Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนังสือสนทนากับพระเจ้า
•
ติดตาม
27 ก.พ. 2020 เวลา 11:29 • ปรัชญา
#24 เล่ม 1 บทที่ 3 หน้า 130 ~ 133
...
N : โทษนะครับ ตรงนี้ทำให้ผมต้องขัดจังหวะอีกแล้ว พวกคนป่วยล่ะครับ พวกที่มีศรัทธาว่าจะเขยื้อนขุนเขาได้ ทั้งยังคิด พูด และเชื่อว่าตัวเองจะดีขึ้น แต่แล้วเพียงหกสัปดาห์ต่อมากลับเสียชีวิต
อย่างงี้จะตอบคำถามเรื่องการมองโลกในแง่บวกหรือว่าการย้ำจิต* ยังไง?
[*การย้ำจิต : การกล่าวข้อความเชิงบวก (ที่เราต้องการให้เกิดขึ้นในชีวิตจริง) กับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกและล้างโปรแกรมความคิด/ความเชื่อเชิงลบที่คอยจำกัดศักยภาพเราไว้ จุดหมายก็เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เป็นไปตามชุดข้อความที่เราใส่ลงไปในจิต ~ ผู้แปล]
G : ดี เธอถามคำถามค่อนข้างยากทีเดียว
ดีแล้วที่ไม่ได้รับคำพูดของฉันไปง่ายๆ
แต่จะมีบางจุดในอนาคตที่เธอ`ต้องรับ`เอาถ้อยคำของฉันไป เพราะในที่สุดเธอจะพบว่า เราคุยเรื่องนี้กันไปได้ไม่มีวันจบสิ้น ทั้งเธอและฉัน
จนกว่าจะไม่เหลืออะไรให้ทำนอกจากจะ
*ลองดูหรือไม่ก็ปฏิเสธมันซะ*
แต่เรายังไม่ถึงตรงนั้นหรอก เพราะฉะนั้นให้การสนทนาดำเนินต่อไป เรามาคุยกันต่อ
คนที่ "ศรัทธาว่าจะเขยื้อนขุนเขา" และตายในหกสัปดาห์ต่อมานั้น
เขาก็ได้เคลื่อนภูเขาเป็นเวลาหกสัปดาห์แล้วไง
ซึ่งนั่นอาจพอแล้วสำหรับ เขาก็ได้
เขาอาจตัดสินใจในชั่วโมงสุดท้ายของวันสุดท้ายว่า "เอาล่ะ...ฉันจะพอเสียที ตอนนี้ฉันพร้อมไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่แล้ว"
เธออาจไม่ล่วงรู้ถึงการตัดสินใจนี้ เพราะเขาไม่ได้บอกเธอ
1
ความจริงก็คือเขาอาจตัดสินใจ ในวันก่อนหน้าหรือสัปดาห์ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้บอกกล่าว กับเธอหรือใครเลย
พวกเธอ`ได้สร้างสังคม`ที่ถือเป็นการไม่ปรกติอย่างยิ่งหากใครซักคนอยากจะตายขึ้นมา
สังคมที่ไม่โอเคอย่างมาก ที่จะรู้สึกปรกติธรรมดากับความตาย เพราะ "เธอไม่อยากตาย" เธอจึงไม่อาจจินตนาการว่าจะมีใครที่อยากตายไม่ว่าสภาพหรือสถานการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
ทว่ามีหลายต่อหลายสถานการณ์ที่ *ความตายดีกว่าการมีชีวิตอยู่*
ซึ่งฉันรู้ว่าเธอจะจินตนาการออก ถ้าเพียงแค่หยุดคิดนิดหนึ่ง
แต่ความจริงพวกนี้ไม่ได้ปรากฏต่อเธอ (มันไม่ได้ชัดเจนในตัวเองขนาดนั้น) ยามเธอมองใบหน้าของคนซึ่ง `เลือกที่จะตาย`
ผู้ที่กำลังจะตายจะรู้ดี เขารู้สึกได้ถึงระดับการยอมรับในการตัดสินใจของตน จากคนในห้อง
เธอสังเกตไหมว่ามีหลายคนที่รอจนกระทั่งห้องว่างจากผู้คนแล้ว จึงสิ้นใจ
บางคนถึงกับบอกผู้ที่เขารักว่า "ไม่หรอก ไปเถอะ ไปหาอะไรกินเสียก่อน" หรือ "ไปนอนเถอะ ฉันไม่เป็นไร ไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้า"
จากนั้นเมื่อผู้คุ้มกันที่สัตย์ซื่อออกไปแล้ววิญญาณก็จากร่างไป
ถ้าพวกเขาบอกญาติมิตรที่มารวมกันว่า "ฉันเพียงแค่อยากตายเท่านั้นเอง" พวกเขาจะได้ยินคำจำพวก "โอ เธอไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก" หรือ "ตอนนี้อย่าพูดอะไรแบบนี้" หรือไม่ก็ "อยู่ต่อเถอะ" หรือ "อย่าจากฉันไปเลย"
วิชาชีพทางการแพทย์ทั้งหมดถูกฝึกมาเพื่อช่วยให้ผู้คนมีชีวิตอยู่
แทนที่จะทำให้พวกเขา "ตายสบายพอที่จะได้ลาโลกอย่างมีศักดิ์ศรี"
เธอเห็นไหมล่ะ แพทย์หรือพยาบาลมองว่าการเสียชีวิตของคนไข้คือความล้มเหลว
สำหรับญาติมิตรแล้วความตายคือความวิบัติ
*เฉพาะก็แต่ดวงวิญญาณเท่านั้นที่การตายคือการบรรเทาและปลดเปลื้อง*
2
ของขวัญยิ่งใหญ่ที่เธอมอบให้คนที่กำลังจะตายได้ก็คือ `ปล่อยให้เขาตายอย่างสงบ` โดยไม่คิดว่าควรจะ "อยู่ก่อน" หรือ "ทนทุกข์ทรมานต่อ" หรือ
"ต้องมาวิตกกังวล" เกี่ยวกับ`ตัวเธอ`ขณะอยู่บน
"ช่วงชีวิตที่สำคัญที่สุดของพวกเขา"
1
บ่อยครั้งจึงเกิดกรณีของผู้ที่บอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือเชื่อว่าตนจะมีชีวิตอยู่ต่อ จนถึงขั้นอธิษฐานเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่
แต่ว่าในระดับวิญญาณนั้นเขาได้ "เปลี่ยนใจ"
*ถึงเวลาที่ต้องทิ้งร่างกายเพื่อปลดปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระสู่หนทางใหม่*
เมื่อ`วิญญาณ`ตัดสินใจอย่างนั้นแล้ว `ร่างกาย`ก็ไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อเปลี่ยนแปลงได้ `จิตใจ`ก็ไม่สามารถคิดเพื่อที่จะเปลี่ยน
1
ช่วงขณะแห่งความตายนี้เองที่เราจะได้เรียนรู้ว่าในร่างอันประกอบด้วย กาย ใจ และ วิญญาณ นั้น *ใครกันแน่คือผู้ขับเคลื่อนสิ่งต่างๆ*
1
ตลอดชีวิตเธอคิดว่า เธอคือร่างกาย
บางเวลาเธอคิดว่า เธอคือจิตใจ
แต่เมื่อ "ถึงโมงยามที่เธอตาย"
1
เธอจะรู้ว่า *แท้จริงแล้วเธอคือใคร*
3
แต่ก็มีช่วงเวลาที่ร่างกายและจิตใจ`ไม่ฟัง` วิญญาณด้วยเหมือนกัน
2
จึงทำให้เกิดฉากที่เธอบรรยายมานั่นล่ะ
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้คนก็คือ :
"การฟังเสียงวิญญาณของตัวเอง"
(สังเกตได้ว่ามีน้อยคนที่ทำอย่างนั้น)
จึงเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยๆ เมื่อวิญญาณตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะละจากร่างกาย และจิตซึ่งคอยรับใช้วิญญาณได้ยินเข้ากระบวนการ`ละร่าง`จึงเริ่มต้นขึ้น
1
แต่ทีนี้ อัตตา(จิตใจ) ก็ไม่อยากจะยอมรับ
เพราะนั่นคือจุดจบแห่งการดำรงอยู่ของมัน
1
มันจึงสั่งร่างกายให้ต่อต้านความตาย
ซึ่งร่างกายก็ทำตามอย่างเต็มใจ
ด้วยว่ามันเองก็ไม่อยากตายเหมือนกัน
กายและอัตตา (จิตใจ) ได้รับการสนับสนุน รวมทั้งการสรรเสริญอย่างยิ่งยวดจากโลกภายนอก
*ซึ่งเป็นโลกที่มันสร้างขึ้นมาเอง*
ดังนั้นจึงยิ่งตอกย้ำรับรองวิธีการของมัน
เมื่อถึงจุดนี้ทุกอย่างก็ขึ้นกับว่าดวงวิญญาณต้องการจากไปมากน้อยแค่ไหน
หากไม่มีอะไรเร่งด่วนมากมาย วิญญาณก็อาจจะพูดว่า "ตกลง พวกเธอชนะ ฉันอยู่ต่ออีกหน่อยนึงก็ได้"
1
แต่หากวิญญาณชัดเจนมากๆว่า *การอยู่ต่อไปไม่อาจส่งเสริมภารกิจที่สูงส่งกว่า*
หรือ *ไม่มีทางก้าวหน้าพัฒนาได้อีกแล้วผ่านร่างนี้* วิญญาณก็จะจากไป
ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้
และไม่ควรพยายามทำอย่างนั้นด้วย
วิญญาณเข้าใจชัดว่าจุดประสงค์ของมันคือ "วิวัฒนาการ"
นั่นคือ *จุดหมายเดียวเท่านั้นของวิญญาณ*
มันไม่สนใจ "ความสำเร็จทางกาย"
หรือ "พัฒนาการของจิตใจ"
สิ่งดังกล่าว "ไร้ความหมายสำหรับวิญญาณ"
1
วิญญาณยังเข้าใจชัดเจนด้วยว่าการ "ละสังขาร" ไม่ใช่เรื่องโศกนาฏกรรมแต่อย่างใดเลย
1
ในหลายๆทางแล้วการอยู่`ในร่าง`ต่างหากที่เป็นโศกนาฏกรรม
เธอต้องเข้าใจว่าวิญญาณมองทุกสิ่งเกี่ยวกับการตายแตกต่างออกไป
และแน่นอนมันมองเรื่องราวในชีวิตต่างไปด้วย
นี่เองคือที่มาของความว้าวุ่น และวิตกกังวลในชีวิตของผู้คน
ความว้าวุ่นและวิตกกังวลมาจากการที่พวกเขา
*ไม่ยอมฟังเสียงจากวิญญาณของตัวเอง*
...
...
...
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สนทนากับพระเจ้า เล่ม 1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย