18 ก.พ. 2020 เวลา 07:06 • ปรัชญา
#14 เล่ม 1 บทที่ 1 หน้า 84 ~ 89
...
N : ผมขอขัดจังหวะพระองค์หน่อยได้มั๊ย ผมไม่ชอบขัดจังหวะเวลาที่พระเจ้ากำลังเครื่องติดหรอกนะครับ
แต่ว่าผมเคยได้ยินเรื่องการพูดถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดมาก่อน มันไม่เห็นจะสอดคล้องกับประสบการณ์ของมนุษยชาติตรงไหน
ไม่ต้องพูดถึงความยุ่งยากที่คนทั่วไปต้องเผชิญก็ได้ ดูเฉพาะคนที่เกิดมาโดยมีข้อกำจัดทางจิตใจหรือทางกายภาพเท่านั้นก็พอ ศักยภาพของพวกเขาไม่จำกัดอย่างนั้นหรือครับ?
G : เธอได้เขียนไว้ในคัมภีร์ของพวกเธอหลายที่หลายวิธีนะ
N : โปรดขอตัวอย่างอ้างอิงซักหนึ่งตัวอย่างเถอะครับ
G : ดูที่พวกเธอเขียนไว้ในพระธรรมปฐมกาล* บทที่ 11 ข้อที่ 6 สิ
[*พระธรรมเล่มแรกในคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธะสัญญาเก่า ~ ผู้แปล]
N : ความว่า "แล้วพระเจ้าตรัสว่า `ดูเถิด คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียว มีภาษาเดียว นี่เป็นเพียงเบื้องต้นของสิ่งที่เขาจะทำ และเขาตั้งใจจะทำอะไรก็ทำได้ดังนั้น`"
G : ใช่ แล้วเธอเชื่อไหมล่ะ?
N : นี่ไม่ใช่คำตอบเกี่ยวกับคนพิการ คนอ่อนแอ หรือทุพพลภาพซึ่งมีข้อจำกัดนี่ครับ
1
G : เธอคิดว่าพวกเขามีข้อจำกัด (ตามคำที่เธอบอก) โดยที่ไม่ได้เลือกเองใช่ไหม
เธอจินตนาการว่าจิตวิญญาณของมนุษย์คนหนึ่งต้องเผชิญความท้าทายของชีวิต (ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร) โดย`บังเอิญ`อย่างนั้นหรือ?
1
นี่คือสิ่งที่เธอคิดใช่ไหม?
N : พระองค์หมายความว่า จิตวิญญาณ`เลือกชีวิตแบบที่ตนจะมามีประสบการณ์ล่วงหน้า`แล้วอย่างนั้นหรือครับ?
1
G : "ไม่ใช่" นั่นจะทำให้จุดประสงค์ในการเผชิญสิ่งเหล่านั้นหมดความหมายไป
จุดประสงค์นั้นคือ "เพื่อสรรค์สร้างประสบการณ์ของเธอ" ซึ่งก็คือการสร้างตัวตนของเธอ ณ ห้วงยามอันโรจน์รุ่งแห่ง`ปัจจุบันขณะ`
1
ดังนั้นเธอจึงไม่ได้เลือก `รูปแบบชีวิต` ที่จะมามีประสบการณ์ไว้ก่อนหรอก
แต่เธออาจเลือกบุคคล สถานที่ เหตุการณ์ สภาวะหรือสถานการณ์ สิ่งท้าทาย อุปสรรค โอกาสและทางเลือก
2
*เพื่อเอื้อสำหรับสร้างประสบการณ์ของตน*
2
เธออาจเลือกสีใส่ลงในแผ่นผสมสี เครื่องมือบรรจุลงหีบ เครื่องจักรสำหรับโรงงาน
ส่วนเธอจะสร้างอะไรขึ้นมาด้วยอุปกรณ์พวกนี้คือธุระของเธอ นั่นคือ "กิจธุระของชีวิต"
1
*ศักยภาพของเธอไร้ขีดจำกัด
ในทุกสิ่งที่เธอเลือกทำ*
2
พึง`อย่าสันนิษฐาน`ว่าจิตวิญญาณที่มาจุติในร่างที่เธอบอกว่ามีข้อจำกัดนั้นไม่อาจบรรลุถึงศักยภาพสูงสุด
*เพราะเธอไม่รู้หรอกว่าวิญญาณดวงนั้นกำลังพยายามทำอะไรอยู่*
2
เธอไม่เข้าใจวาระทางจิตวิญญาณของมันหรอก เธอยังไม่แจ้งชัดในความมุ่งมาดของมันเลย*
1
[*พระองค์กำลังบอกตรงนี้ว่า `จงอย่าคิดไปเอง`(ตัดสินไปเอง) ไม่ว่าคนอื่นนั้น จะมีรูปลักษณ์ทางกายภาพแบบใดก็ตาม ~ แอดมิน]
1
ด้วยเหตุนั้น...`จงชื่นชมต่อทุกผู้คน`
`ทุกสภาวการณ์` และ `จงขอบคุณ`
2
นั่นเองเธอได้รับรองถึงความสมบูรณ์แบบจากการรังสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าและแสดงศรัทธาต่อสิ่งนั้น
1
เพราะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญในโลกของพระเจ้า
1
"ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ" และโลกก็ไม่ได้ถูกกระหน่ำซ้ำตีจากการเลือกแบบสุ่มๆ หรือจากสิ่งที่เธอเรียกว่า `โชคชะตาด้วย`
ถ้ารูปลักษณ์ของหิมะหนึ่งเกล็ดยังสมบูรณ์แบบอย่างสูงสุดได้ เธอไม่คิดหรือว่าสิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นกับสิ่งมหัศจรรย์เช่น`ชีวิตของเธอ`ได้ด้วย
N : แต่แม้กระทั่งพระเยซูก็ยังทรงรักษาคนป่วย ทำไมถึงต้องรักษาพวกเขาล่ะในเมื่อสภาวะของเขาสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว?
G : เยซู `ไม่ได้รักษาคนเหล่านั้นเพราะเห็นว่าพวกเขาไม่สมบูรณ์แบบ`
แต่เพราะเห็นว่า `จิตวิญญาณของคนเหล่านั้น "ร้องขอการรักษาในฐานะขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการของพวกเขา"
เยซูเห็นถึงความสมบูรณ์แบบของกระบวนการนั้น
1
เขารู้และเข้าใจถึงความมุ่งมาดของจิตวิญญาณแต่ละดวง
1
ถ้าเยซูรู้สึกว่าบรรดาผู้เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ`แสดงถึงความไม่สมบูรณ์แบบ`แล้วละก็ ไม่ง่ายกว่าเหรอถ้าจะรักษาทุกคนบนดาวเคราะห์ดวงนี้ไปพร้อมกันเลย?
1
เธอสงสัยไหมว่าเยซูทำได้หรือเปล่า?
N : ไม่สงสัยครับผมเชื่อว่าพระเยซูทำได้
G : ดี...แล้วจิตใจก็ร้องขอใคร่รู้ ทำไมพระองค์ไม่ทำอย่างนั้นนะ?
ทำไมเยซูถึงปล่อยให้คนบางคนทนทุกข์ทรมานขณะที่บางคนได้รับการรักษา?
ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาตให้เกิดความทุกข์ทรมานใดๆขึ้นมาได้?
คำถามถูกตอบไปก่อนหน้านี้แล้ว
และคำตอบก็เป็นอย่างเดิมคือ :
"มีความสมบูรณ์แบบอยู่ในกระบวนการ"
1
"ทุกชีวิตกำเนิดขึ้นจากการเลือก"
2
ไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปก้าวก่ายหรือตั้งคำถามกับการเลือก
1
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรไป `ประณาม`
สิ่งที่เหมาะสมคือ "ให้เฝ้าสังเกต"
1
*จากนั้นทำสิ่งใดก็ได้เพื่อสนับสนุนให้วิญญาณแสวงหาทางเลือกที่สูงขึ้น*
ดังนั้นจงเฝ้าดูการเลือกของคนอื่นๆ
แต่อย่าพิพากษา
2
*จงรู้ว่าสิ่งที่เขาเลือกสมบูรณ์แบบแล้วสำหรับตัวเขาในเวลานั้น*
2
แต่จงพร้อมที่จะช่วยเหลือ
หากเขาเสาะหาทางเลือกใหม่ที่ต่างออกไป
ซึ่งเป็นทางเลือกที่สูงส่งกว่าเดิม
1
จงประสานเป็นหนึ่งกับวิญญาณดวงอื่นๆ
แล้วจุดหมายและเจตจำนงของวิญญาณเหล่านั้นจะชัดเจนต่อเธอ
นี่คือสิ่งที่เยซูกระทำกับผู้ป่วยที่รักษาและกลับบรรดาผู้คนที่ได้สัมผัส
เยซูรักษาทุกคนที่เข้าไปหาเขา
รวมทั้งใครก็ตามที่ส่งคนไปร้องขอการรักษา
1
`เขาไม่ได้สุ่มรักษา`
การทำอย่างนั้นจะเป็นการละเมิดกฎศักดิ์สิทธิ์ของจักรวาลที่ว่า :
*ปล่อยให้วิญญาณแต่ละดวงได้ก้าวไปบนหนทางของตัวเอง*
N : หมายความว่าเราไม่ต้องช่วยใครที่ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเราอย่างนั้นหรือครับ? ต้องไม่ใช่แน่นอน ไม่งั้นเราก็ไม่สามารถช่วยเด็กหิวโหยในอินเดีย หรือผู้คนมากมายที่ทุกข์ยากอยู่ในแอฟริกา คนจนหรือประชาชนที่ถูกกดขี่ข่มเหงทั่วหัวระแหง ความพยายามทางมนุษยธรรมทั้งหลายก็ต้องแห้งไป การสังคมสงเคราะห์ทั้งหมดก็ต้องห้าม เราต้องรอจนกว่าจะมีใครสักคนร้องครวญครางออกมาอย่างสิ้นหวัง หรือต้องให้ทั้งประชาชาติอ้อนวอนขอความช่วยเหลือเสียก่อนเราถึงจะมีสิทธิ์ทำสิ่งที่ชัดเจนว่ามันถูกต้องได้อย่างนั้นหรือครับ?
1
G : เห็นไหมล่ะ...ว่าคำถามมันตอบตัวเองอยู่แล้ว หากมีอะไรที่เห็นชัดว่า "ถูก" ก็ทำไปเลยสิ
แต่ให้ระลึกถึงการพิพากษาอย่างสุดโต่งในเรื่องที่เธอเรียกว่า "ผิด" หรือ "ถูก" ด้วยนะ
สิ่งหนึ่งจะ "ผิด" หรือ "ถูก" ก็เพราะเธอบอกว่าอย่างนั้น
1
มันไม่ได้ "ถูก" หรือ "ผิด" ในตัวมันเองหรอก
N : ไม่หรือครับ?
1
G : "ความถูก" หรือ "ความผิด" ไม่ใช่ภาวะจากภายใน
แต่เป็นการพิพากษาเชิงอัตวิสัยจาก "ระบบการให้ค่าของแต่ละคน"
เธอสร้างตัวตนของเธอขึ้นมาด้วยการตัดสินเชิงอัตวิสัยนี้ และเธอก็ได้กำหนดและแสดงออกว่าตัวเธอคือใครก็จากคุณค่าส่วนตัวนี้เช่นกัน
โลกเป็นอย่างที่มันเป็น...ก็เพื่อให้เธอทำการ `ตัดสินสิ่งเหล่านี้`
1
หากโลกปรากฏในสภาพที่สมบูรณ์แบบ "การสร้างตัวตนตามกระบวนการชีวิตก็จะต้องยุติ"
"มันจะจบลง"
อาชีพทนายความจะหายไปในพรุ่งนี้ ถ้าไม่มีการฟ้องร้องอีกต่อไป รุ่งขึ้นจะไม่มีอาชีพแพทย์ ถ้าไม่มีคนเจ็บป่วยอีกแล้ว และอาชีพนักปรัชญาก็จะสิ้นสุดลง หากไม่มีคำถามอีก...
N : และพรุ่งนี้อาชีพพระเจ้าก็จะจบลง ถ้าไม่มีปัญหาเหลืออีกแล้ว
G : ถูกต้องเลย เธอพูดได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
เราทุกคนจะจบสิ้นการสร้างสรรค์ลงถ้าไม่มีอะไรให้สร้างอีก
1
พวกเราทุกคนต่างมีผลประโยชน์พิเศษที่จะให้ `เกมดำเนินต่อไป`
2
มันก็เหมือนการพูดว่าเราอยากจะแก้ทุกปัญหาแต่เราไม่กล้าที่จะแก้ทุกปัญหาจริงๆหรอก เพราะจะไม่มีอะไรเหลือให้ทำอีกต่อไปน่ะสิ
1
"กลุ่มอุตสาหกรรมการทหาร" ของพวกเธอเข้าใจเรื่องนี้ดีมาก นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงต่อต้านอย่างรุนแรงต่อความพยายามใดๆ ที่จะจัดตั้งรัฐบาลที่ไม่ใฝ่สงคราม ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม
"สถาบันทางการแพทย์" ของเธอก็เข้าใจเรื่องนี้เหมือนกัน `พวกเขาจึงต่อต้านยาวิเศษตัวใหม่ๆ` หรือ `การรักษาโรคแบบใหม่อย่างแข็งขัน` มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น `พวกเขาต้องทำเพื่อความอยู่รอด` ยังไม่ต้องพูดเรื่องความเป็นไปได้ของความอัศจรรย์หรือปาฏิหาริย์ในการบำบัดรักษาต่างๆอีกด้วย
1
"องค์กรทางศาสนา" ของเธอเองก็เข้าใจชัด นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาถึงได้โจมตีอย่างพร้อมเพรียงต่ออรรถาธิบายใดๆเกี่ยวกับพระเจ้า `ที่ไม่รวมเอาความกลัว การพิพากษา และการลงทัณฑ์เข้าไว้` รวมถึงโจมตีคำจำกัดความใดๆเกี่ยวกับตัวตน ซึ่งไม่ตรงกับแนวคิดของพวกเขาเองที่บอกว่า `ตนเป็นหนทางเดียวในการเข้าถึงพระเจ้า`
หากฉันบอกว่าเธอคือพระเจ้า
แล้วศาสนาจะไปอยู่ที่ไหน
1
หากฉันบอกว่าเธอได้รับการรักษาแล้ว
เธอจะเอาวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ไปไว้ที่ใด
หากฉันบอกว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ในสันติสุข
แล้วที่ทางของบรรดาผู้ต่อสู้เพื่อสันติภาพเล่า
ถ้าฉันบอกเธอว่าโลกนี้สมบูรณ์แล้ว
เราจะเอาโลกที่เป็นอยู่นี้ไปทิ้งไว้ที่ไหนกัน?
แล้วบรรดาผู้ซ่อมแซม (ผู้แก้ไข) ล่ะ?
โดย`แก่นแท้`แล้วโลกใบนี้มีคนอยู่สองประเภทนั่นคือ "คนที่ให้สิ่งที่เธอต้องการ" กับ "คนที่คอยแก้ไขสิ่งต่างๆ"
ในความหมายหนึ่ง `กระทั่งคนที่เพียงมอบแต่สิ่งที่เธอต้องการ` ไม่ว่าจะเป็นคนขายเนื้อเอย คนทำขนมปังเอย คนทำเชิงเทียนเอย `ต่างก็เป็นผู้แก้ไขอยู่ในตัว`
1
ด้วยว่า "การมีความปรารถนาในบางสิ่งบ่อยครั้ง" คือ "ความรู้สึกว่า`จำเป็น`ต้องมีสิ่งนั้น"
นั่นคือเหตุผลที่กล่าวว่า "ผู้เสพติดต้องได้รับการ`แก้ไข`"
*ดังนั้นจงระวังไม่ให้ความปรารถนากลายเป็น`การเสพติด`*
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา