5 มี.ค. 2020 เวลา 13:58 • ไลฟ์สไตล์
คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Episode 2
ถ้าใครยังไม่ได้อ่านตอนแรก อย่าลืมไปอ่านก่อนนะคะ จะได้ต่อติด …
มาต่อคนไทยกับภาษาอังกฤษ ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตกกันต่อนะคะ ในบทความนี้นีน่าจะเขียนเกี่ยวกับช่วงเวลาตอนทำงานที่อเมริกาบ้าง ...
นีน่าเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาโทตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว แต่เอาไว้ค่อยเล่าเรื่องราวประสบการณ์การทำงานที่อเมริกาอีกทีนะคะ ตอนนี้ขอเน้นเรื่องภาษาอังกฤษก่อน ไม่งั้นบทความนี้ยาวอีกแน่ๆเลย ตอนทำงานที่มหาวิทยาลัย นีน่าใช้ชื่อเล่นจริงๆของตัวเอง ก็คือ "โอ๋" แต่เข้าใจไหมคะว่าฝรั่งไม่มีชื่อเล่นว่าโอ๋ แต่เขาจะอุทานว่า "Oh" ก็เลยOhนั่น Ohนี่ตลอดเวลา นีน่าก็ต้องเดินไปหาหัวหน้าแล้วถามว่า "You call me?" ตลอด ซึ่งเขาก็จะบอกว่า "ไม่ใช่ๆ แค่อุทานจ้า" … :)
I am ready to enter the real world … !
หลังจากจบนีน่าก็ทำงานเป็น Researcher ให้กับบริษัทยาที่เป็นลักษณะ preventive medicine อยู่เกือบปี ก็ขอบอกนะว่า เงินดีมากคะ … :) แต่ต่อมาก็ออกเพราะได้งานเป็น Sales ที่ FedEx Services ก็แแบว่าดีใจมาก เพราะกว่าจะผ่านด่านการสัมภาษณ์มาได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตก เพราะเขาสัมภาษณ์เป็น panel interview คือมีคนสัมภาษณ์มาเป็นแผง 3-4 คนเลย และเป็นการสัมภาษณ์แบบ STAR ซึ่งเป็นเทคนิคการสัมภาษณ์ที่ดีแบบหนึ่ง โชคคงช่วยเพราะตอนที่นีน่าเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ ไปเปิดเจอเทคนิคนี้พอดี ก็เลยเตรียมตัวมาดี ก็ต้องขอบคุณ FedEx ที่ให้โอกาส ซึ่ง FedEx เป็นบริษัทที่นีน่ารักบริษัทหนึ่งและเป็นบริษัทที่ดีมากๆเลยคะ กลับมาต่อเรื่องภาษาอังกฤษกัน คือ หลังจากไปเริ่มงานวันแรก ทำให้นีน่ารู้ว่าเราเป็นเอเชียคนเดียวที่ได้เข้าไปทำงานในรุ่นนั้น กับเพื่อนๆอเมริกันอีกเกือบ 30 กว่าชีวิต ก็ต้องปรับตัวกันมากโขอยู่ ...
ก่อนเริ่มงาน FedEx จะทำการอบรมพวกเราเป็นเวลา 7 อาทิตย์ เรียกว่าต้องหอบหนังสือ อ่านหนังสือ มีการสอบ การลองขายของโดยเขาจะอัด VDO พวกเรากันเลยทีเดียว ต้องขอบอกว่าทุกอย่างไม่เหมือนการนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน เพราะนี่คือการทำงานจริงแล้ว ตอนแรกๆก็จะเห็นมีเพื่อนๆบางคนมองมา ส่งสายตาที่นีน่าก็อ่านไม่ออก เหมือนเห็นนีน่าเป็นของแปลก อยากคุยด้วยแต่ก็กลัวอะ อะไรประมาณนั้น 5555 นีน่าเองก็ต้องทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนเพื่อนๆเลย เวลาต้อง present งานหน้าห้อง ก็จะต้องเตรียมตัวมาอย่างดี ให้หนักและมากกว่าทุกคนเพราะไม่ใช่ภาษาเรานิ บางทีก็จะเห็นเพื่อนๆ ทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ แต่พอนีน่ายิ่งเน้น ก็จะยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่ 5555 นึกๆดูก็สงสารเพื่อนๆตอนนั้นเหมือนกันนะ นอกจากนีน่าต้องปรับตัว เขาก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน ...
Working in foreign countries ...
หลังจากจบการอบรม นีน่าได้รางวัล "Golden Attitude Award" เป็นความภาคภูมิใจมากๆ เพราะได้มาจากการ vote ของเพื่อนๆ ถึงแม้ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น แต่การที่ได้รางวัลก็เป็นเหมือนน้ำทิพย์มาทำให้หัวใจชุ่มชื่น มีแรงที่จะทำต่อไป …
เวลานีน่าต้องคุยกับลูกค้า นีน่าจะพก "สติ" ไปเยอะๆ เน้นพูดช้าๆ ชัดเจนให้เขาฟังเรารู้เรื่อง ไม่จำเป็นต้องพูดเร็ว แล้วสิ่งที่นีน่าทำเพิ่มก็คือเวลาที่นีน่าพูดคำไหนไม่ชัดหรือไม่แน่ใจว่าจะออกเสียงอย่างไร นีน่าจะจดลงบนสมุดเล็กๆ พอหมดวันก็จะเดินไปหาเพื่อนที่นีน่าชอบสำเนียงของเขา ซึ่งเป็นคน Midwest มาจาก Ohio ซึ่งนีน่าชอบสำเนียงเขาเพราะมัน clear ดี ไม่มีเหน่อเหมือนคนทางใต้ ก็จะถามว่าคำนี้ยูออกเสียงอย่างไง ก็ฝึกจนได้แล้วก็เขียนคำอ่านภาษาไทยไปด้วย กันลืม ทำอย่างนี้เป็นประจำเป็นปีจนกระทั่งย้ายไป Virginia ช่วงที่มีการประชุม ก็จะมีบ้างที่เพื่อนๆหัวเราะเวลานีน่าพูดสำเนียงแปลกๆ ซึ่งบางครั้งก็โมโหนะ แต่เพื่อนๆก็จะบอกว่าที่หัวเราะเพราะมันน่ารักดี ก็คงเหมือนพวกเราเวลาได้ยินฝรั่งพูดภาษาไทยบางคำที่ไม่ชัด แล้วอาจจะมีความหมายใกล้เคียงอย่างอื่นด้วย เราก็คงขำเหมือนกันเนอะ
พอนีน่าย้ายไป Virginia ก็เป็น Sales Executive ที่ต้องไปหาลูกค้าที่บริษัทเลย (field sales) ก็เจอสารพัด เพราะ Virginia ยังถือว่าเป็นรัฐทางใต้ ซึ่งพูดตรงๆก็ยังมีการเหยียดผิวอยู่เหมือนกันนะ เวลาทำนัดทางโทรศัพทย์ เขาก็โอเคเพราะนีน่าเริ่มพูดสำเนียงอเมริกัน แต่พอไปเจอจริงๆ เห็นเป็นคนเอเชีย ก็จะไม่ให้เข้าพบ พวกเลขานี่ด่านแรกก่อนเลย กีดกันต่างๆนานา จนนีน่าต้องเริ่มมีลูกไม้หรือลูกเล่นพกในกระเป๋าเยอะๆเพื่อจะได้ผ่านด่านเลขาพวกนี้จนเข้าไปเจอคนที่ตัดสินใจได้ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว เพราะนีน่าเปลี่ยนจากคนไทยที่ค่อนข้างขี้อายเป็นคนแบบหน้าด้านหน่อยๆ 5555 ไม่ sensitive กับความรู้สึกมากนัก และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตั้งใจไว้ แบบไม่ล้มเลิกง่ายๆ มองทุกอย่างว่าเป็นอุปสรรคที่ต้องข้ามไปให้ได้
นีน่าต้องทำหลายสิ่งเพื่อทำให้ตัวเองขายและปิดยอดได้ การเปลี่ยนชื่อเรียกก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ ลืมไปได้เลยว่าลูกค้าเราจะเรียกชื่อไทยยาวๆของเราได้ เรียกชื่อเล่น "โอ๋" เดี๋ยวก็จะมีปัญหาเหมือนตอน ทำงานที่มหาวิทยาลัยอีก นีน่าก็เลยต้องมีชื่อฝรั่งเพื่อให้ลูกค้าคิดถึงเราและเรียกเราให้ได้ง่ายที่สุด ชื่อไทยตัวแรกของนีน่าเป็น "ณิ" ก็เลยคิดชื่อเรียกง่ายๆว่า "Nina" ซึ่งก็เลยติดมาตั้งแต่นั้น
Sales Sales Sales … ปิดยอดให้ได้
สรุป การจะเก่งภาษาอังกฤษให้ได้ บอกเลยว่าต้องฝึกพูดและขยันที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา การเรียนภาษาอีกภาษาหนึ่งเป็น skill หรือเป็นทักษะที่ยิ่งฝึกยิ่งเก่ง ถ้าไม่ฝึกก็จะไม่ได้ ตอนนีน่ากลับเมืองไทยมาแล้ว ก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมากเท่ากับตอนอยู่ที่อเมริกา บางครั้งก็มีที่ลิ้นแข็งเหมือนกัน ถ้าต้องมี present งานกับลูกค้าหรือสอนเป็นภาษาอังกฤษ นีน่าจะทำการ warmup ก่อนโดยการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ อ่านออกเสียงดังๆ สัก 2-3 วันก่อนล่วงหน้า จะทำให้การพูดภาษาอังกฤษคล่องมากขึ้นเยอะเลย
อีกอันที่นีน่าแชร์ได้คือ ตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียนประถม นีน่าจะเอาหนังสืออ่านเล่นที่เป็นภาษาอังกฤษ เล่มเล็กๆ เช่น Little Mermaid มาอ่านออกเสียงก่อนนอนสัก 2-3 หน้าทุกคืน นีน่าจะอ่านสองแบบ แบบที่หนึ่งจะอ่านเพื่อฟังสำเนียงตัวเอง (อาจจะไม่ได้ดูเรื่องความหมายมากนัก) อีกแบบจะอ่านแบบไม่ออกเสียง เน้นการอ่านเพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหาภาษาอังกฤษ เวลาอ่านนีน่าแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องเปิด dictionary ทุกตัวที่ไม่รู้คำแปล ให้อ่านให้จบ paragraph แล้วถามตัวเองว่ารู้เรื่องรวมๆไหม ถ้ารู้ก็ ok นีน่าจะเปิดดู dictionary เฉพาะตัวที่เราเห็นบ่อยๆและอยากรู้ความหมายจริงๆเท่านั้น เพื่อไม่ให้การเรียนรู้มันน่าเบื่อหรือหนักเกินไป สมัยเด็กๆแค่เปิด dictionary เพื่อหาคำแปลของ paragraph ที่อ่านก็เหนื่อยแล้ว (เด็กสมัยนี้คงไม่ใช้ dictionary กันแล้ว แต่อาจจะหาคำแปลจาก google ซึ่งนีน่าว่าก็เหนื่อยเหมือนกันหล่ะ)
การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้เริ่มจากเล่มง่ายๆก่อน พวกหนังสืออ่านเล่นที่เด็กประถมเรียนในห้อง ไม่จำเป็นต้องเอาพวกหนังสือพิมพ์หรือหนังสือที่มีเนื้อหาหนักมากๆมาอ่านก่อนหรอกคะ จะทำให้เราท้อได้ คำศัพย์หรือคำพูด (phrases) ในหนังสือพิมพ์จะค่อนข้างเจาะจงและไม่ค่อยเอามาใช้ในการพูดประจำวันเท่าไหร่ อีกอย่างที่ได้จากการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษบ่อยๆก็คือพวก phrasal verb (กริยาวลี) ซึ่งพออ่านภาษาอังกฤษเยอะๆ ก็จะได้ไปแบบไม่รู้ตัว ทำให้เราสามารถใช้หรือพูดภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้นไปอีกคะ เพราะการพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษมีพวก phrasal verb เยอะมาก ถ้าใช้ผิด ความหมายก็อาจจะผิดไปเลยก็ได้ เช่น take ON, take OFF ความหมายก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง
Let's practice English together ...
ไม่อยากให้บทความยาวเกินไป พอมารู้ตัวอีกที บทความนี้ก็ยาวอีกแล้ว … ค่อยๆอ่านกันไปแล้วกันนะคะ … :)
บทความสอง episodes นี้ สิ่งที่ต้องการคืออยากให้คนไทยทุกคนพูดและใช้ภาษาอังกฤษได้มากขึ้น เพราะเราเสียผลประโยชน์หลายอย่างเป็นเพราะภาษาอังกฤษ ไม่อยากให้กลัวภาษาอังกฤษนะคะ สิ่งที่สำคัญคือ "การฝึก" ต้องไม่อายและฝึกพูด ฝึกฟังเยอะๆ (พวก grammar หรือทฤษฎีไม่ต้องแล้ว เพราะเราเรียนกันมาเยอะแล้วในห้องเรียน) และเปิดกว้าง ขยันที่จะเรียนรู้จากคนอื่น เป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคนนะคะ
สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ติดตามและส่งกำลังใจมาให้คะ อยากให้เพื่อนๆช่วยแชร์ประสบการณ์การทำงานในต่างประเทศหรือประสบการณ์พวก culture shock ที่เคยเจอกันมาบ้างนะคะ เราจะได้เรียนรู้ด้วยกันคะ Until next time … :)
สนใจอ่านบทความก่อนหน้านี้ กดที่ links ข้างล่างนี้เลยคะ
1. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 1
2. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 2
3. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 3
4. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 1
5. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 2
6. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา