณ์แบบรายรอบตัวเธอ
ฉันจะ`ไม่แสดงความรักของฉัน`โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอแสดงความรักของเธอออกมาด้วย
อย่างที่อธิบายไปแล้ว "เธอไม่อาจแสดงความรักได้" จนกว่า "เธอจะสามารถแสดงความไม่รักก่อน"
1
"สิ่งหนึ่งไม่อาจมีอยู่โดยปราศจากสิ่งตรงข้าม" ยกเว้นแต่ในโลกสัมบูรณ์หรือในโลกปรมัตถ์ แต่โลกปรมัตถ์ยังไม่เพียงพอต่อ "เธอและฉัน"
ฉันอยู่ที่นั่นในนิจกาล (ตลอดกาล)
*ซึ่งเป็นที่ที่เธอจากมาเช่นกัน*
โลกปรมัตถ์นั้น "ปราศจากประสบการณ์"
มีเพียง "สภาวะแห่งการรู้"
"การรู้เป็นภาวะศักดิ์สิทธิ์"
1
แต่ "ความเบิกบานสูงสุด"
จะอยู่ในสภาวะแห่ง "การเป็น" (Being)
1
และ "การเป็น"
จะเกิดขึ้นหลังจาก "มีประสบการณ์" เท่านั้น
2
`ลำดับของวิวัฒนาการ` เป็นอย่างนี้ คือ
--- รู้ -> ประสบ -> เป็น ---
นี่คือ "ตรีเอกานุภาพหรือองค์สามอันศักดิ์สิทธิ์"
คือ "ตรีกายแห่งพระผู้เป็นเจ้า"
1
พระบิดา คือ "การรู้" คือ "บิดาแห่งความเข้าใจในสรรพสิ่ง" คือ "ผู้ให้กำเนิดทุกประสบการณ์" ด้วยว่า *เธอไม่สามารถมีประสบการณ์ในสิ่งที่ตนไม่รู้*
1
พระบุตร คือ "การประสบ" คือ "การปรากฏเป็นรูปธรรม" คือ "การสำแดงทุกสิ่งที่พระบิดารู้เกี่ยวกับตนเองออกมา" ด้วยว่า *เธอไม่สามารถเป็นในสิ่งที่เธอไม่มีประสบการณ์ได้*
พระวิญญาณบริสุทธิ์ คือ "การเป็น" คือ "การสลายตัวตนของทุกสิ่งที่พระบุตรได้มีประสบการณ์ถึงตนเอง" ภาวะอันวิจิตรบรรเจิดแต่เรียบง่ายนี้จะเข้าถึงได้ก็ด้วยเพียงผ่าน *ความทรงจำแห่งการรู้และประสบการณ์เท่านั้น*
"การเป็น" หรือภาวะอันเรียบง่ายนี้ คือ `ปิติสุขอันล้นพ้น` คือ *สภาวะแห่งพระเจ้าหลังจากได้รู้และมีประสบการณ์ถึงตนเองแล้ว*
นี่เองคือ "สิ่งที่พระเจ้าเพรียกหา ณ ห้วงเวลาแรกเริ่ม"
เธอคงเลยจุดที่ต้องอธิบายว่าพระบิดาและพระบุตรนั้น "ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศแต่อย่างใด"
ในที่นี้ฉันบรรยายภาพตามอย่างคัมภีร์ฉบับต่างๆที่พวกเธอยึดถือกันเท่านั้นเอง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ยุคก่อนหน้านั้นมากได้อุปมาในบริบท "พระมารดากับบุตรี" ซึ่งก็ไม่มีอันไหนถูกหรอก
ใจเธออาจทำความเข้าใจความสัมพันธ์นี้ได้ดีที่สุดในรูปของ "ผู้ให้กำเนิดกับบุตร" หรือไม่ก็เป็น "สิ่งที่ก่อให้เกิดกับสิ่งที่กำเนิดออกมา"
เมื่อเพื่อเติมส่วนที่สามของตรีเอกานุภาพหรือองค์สามเข้าไป จึงก่อให้เกิด`ความสัมพันธ์` ดังนี้
*** สิ่งที่ก่อให้เกิด \ สิ่งที่ถือกำเนิด \ สิ่งที่เป็น ***
"ไตรสัจจ์" นี้คือการลงนามของพระเจ้า
มันคือรูปแบบศักดิ์สิทธิ์
ไตรสภาวะเป็นรูปแบบที่พบได้ทุกหนแห่ง
ในมิติขั้นสูงเธอไม่อาจหลีกเลี่ยงภาวะนี้ได้ เมื่อต้องข้องแวะกับเรื่อง "เวลาและพื้นที่" "พระเจ้าและจิตสำนึก" หรือ "ในความสัมพันธ์ขั้นลึกซึ้งใดๆ"
แต่ตรงกันข้าม เธอจะไม่พบสัจจะแห่งองค์สาม "ในความสัมพันธ์ขั้นหยาบเลย"
"สัจจะแห่งไตรสภาวะนี้" จะถูกพบในความสัมพันธ์ขั้นสูง โดยทุกผู้ที่เกี่ยวข้องในความสัมพันธ์นั้น
นักการศาสนาบางคนอรรถาธิบายว่าเป็น "พระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณบริสุทธิ์"*
[*คริสต์ศาสนา กล่าวว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวแต่ทรงมี 3 พระภาค คือ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (พระจิต) ทั้งสามพระภาคนี้ถูกเรียกว่า ตรีเอกานุภาพ (Trinity)
พุทธมหายาน กล่าวว่า พระพุทธเจ้าแห่งอนันตกาลทรงมีองค์เดียว แต่ทรงมี 3 พระภาค เช่นกันคือ ธรรมกาย สัมโภคกาย และ นิรมานกาย (พระพุทธเจ้าที่อยู่ในจักรวาลแห่งกายภาพทั้งหมด เรียกว่า เป็นนิรมานกาย ของพระพุทธเจ้าแห่งอนันตกาล เช่น โคตมะพุทธเจ้า เป็นต้น) ~ แอดมิน]
นักจิตวิเคราะห์ใช้คำว่า
"จิตเหนือสำนึก จิตสำนึก และ จิตใต้สำนึก"
ส่วนผู้ปฏิบัติทางจิตวิญญาณจะกล่าวถึง
"จิตใจ ร่างกาย และ วิญญาณ"
นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า
"พลังงาน สสาร และ อีเธอร์"
นักปรัชญาบางคนบอกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะยังไม่ใช่ความจริงจนกว่ามันจะจริงแท้ใน "ความคิด ถ้อยคำ และ การกระทำ"
เมื่อเอ่ยถึง `เวลา` ขึ้นมาเธอจะพูดถึง สามขณะ เท่านั้นคือ "อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต"
เช่นที่เธอมี *สามขณะแห่งการรับรู้* นั่นคือ
"ก่อนหน้า ตอนนี้ และ ภายหลัง"
ส่วนความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับ `ระยะทาง` ไม่ว่าจะพิจารณาจากจุดใดในจักรวาลหรือจุดต่างๆในห้องหับของเธอเอง เธอก็จะจำแนกออกเป็น "ที่นี่ ที่นั้น และ ที่ว่างระหว่างนั้น"
ถ้าเป็น `ความสัมพันธ์ขั้นหยาบ` เธอจะไม่พบสิ่งที่เรียกว่า "ระหว่างกลาง" เลย ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ขั้นหยาบจะเป็น "แบบคู่เสมอ" ขณะที่ `ความสัมพันธ์ในมิติขั้นสูง` จะเป็น *สาม* เท่านั้น
ดังนั้นจึงมี ซ้าย - ขวา, บน - ล่าง, ใหญ่ - เล็ก, ร้อน - หนาว และ `สิ่งคู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด`เท่าที่มีการสร้างมาก็คือ "หญิง - ชาย"
ไม่มีสิ่งที่อยู่ "ระหว่างกลาง" สิ่งคู่เหล่านี้
สิ่งใดๆ "ไม่เป็นอย่างใดก็อย่างหนึ่ง" หรือไม่ก็ค่อนไปทางใดทางหนึ่งระหว่าง "สองขั้ว" นี้
ภายใต้ "ความสัมพันธ์ขั้นหยาบ" นั้น
*ไม่มีมโนคติใดดำรงอยู่โดดๆโดยปราศจากมโนคติจากขั้วตรงข้าม*
ประสบการณ์ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวันของเธอจะอยู่บนฐานความสัมพันธ์ (ขั้นหยาบ) นี้
แต่ "ในความสัมพันธ์ขั้นสูง"
สิ่งที่ดำรงอยู่จะไม่มีขั้วตรงข้าม
*ทั้งหมดคือหนึ่งเดียว*
ทุกสิ่งไหลเคลื่อน "จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่ง"
*เป็นวัฏจักรอันไม่สิ้นสุด*
...
...
...
สิ่งที่พระเจ้าเพรียกหา ณ จุดเริ่มต้นแห่งการเวลา นั้น
คือ "การได้มีประสบการณ์ถึงตัวเอง"
ว่าตัวเอง "เป็น" อะไร หรือสิ่งใด!
*มิใช่เพียงแค่รู้เท่านั้น*
และ "วัฏสงสาร" (วัฏจักรอันไม่สิ้นสุด)
(การเปลี่ยนร่างไปเรื่อยๆของจิตวิญญาณ)
ถึง "ไม่มีเบื้องต้น และ เบื้องปลาย"
`ทุกสิ่งไหลเลื่อน จากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งเสมอ`
ชั่วนิจนิรันดร์ เพราะ...
พระองค์ (เรา) ไม่มีวันที่จะหยุดมีประสบการณ์ถึงตนเอง
แอดมิน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา