2 มี.ค. 2020 เวลา 13:56 • ประวัติศาสตร์
ประวัติศิษย์ขงจื่อ
จื่อลู่ (子路)
จื่อลู่ ศิษย์ขงจื่อ นามเดิมจ้งอิ๋ว อีกนามว่าจี้ลู่ จื่อลู่เป็นฉายานามที่ผู้คนรู้จักอย่างแพร่หลาย เป็นชาวแคว้นหลู่ อายุอ่อนกว่าขงจื่อ ๙ ปี มีอุปนิสัยองอาจหาญห้าว เคยดำรงตำแหน่งขุนนางในตระกูลจี้ซื่อแห่งเมืองหลู่ เป็นขุนนางในเมืองผู่อี้แห่งแคว้นเว่ย และเป็นขุนนางในอาณัติของข่งคุยแห่งแคว้นเว่ย
เนื่องจากจื่อลู่มีความสามารถในทางการเมืองการปกครอง ดังนั้นจึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสิบปราชญ์แห่งสำนักขงจื่อในหมวดการเมือง
จื่อลู่เป็นผู้ที่รักและเคารพขงจื่ออย่างที่สุด ดังนั้นจึงคอยติดตามขงจื่อไม่ยอมห่าง ด้วยเพราะเหตุนี้ ในคัมภีร์หลุนอวี่จึงมีการบันทึกถึงจื่อลู่มากถึง ๓๙ ตอนด้วยกัน นับว่าเป็นศิษย์ที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดในคัมภีร์หลุนอวี่ หรือก็คือในทุก ๑๒ ตอนจะมีปรากฏเรื่องราวของจื่อลู่หนึ่งครั้ง ความสำคัญของจื่อลู่จึงสามารถเห็นจากจุดนี้โดยมิพักสงสัย
แรกพบ
เมื่อครั้งขงจื่อเริ่มรับศิษย์ จื่อลู่เป็นศิษย์ในกลุ่มแรกๆ ที่ขอเข้าพบขงจื่อ ตามบันทึกคัมภีร์โบราณได้บอกเล่าลักษณะการแต่งกายของจื่อลู่ว่า “จื่อลู่สวมหมวกที่ประดับด้วยขนไก่ บนกายแขวนหินสลักรูปหมู”
ในตำราขงจื่อเจียอวี่ (孔子家語) ก็ได้บรรยายเหตุการณ์ที่จื่อลู่ได้พบขงจื่อในครั้งแรก ดังนี้
ขงจื่อถามจื่อลู่ว่า “เจ้าชอบอะไร?”
จื่อลู่ตอบว่า “ชอบกระบี่”
ขงจื่อกล่าวว่า “ข้ามิได้ถามเรื่องนี้ ข้าหมายถึงด้วยความสามารถของเจ้า หากเพิ่มเติมด้วยความรู้ คงไม่มีสิ่งใดที่จะกระทำไม่สำเร็จได้อีกแล้ว”
จื่อลู่ตอบกลับอย่างขึงขังว่า “การเรียนรู้ไม่มีประโยชน์อันใด”
ขงจื่อกล่าวว่า “หากกษัตริย์ไร้ขุนนางที่คอยทัดทานก็จะไร้ความเที่ยงธรรม บัณฑิตไร้มิตรคงแก่เรียนก็จะสูญเสียการฟังที่เที่ยงตรง ผู้ควบคุมม้าพยศจะไม่ยอมปล่อยบังเหียน ผู้ใช้ศรจะไม่ยอมทิ้งเครื่องปรับศูนย์ ไม้ที่มีเต้าตีเส้นก็จะเที่ยงตรง คนที่มีผู้ทัดทานก็จะเป็นอริยะ ดังนั้นหากผู้ศึกษารู้จักหมั่นถามไถ่ มีฤๅที่จะไม่สำเร็จ? หากว่าร้ายผู้ทรงเมตตา ชังเกียจอำมาตย์ขุนนาง สุดท้ายก็จะเฉียดใกล้กับอาญา ดังนั้นปราชญ์วิญญูจะไม่เรียนรู้นั้นไม่ได้เลย”
จื่อลู่ไม่เห็นด้วย จึงกล่าวแย้งขึ้นว่า “บนภูเขาหนันซันมีต้นไผ่ชนิดหนึ่ง มีความเหนียวและตรงแน่ว หากตัดมาใช้งาน ความคมแหลมของมันจะทะลวงได้แม้กระทั่งหนังแรด หากกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนรู้อะไรเลย”
ขงจื่อกล่าวว่า “แต่หากเติมขนนกให้กับลูกศร หัวศรฝนให้แหลมคม มันก็จะทะลวงได้ลึกมากยิ่งขึ้นมิใช่ฤๅ?”
ครั้นจื่อลู่ได้ฟังก็ยอมรับในที่สุด จึงหมอบกราบขงจื่ออีกครั้ง พร้อมทั้งกล่าวว่า “ศิษย์ขอน้อมคารวะรับการสอนสั่งจากท่านอาจารย์”
นอกจากนี้ ในหนังสือซัวเอวี้ยน (說苑) ซึ่งเป็นหนังสือที่บันทึกตำนานในสมัยโบราณ ก็ได้บันทึกเรื่องราวของจื่อลู่ไว้ดังนี้ว่า
จื่อลู่ถือกระบี่ ขงจื่อถามขึ้นว่า “จื่อลู่ ไฉนต้องใช้สิ่งนี้ด้วย?”
จื่อลู่กล่าวว่า “ยามประสบคนดี ผู้คนแต่โบราณย่อมใช้สิ่งดีสนองตอบ แต่ยามประสบคนไม่ดี ผู้คนแต่โบราณย่อมใช้สำหรับป้องกันตัว”
ขงจื่อกล่าวว่า “วิญญูชนจะใช้ความภักดีเป็นแก่น ใช้เมตตาธรรมเป็นเกราะ ด้วยแม้นจะไม่ได้ออกนอกกำแพงบ้าน หากแต่กิตติคุณก็กึกก้องกังวานไกล ยามประสบคนไม่ดี ก็ใช้ความภักดีเข้ากล่อมเกลาเหล่าไพรี ยามประสบอันธพาล ก็ใช้เมตตาธรรมเข้าโอบล้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ ไยต้องใช้กระบี่ด้วยเล่า?”
จื่อลู่กล่าวว่า “ขอให้ท่านอาจารย์ ได้โปรดอนุญาตให้ศิษย์น้อมอภิวาทปรนนิบัติท่านอาจารย์ด้วยเถิด”
แม้นเรื่องราวของจื่อลู่จะบันทึกอยู่ในคัมภีร์ปกรณ์ที่แตกต่างกัน แต่ก็ล้วนสะท้อนบุคลิกภาพที่บุ่มบ่ามห้าวหาญ หากแต่มีหัวใจที่เที่ยงธรรมของจื่อลู่ออกมาได้อย่างชัดเจน และแม้นจื่อลู่จะเป็นคนที่ห้าวหาญไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ใดก็ตาม แต่เพียงได้สัมผัสในคุณธรรมและบารมีอันสูงส่งของขงจื่อเท่านั้น จิตใจที่แข็งกร้าวไม่ยอมใครก็อ่อนระทวยปานขี้ผึ้งที่ลนไฟ พร้อมทั้งยังขอน้อมรับการประสิทธิ์ประสาท และหันมาปรับปรุงพัฒนาตนจนเป็นปราชญ์วิญญูผู้สุภาพอ่อนน้อมเลยทีเดียว
อุปนิสัยของจื่อลู่
ในขงจื่อเจียอวี่ (孔子家語) บทตำนานศิษย์ขงจื่อ (仲尼弟子列傳) ได้บรรยายภาพลักษณ์ของจื่อลู่ไว้ว่า “จ้งอิ๋ว ฉายาจื่อลู่ เป็นคนรุ่มร้อน อายุน้อยกว่าขงจื่อเก้าปี มีอุปนิสัยกักขฬะ ชอบใช้กำลัง หากแต่เป็นคนที่มีจิตใจเที่ยงตรง ชอบสวมหมวกที่ประดับด้วยขนไก่ บนกายแขวนหินสลักรูปหมูเป็นอาภรณ์ กระทำในสิ่งที่ดูหมิ่นขงจื่อ แต่ขงจื่อได้ใช้วิถีแห่งจริยาเพียงเล็กน้อยเข้าอบรม จื่อลู่ก็คล้อยหลังสวมชุดบัณฑิตสุภาพ นำของกำนัลมาขอเข้าพบ และขอให้ศิษย์ในสำนักช่วยพาเข้าไปกราบขอเป็นศิษย์ด้วยขงจื่อ”
ทั้งนี้ ในคัมภีร์หลุนอวี่ บทเซียนจิ้น ได้มีการบรรยายความรู้สึกของขงจื่อที่มีต่อจื่อลู่และลูกศิษย์ท่านอื่นๆ ว่า
“จื่อเกานั้นเขลา เจิงจื่อนั้นทึบ จื่อจังนั้นหรู ส่วนจื่อลู่นั้นห่าม”
ด้วยเพราะจื่อลู่เป็นคนที่มีอุปนิสัยเที่ยงตรง ยอมหักไม่ยอมงอ ขงจื่อจึงมักจะหาโอกาสทำการตักเตือนจื่อลู่อยู่เสมอ ดังที่มีปรากฏอยู่ในบทเซียนจิ้นว่า
ยามหมินจื่อเชียนยืนปรนนิบัติอยู่ข้างขงจื่อ อิริยาบทจะดูสง่าผ่าเผย ส่วนจื่อลู่นั้น ท่วงทีจะดูกล้าแกร่ง ส่วนหยั่นฉิวแลจื่อก้งนั้น กิริยาดูสุขุมเที่ยงตรง ขงจื่อรู้สึกสราญใจยิ่งนัก แต่ก็ยังกล่าวตักเตือนทุกคนว่า “หากมีอุปนิสัยเยี่ยงจื่อลู่เช่นนี้ เกรงว่าจะมิได้ตายในวัยอันควร”
อุปนิสัยและจิตใจของจื่อลู่ ไม่เพียงแต่ได้สะท้อนออกมาทางกิริยาและการเจรจาเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนออกมาที่เสียงพิณอีกด้วย ด้วยเพราะนักดนตรีที่มีจิตใจอ่อนนุ่มละมุนละไม จึงจะสามารถดีดพิณได้ไพเราะเสนาะโสต แต่หากมีจิตใจที่รุ่มร้อน เสียงดนตรีที่สะท้อนออกมาก็จะเป็นเสียงพิณที่ดุดัน ด้วยเพราะเหตุนี้ ขงจื่อจึงวิจารณ์เสียงพิณของจื่อลู่ว่า “วิชาพิณอย่างจื่อลู่เช่นนี้ ไยจึงมาดีดที่สำนักข้าได้ ?”
แม้นขงจื่อจะวิจารณ์อุปนิสัยที่มีความบุ่มบ่ามมุทะลุของจื่อลู่อย่างไรก็ตาม แต่ท่านก็รักและเอ็นดูจื่อลู่ไม่น้อย เพราะแม้นจื่อลู่จะเป็นคนที่มีนิสัยกักขฬะ คิดไวทำไว พูดไวอย่างไม่ยั้งคิดก็จริง แต่จื่อลู่ก็มีอุปนิสัยที่สัตย์ซื่อ ไม่คดโกงเอาเปรียบผู้ใด ทั้งยังมีจิตใจที่จงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ สำหรับอุปนิสัยเช่นนี้ ขงจื่อเคยกล่าวว่ามีความใกล้ชิดกับเมตตาธรรม ดังที่มีปรากฏในคัมภีร์หลุนอวี่ บทจื่อลี่ดังนี้
“ผู้ที่มีความแกร่งกล้า เด็ดเดี่ยว สัตย์ซื่อและทึมทึบนั้น ถือว่ามีความใกล้เคียงกับเมตตาธรรมแล”
ดังนั้น ขงจื่อจึงมักอบรมสอนสั่งจื่อลู่ให้รู้จักยั้งคิด อย่าได้วู่วามตามอารมณ์ดังนี้
“ใฝ่เมตตาโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความเขลา ใฝ่ปัญญาโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความเห่อเหิม ใฝ่สัจจาโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือการบีฑา ใฝ่เที่ยงตรงโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความมุทะลุ ใฝ่ยรรยงโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือการพิพาท ใฝ่กล้าแกร่งโดยไม่ใฝ่ศึกษา สิ่งที่จะปิดกั้นคือความอหังการ์”
ต่อให้จื่อลู่จะมีความกักขฬะหยาบกระด้างจนขงจื่อต้องคอยตำหนิและอบรมอย่างตรงไปตรงมาอยู่บ่อยครั้งก็จริง แต่ความจริงขงจื่อกลับมีความไว้วางใจจื่อลู่อย่างที่สุด ดังที่มีปรากฏในคัมภีร์หลุนอวี่ บทกงเหยี่ยฉางดังนี้
ขงจื่อกล่าวว่า “หากธรรมะมิอาจขจร ก็จักขอนั่งแพล่องไปในทะเล แลผู้ที่จะติดตามข้าได้ เห็นจะมีเพียงจื่อลู่กระมัง ?”
จึงเห็นได้ว่า ในดวงใจของขงจื่อ ท่านมีความรักและไว้วางใจจื่อลู่มากเป็นที่สุด เพราะยามเมื่อเราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่ว่าใครก็คงต้องการให้มีใครสักคนช่วยเติมเต็มหัวใจในยามอ้างว้าง ช่วยเติมเต็มกำลังใจในยามที่อ่อนล้า และสำหรับท่านขงจื่อนั้น ท่านได้มอบความไว้วางใจนี้ให้กับจื่อลู่ เพราะในตลอดหนทางที่ขงจื่อต้องเดินทางเผยแผ่อุดมการณ์ในแต่ละแว่นแคว้นนั้น จื่อลู่จะคอยทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์ขงจื่ออยู่มิห่าง ไม่ว่าจะมีภัยพาลใดๆ มาแผ้วผลาญ ก็จะมีจื่อลู่ที่ยืดอกแบกรับอยู่ข้างหน้าอย่างองอาจ ดังนั้นขงจื่อจึงสามารถไว้วางใจในตัวจื่อลู่มากเป็นที่สุด
ความกตัญญูสะเทือนฟ้าดิน
แม้นจื่อลู่จะมีอุปนิสัยค่อนไปในทางบุ่มบ่ามรุ่มร้อนก็จริง แต่อุปนิสัยด้านความกตัญญูรู้คุณของจื่อลู่ ก็นับว่าเป็นที่เลื่องลือจนถูกบันทึกอยู่ใน 24 กตัญญูเลยทีเดียว
ก่อนที่จื่อลู่จะได้มากราบขอเป็นศิษย์ขงจื่อ สถานะครอบครัวของท่านนับว่ามีความอัตคัดขัดสนยิ่งนัก ท่านมีความยากจนข้นแค้นจนถึงขนาดต้องเก็บผักป่าและถั่วป่าที่หยาบกระด้าง (藜藿) ประทังชีวิต แต่แม้นท่านจะขัดสนแร้นแค้นมากสักเพียงใด สิ่งหนึ่งที่ท่านจะไม่ขาดตกบกพร่องเลย นั่นก็คือจะต้องให้บุพการีได้ทานอาหารที่ดีที่สุด ด้วยแม้นว่าตนจะต้องอดออมหรือต้องเหนื่อยยากมากสักเพียงใดก็ตาม
เนื่องจากจื่อลู่และพ่อแม่ต้องทานข้าวและอาหารที่หยาบและกลืนยากมาโดยตลอด ภายหลัง ท่านได้ทราบว่ามีข้าวสารชนิดหนึ่ง เมื่อหุงแล้วจะมีความหอมนุ่มและทานง่าย หากแต่มีราคาที่สูงเกินกว่าผู้คนทั่วไปจะจ่ายไหว และต่อให้มีเงินทองมากพอที่จะจับจ่ายหาซื้อมาทานได้ก็จริง แต่ก็ยังต้องเดินทางไกลไปหาซื้อที่ต่างเมืองถึงร้อยลี้เลยทีเดียว แต่เพื่อให้พ่อแม่ได้ทานข้าวหอมที่อ่อนนุ่มไม่กระด้างแล้ว จื่อลู่ก็ยอมอดออมอดกลั้น เดินทางไกลถึงร้อยลี้ไปซื้อข้าวสาร และแบกกลับมาให้พ่อแม่ได้รับประทานเป็นประจำ เพราะความสุขที่สุดในชีวิตของจื่อลู่ ก็คือการได้เห็นพ่อแม่มีความสุข ดังนั้นต่อให้จื่อลู่ต้องลำบากยากแค้นสักเพียงใดก็ยอมได้ทั้งสิ้น
ต่อมา หลังจากพ่อแม่ทั้งสองต่างได้เสียชีวิตไปแล้ว จื่อลู่ก็มีโอกาสได้รับราชการที่เมืองฉู่ เงินบำเหน็จจากการทำราชการก็ทำให้จื่อลู่มีสถานะความเป็นอยู่ที่มั่งมีมากกว่าเก่าก่อน ท่านมีรถม้าที่คอยติดสอยห้อยตามนับร้อยคัน มีข้าวสารที่หอมนุ่มนับพันหมื่นถัง มีเบาะรองนั่งอันอ่อนนุ่มนับหลายชั้น บนโต๊ะอาหารก็มีจัดวางอาหารอันโอชะจนตระการตา ครั้นท่านเห็นอาหารที่จัดวางบนโต๊ะอย่างอุดมสมบูรณ์ ก็พลอยสะกิดความคิดให้ระลึกถึงบุพการีที่ล่วงลับ พลางถอนใจขึ้นว่า “แม้นตอนนี้อยากจะกลับไปทานข้าวหยาบผักป่า เหนื่อยกายาแบกข้าวให้พ่อแม่เหมือนแต่ก่อน ก็มิอาจทำได้เลยแล”
สำหรับความกตัญญูต่อบุพการีของจื่อลู่นั้นเป็นที่เลื่องลือไกล ในข้อนี้ ขงจื่อได้กล่าวชมจื่อลู่ว่า “ในด้านการปรนนิบัติบุพการีของจื่อลู่นั้น นับว่ายามอยู่ทุ่มเทใจ ยามวายชีวาก็ระลึกตรึกพระคุณอย่างที่สุดแล้วแล”
ความสามารถด้านการปกครอง
แม้นจื่อลู่จะมีความเที่ยงตรงชนิดที่ยอมหักไม่ยอมงอ มีความทนงในเกียรติยศศักดิ์ศรีเหนือยิ่งกว่าชีวี จนค่อนไปทางบุ่มบ่ามมุทะลุอยู่บ้างก็จริง แต่ขงจื่อก็มีความชื่นชมในความสามารถด้านการปกครองของจื่อลู่ จนได้ยกจื่อลู่ให้เป็นหนึ่งในสิบปราชญ์แห่งสำนักขงจื่อในด้านการปกครอง
การยอมรับจื่อลู่ในความสามารถด้านการปกครองของขงจื่อ สามารถเห็นได้จากบทสนทนาในคัมภีร์หลุนอวี่ดังต่อไปนี้
เมิ่งอู่ป๋อถามขงจื่อว่า “จื่อลู่มีเมตตาธรรมหรือไม่ ?” ขงจื่อตอบว่า “ไม่ทราบได้แล” เมิ่งอู่ป๋อถามอีกครั้ง ขงจื่อจึงตอบว่า “สำหรับจื่อลู่แล้ว บ้านเมืองขนาดรถศึก ๑,๐๐๐ คัน สามารถแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพได้ หากแต่มิอาจทราบได้ว่าเขามีเมตตาธรรมหรือไม่”
แม้นคุณธรรมของจื่อลู่จะยังไม่สมบูรณ์จนถึงขั้นเมตตาธรรม ซึ่งเป็นคุณธรรมขั้นคัมภีรภาพที่ขงจื่อตั้งหวังไว้ก็จริง แต่ในเรื่องของความรักใคร่ปวงประชา อุทิศกายาเพื่อพิทักษ์มหาชนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ขงจื่อให้การยอมรับมาโดยตลอด ทั้งนี้ จื่อลู่ยังมีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องการเมืองการปกครองอยู่ไม่น้อย ดังนั้นท่านจึงมักจะเรียนถามเรื่องการปกครองจากขงจื่ออยู่เสมอ
ครั้งหนึ่ง จื่อลู่ได้เรียนถามขงจื่อเรื่องการปกครอง ขงจื่อกล่าวว่า “ทำตัวเป็นแบบอย่าง แลตรากตรำไม่ท้อ”
จื่อลู่ขอให้ขงจื่ออธิบายเพิ่มเติม ขงจื่อกล่าวว่า “จงทำโดยมิรู้หน่าย”
ทัศนะเรื่องการปกครองของขงจื่อก็คือการปกครองใจคน การที่จะปกครองใจคนได้ก็จะต้องทำตัวให้เสมือนดั่งบิดามารดรแห่งปวงประชา ให้ความรักแก่ปวงประชา และเป็นแบบอย่างอันดีงามแก่ปวงประชา เพื่อให้อาณาประชาราษฎ์ต่างได้น้อมนำไปปฏิบัติ บำเพ็ญจิตใจจนประเสริฐ มีน้ำใจที่โอบอ้อม และมีคุณธรรมที่สมบูรณ์พร้อม และการที่จะทำให้บรรลุผลเช่นนี้ได้ ผู้ปกครองจะต้องมีหัวใจที่มีความอดทนอดกลั้นต่อทุกปัญหา และทุ่มเทจิตใจเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับอาณาประชาราษฎ์อย่างไม่เหนื่อยหน่ายย่อท้อ เพียงเช่นนี้ ก็จะบรรลุในวัตถุประสงค์ของการปกครองได้
เป็นผู้บริหารเมืองผู่อี้
จื่อลู่ได้ตั้งใจเรียนรู้ศิลปวิทยากับขงจื่อมาช้านาน ตราบจนวันหนึ่ง โอกาสที่จื่อลู่จะได้แสดงฝีมือก็มาถึง
จื่อลู่ได้รับโอกาสให้ไปบริหารเมืองผู่อี้ แต่ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปรับราชการที่เมืองผู่อี้นั้น ก็ได้ขอเข้าพบขงจื่อเพื่อกราบอำลา พร้อมกับขอคำแนะนำในการทำงานจากท่านขงจื่อในขณะเดียวกัน ในประวัติศาสตร์สื่อจี้ (史記) และขงจื่อเจียอวี่ (孔子家語) ต่างมีการบันทึกไว้เช่นนี้ว่า
จื่อลู่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเมืองผู่อี้ จึงมากราบอำลาขงจื่อ ขงจื่อกล่าวว่า “เมืองผู่อี้มากด้วยผู้มีกำลัง ทั้งยังยากแก่การปกครอง แต่ข้าก็ยังอยากจะกล่าวกับเจ้าว่า ความเคารพนบนอบ ย่อมสามารถสยบความองอาจ ความใจกว้างเที่ยงธรรม ย่อมสามารถสมัครสมานปวงชน ความนอบน้อมเที่ยงธรรม และปวงประชาที่สงบร่มเย็น ย่อมสามารถตอบแทนพระกรุณาธิคุณแห่งองค์ประมุข”
ครั้นจื่อลู่ได้รับโอวาทดังนี้ ก็ได้น้อมนำแนวทางในการบริหาร และเดินทางไปรับตำแหน่งที่เมืองผู่อี้อย่างตั้งใจ
ครั้นถึงเมืองผู่อี้ จื่อลู่ได้ทำการวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนการบริหาร เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนอย่างตั้งใจ จื่อลู่ทราบดีว่า อันความทุกข์สุขแห่งประชา ก็คือปัญหาเรื่องปากท้อง เรื่องปากท้องก็คือเรื่องการเพาะปลูก รากเหง้าของการเพาะปลูกก็คือน้ำ ดังนั้นจื่อลู่จึงระดมชาวบ้านมาช่วยขุดลอกคลองคู และใช้เงินบำเหน็จส่วนตัวแจกจ่ายเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ชาวบ้าน จนผู้คนต่างปลาบปลื้มชมเชยจื่อลู่อยู่มิขาด
ครั้นข่าวที่จื่อลู่ใช้บำเหน็จส่วนตัวระดมกำลังชาวบ้านขุดลอกคลองคูได้ลือสะพัดจนขงจื่อได้รับทราบแล้วก็รู้สึกตกใจยิ่ง จึงรีบสั่งจื่อก้งเดินทางไประงับยับยั้งจื่อลู่ในทันที ครั้นจื่อลู่ได้รับคำสั่งขงจื่อก็รู้สึกขุ่นเคืองยิ่ง จึงรีบเดินทางเข้าพบขงจื่อ เพื่อขอความกระจ่างโดยไม่รอช้า
ขงจื่อได้อธิบายว่า “ขึ้นชื่อว่าขุนนาง หมายถึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ไปบริหารบ้านเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ หน้าที่แห่งขุนนางจึงควรที่จะเทิดทูนพระราชเกียรติยศให้ปวงประชาได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจึงจะถูก แต่สิ่งที่จื่อลู่ได้กระทำในบัดนี้ คือการใช้บำเหน็จส่วนตัวแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน ชาวบ้านจึงมีแต่ซาบซึ้งในพระคุณของจื่อลู่ โดยหาได้ซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณแห่งองค์พระประมุขไม่ ในฐานะที่เป็นขุนนางที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย แต่กลับปิดบังอำพรางความดีไว้ที่ตน นี่ก็คือความทุจริต อีกทั้งยังปกครองประชาชนจนผู้คนไม่รู้ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระประมุข นี่ก็คือการไร้ความจงรัก หากปฏิบัติเช่นนี้นานวันเข้า ประชาชนจะซาบซึ้งแต่เจ้า โดยหาได้ซาบซึ้งในพระประมุขไม่ จงตระหนักไว้ว่า ประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ด้วยพระบารมี หากขุนนางบริหารท้องถิ่นจนเบื้องบนเสื่อมพระบารมีแล้ว ประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร?”
ครั้นจื่อลู่ได้ฟังขงจื่อสอนสั่งแล้วก็รู้สึกผิดยิ่งนัก จึงได้กราบขอขมาและรีบเดินทางกลับไปแก้ไขปรับปรุงในทันที
วันหนึ่ง หลังจากจื่อลู่บริหารเมืองผู่อี้ได้สามปี ขงจื่อได้เดินทางผ่านไปที่นั่น ครั้นถึงชายแดน ขงจื่อเปรยขึ้นว่า “จื่อลู่คนนี้ เขาปกครองได้ดีจริง ๆ เขาปกครองด้วยความนบนอบและถือสัจจะได้ดียิ่งนัก”
ครั้นเข้าสู่ตัวเมือง ขงจื่อก็อุทานขึ้นอีกว่า “จื่อลู่คนนี้ เขาปกครองได้ดีจริง ๆ เขามีความซื่อสัตย์และอารีต่อชาวบ้านยิ่งนัก”
ครั้นขงจื่อเข้าถึงจวนว่าการ ก็อุทานขึ้นอีกว่า “จื่อลู่คนนี้ เขาปกครองได้ดีจริง ๆ เขามีความรอบคอบและเด็ดขาดในการตัดสินคดียิ่งนัก”
เมื่อจื่อก้งที่ทำหน้าที่ขับรถม้าให้กับขงจื่อได้ยิน ก็รู้สึกคลางแคลงใจยิ่งนัก จึงถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ยังมิได้เห็นผลงานของจื่อลู่อย่างเป็นรูปธรรมเลย ไยท่านจึงกล่าวชมจื่อลู่ถึงสามครั้งด้วยเล่า? ขอให้ท่านอาจารย์กรุณาแถลงไขด้วยเถิด”
ขงจื่อกล่าวว่า “ข้าได้เห็นผลงานของเขาอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว ยามที่อาจารย์เข้าถึงชายแดน ได้เห็นที่นาถูกไถพรวนอย่างเรียบร้อย วัชพืชถูกถากเก็บไม่เหลือร่องรอย คูคลองถูกขุดลอกไม่ตื้นเขิน นี่ก็เพราะจื่อลู่ปกครองด้วยความนบนอบถือสัจจะ ดังนั้นชาวบ้านจึงได้ทุ่มเทให้กับการงานได้ถึงเพียงนี้
“ครั้นอาจารย์เข้าถึงตัวเมือง ได้เห็นบ้านเรือนฝาผนังมีความแน่นหนา ต้นไม้ใบหญ้ามีความเขียวชอุ่ม นี่ก็เพราะจื่อลู่ปกครองด้วยความซื่อสัตย์และอารีต่อชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านจึงมิกล้าทำงานอย่างฉาบฉวย
“เมื่ออาจารย์ถึงจวนว่าการ เห็นระเบียงภายในจวนมีความสงบร่มเย็น เหล่าราชบุรุษล้วนทำงานอย่างแข็งขัน นี่ก็เพราะจื่อลู่สามารถปกครองด้วยความรอบคอบและมีความเด็ดขาดในการตัดสินคดี การบริหารจึงไม่มีความสับสนวุ่นวาย หากดูจากสิ่งเหล่านี้ แม้นอาจารย์จะทำการชื่นชมถึงสามครั้ง แต่ก็ยังหาได้ครอบคลุมความดีของจื่อลู่ทั้งหมดได้ไม่”
ปณิธานของจื่อลู่
จื่อลู่มีความสามารถอันโดดเด่นในด้านการบริหารการปกครอง แต่จื่อลู่เป็นคนที่มีจิตใจเช่นไร? มีความมุ่งมั่นอย่างไร? ในส่วนนี้จะต้องดูที่ปณิธาน ในด้านปณิธาน หากใครได้อ่านคัมภีร์ปกรณ์ของสำนักขงจื่อแล้วก็พอจะทราบได้ว่า ขงจื่อนอกจากจะสอนวิชาความรู้แล้ว ท่านยังมักจะคอยสอบถามปณิธานของลูกศิษย์อยู่เสมอ เพราะคำว่า “ปณิธาน” โดยแท้แล้วก็เหมือนดั่งเข็มทิศแห่งชีวิต คนที่ไม่มีเข็มทิศแห่งชีวิต ก็ย่อมเหมือนเรือที่ไร้หางเสือ ที่สุดก็คงได้แต่ลอยเคว้งไปในสายธารอย่างไร้จุดหมาย และนี่ก็คือเหตุผลที่ขงจื่อต้องการทราบปณิธานของศิษย์แต่ละคนนั่นเอง
ในคัมภีร์หลุนอวี่บทกงเหยี่ยฉางได้บันทึกเหตุการณ์เรื่องการสอบถามปณิธานของจื่อลู่ว่า
มีอยู่วันหนึ่ง เหยียนหุยและจื่อลู่อยู่เคียงข้าง ขงจื่อจึงได้ถามสองคนขึ้นว่าว่า “ไยไม่ลองกล่าวปณิธานของพวกเจ้าหน่อยล่ะ ?” จื่อลู่พูดว่า “ข้ายินดีแบ่งปันรถม้า ม้า แลชุดหนังให้เพื่อนยืมใช้ แม้จะใช้จนเสียไปก็หาได้เคืองใจไม่”
จากข้อความนี้ก็พอจะทำให้ทราบถึงจิตใจของจื่อลู่ได้เป็นอย่างดีว่า ท่านเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสิ่งของนอกกาย หากแต่จะยึดมั่นในมิตรภาพระหว่างสหายอันแน่นแฟ้น และนี่ก็สอดคล้องกับบุคลิกของจื่อลู่ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือเป็นคนรักเพื่อน รักครูบาอาจารย์ รักศิษย์พี่น้อง และที่สำคัญที่สุดคือรักชาติรักแผ่นดิน ดังนั้นต่อให้ต้องสูญเสียวัตถุเงินทองที่เป็นสิ่งของนอกกายแล้ว ท่านก็หาได้เคยปรารมภ์ไม่
ความจริงในข้อนี้ ยังสามารถเห็นได้จากคำชมของขงจื่อ ดังปรากฏอยู่ในคัมภีร์หลุนอวี่ดังนี้ว่า
“ผู้ที่สวมชุดขาดปอน แล้วยังสามารถยืนคู่กับผู้ที่สวมชุดขนสัตว์โดยไม่รู้สึกกระดากอายนั้น คงมีเพียงจื่อลู่กระมัง ! ในคัมภีร์ซือจิงได้กล่าวว่า ‘ไม่อิจฉาไม่ละโมบ จะไม่ดีได้ไย ?’ ”
จื่อลู่นอกจากจะได้เคยอธิบายปณิธานของตนตามที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์หลุนอวี่บทกงเหยี่ยฉางแล้ว ในคัมภีร์หลุนอวี่บทเซียนจิ้น ก็มีบันทึกอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีจื่อลู่ เจิงเตี่ยน หยั่นฉิว และกงซีฮว๋าอยู่เคียงข้างท่านขงจื่อ ท่านขงจื่อได้ถือโอกาสถามขึ้นดังนี้ว่า
“อย่าด้วยเพราะข้ามีอายุที่แก่กว่าพวกเจ้า แล้วทำให้พวกเจ้ามิกล้านำความในใจพูดออกมาเลย ปกติพวกเจ้ามักจะพูดอยู่เสมอมิใช่หรือว่า ‘ไม่มีใครเข้าใจเรา’ หากมีคนเข้าใจแล้ว พวกเจ้าจะทำอย่างไรบ้าง ?”
1
จื่อลู่ได้แสดงปณิธานของตนออกมาว่า
“ด้วยแคว้นขนาด ๑,๐๐๐ รถศึกที่ถูกขนาบอยู่ท่ามกลางมหาสามนตรัฐ บวกกับถูกรุกรานจากแสนยาพลที่กระหน่ำ แลถูกซ้ำเติมจากหายนะแห่งทุพภิกขภัยฉะนี้ หากให้ข้าบริหาร เพียงเวลาไม่เกิน ๓ ปี ข้าก็สามารถทำให้ทุกคนมีความองอาจและธำรงมั่นในครรลองคลองธรรมได้”
จึงเห็นได้ว่า จื่อลู่มีความมั่นใจในฝีมือด้านการปกครองและการทหารของตนเองมากเป็นอย่างสูง
1
โฆษณา