7 มี.ค. 2020 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
คดีฆาตกรรมครูสาว ตอนจบ
ครูจางผู้หายสาบสูญไม่พบศพ
ตอนที่1 หากยังไม่ได้อ่านกดอ่านตรงนี้ค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
ครูสาวหายตัวอย่างไร้ร่องรอย ห้องน้ำที่สะอาดจนน่าสงสัยแต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับเต็มไปด้วยรอยเลือดกว่า 107จุด ผนังห้องน้ำที่มีรอยเช็ดถูเลือด รองเท้าผู้ตายอยู่ครบ ประตูไม่มีการงัดเเงะ และเชคเงินสดกับบัตรเอทีเอมหายไป เบอร์โทรล่าสุดที่ติดต่อคือชายแซ่หลี่ แต่เมื่อตำรวจนัดสอบปากคำ กลับหาข้ออ้างและหนีออกนอกประเทศ.....
คำถาม??
-ครูสาวยังมีชีวิตอยู่ไหม หรืออาจแค่ถูกลักพาตัว??
-หากตายแล้วศพอยู่ที่ไหน??
-ผู้ต้องสงสัยมีเพียงคนเดียวคือนายหลี่ จะจับตัวมาสอบปากคำอย่างไร เมื่อหนีไปกบดานที่จีน
นายหลี่
-ถ้าเธอตายแล้วจริง นายหลี่ขนศพอย่างไร และทำลายศพอย่างไร ศพถูกทิ้งที่ไหน??
ตำรวจสันนิษฐานว่าการที่จะขนคนหรือศพที่เลือดออกเยอะขนาดนี้ได้นั้น คนร้ายต้องไม่เรียกรถโดยสารแน่ ผู้ต้องสงสัยต้องขับรถเอง หรือไม่ก็เช่ารถ แต่หลังจากที่ตรวจสอบรถทุกคันในลานจอดที่สนามบินกลับไม่พบรถต้องสงสัย ถ้างั้นรถที่ใช้เป็นพาหนะเคลื่อนย้ายครูสาวอยู่ที่ไหน??
ตำรวจกลับมาหาเบาะแสกับผู้หญิงนิรนามที่กดเงินของครูจางออกไปในวันเกิดเหตุ ตำรวจคิดขึ้นมาได้ว่านายหลี่มีน้องสาวอยู่หนึ่งคนเลยได้ลองติดต่อไป เมื่อพบกับน้องสาวนายหลี่ก็พบว่าตรงกับภาพวงจรปิดที่บันทึกได้ว่าเป็นคนเดียวกับคนที่กดเงินครูจางออกไป
เมื่อสอบถามได้ทราบว่า พี่ชายตนนายหลี่เคยทำธุรกิจที่จีนไปมาระหว่างไต้หวัน-จีน เคยยืมเงินตนและอดีตพี่สะใภ้ (ภรรยาเก่านายหลี่) ไปลงทุนแต่ธุรกิจไปได้ไม่สวยและได้ติดหนี้ตนกับพี่สะใภ้ อยู่ดีๆนายหลี่ติดต่อมาว่าจะคืนเงินให้ พร้อมกับให้บัตรเอทีเอมกับเดบิตมาบอกว่ามีคนติดเงินพี่ชายตน เลยเอาบัตรมาให้กดเงินคืน ซึ่งตนกดออกไปจำนวน60,000บาท ตามจำนวนที่นายหลี่ติดหนี้ตนไว้
เมื่อสอบถามไปมาถึงประวัตินายหลี่ ตัวน้องสาวก็พูดขึ้นมาว่าทุกครั้งเมื่อนายหลี่มาไต้หวันก็จะมายืมรถตนขับไปไหนมาไหน เมื่อตำรวจได้ยินดังนั้นก็เห็นความเป็นไปได้ที่ว่ารถที่ใช้ขนศพอาจเป็นรถของน้องสาวนายหลี่ก็เป็นได้ จึงขอตรวจสอบ....
รถที่ใช้ขนศพ
น้องสาวนายหลี่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และเมื่อสอบสวนแล้วพบว่าน้องสาวนายหลี่ไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเดิมทีตั้งแต่ติดหนี้นายหลี่ก็ไม่ค่อยติดต่อมา จนล่าสุดที่ว่าจะขอใช้หนี้และมายืมรถ
เมื่อตำรวจนำรถต้องสงสัยมาตรวจสอบ เมื่อเปิดประตูรถก็ได้กลิ่นแปลกๆกลิ่นออกสนิมๆคล้ายเลือดและได้กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดปนอยู่ด้วย ตำรวจให้ทีมนิติเวชตรวจอย่างละเอียดพบว่า
สภาพรถที่เปิดมามีแต่กลิ่นคาวเลือด
ที่นั่งเบาะด้านคนขับนั้นมีแผ่นไม้รองนั่งอยู่ ด้านบนดูสะอาดปกติดีแต่เมื่อพลิกด้านล่างกลับพบว่ามีรอยเลือดเปื้อนอยู่ สันนิษฐานว่าเลือดได้ไหลซึมทะลุแผ่นรองนั่งลงไป คาดว่านายหลี่คงรีบเช็ดทำความสะอาดแต่เพียงด้านบนแต่ไม่รู้เลยว่าเลือดได้ซึมไปด้านล่างด้วยหรืออาจเพราะรีบก็เป็นได้
แผ่นรองที่มีเลือดเปื้อน
และเมื่อตรวจกระโปรงรถพบของเต็มไปหมด เมื่อตรวจสอบพบรอยเลือดบนม่านกันแดดหลายจุด และพบเลือดวงกว้างหลายจุดบนพรมที่กระโปรงหลังรถ เมื่อถลกพรมออกทำให้เห็นรอยเลือดซึมทะลุไปถึงโครงเหล็กด้านล่าง
เลือดที่หยดไหลลงทะลุไปถึงด้านล่าง
ตำรวจสันนิษฐานว่าเลือดนั้นมีจำนวนมากพอควรและใช้เวลานานในการค่อยๆหยดลงหยดลงจนซึมทะลุสิ่งของถึง3ชั้นไปลงไปถึงด้านล่างแผ่นเหล็กกระโปรงรถ เมื่อตำรวจสันนิษฐานถึงเรื่องเวลา แต่มันใช้เวลานานเท่าไหร่ในการเดินทางขนย้ายศพ??
ตำรวจไต้หวันได้ใช้งานวิจัยของต่างประเทศด้านคดีอาชญากรรม ศึกษาเรื่องพฤติกรรมของอาชญากรในกรณีขนย้ายศพ พบว่าฆาตกรเมื่อต้องการทำลายศพและขนย้ายศพด้วยยานยนต์นั้น ช่วงเวลาจากจุดเกิดเหตุที่ย้ายศพขับออกไปนั้นจะอยู่ระหว่าง40-60นาทีไม่เกิน เพราะยิ่งขับนานยิ่งวิตกกังวลและมีความเสี่ยงหากบังเอิญถูกตำรวจเรียกตรวจ
เมื่อเชคGPS จากโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายหลี่ในวันเกิดเหตุจนถึงนายหลี่เดินทางออกนอกประเทศ ก็คิดว่านายหลี่ต้องขนย้ายร่างครูสาวแน่ๆ โดยมุ่งหน้าไปจินซาน แต่เป็นตรงไหนล่ะ?? ตำรวจได้ใช้ทฤษฎีเวลา 40-60นาทีมาตีวงพื้นที่ให้แคบลง แต่ก็ยังกว้างอยู่ดี.....เเละเมื่อผ่านการตรวจดีเอนเอจากเลือดที่กระโปรงรถพบว่าเลือดทั้งหมดตรงกับของครูจางทั้งสิ้น และปริมาณเลือดที่พบกระโปรงหลังนั้นมีจำนวน100-200cc
เมื่อญาติได้ถามตำรวจถึงความเป็นไปได้ว่าลูกสาวน่าจะยังมีชีวิตอยู่ไหน ตำรวจยากที่จะให้คำตอบได้เพราะเลือด100-200cc ที่กระโปรงหลังนั้นถือว่าเยอะพอสมควร อีกทั้งหากครูสาวบาดเจ็บจนไม่สามารถขยับตัวไปไหนเองได้ และถูกยัดไว้ที่กระโปรงรถอีก และเลือดที่พบในห้องน้ำที่บ้านนั้นมีการใช้น้ำชะล้างออกไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งยากที่จะตรวจสอบว่ามีเลือดมากเพียงใด แต่สังเกตจากรอยเลือดและรอยเช็ดตามผนังแล้ว จึงได้แต่คิดในใจว่าไม่น่าจะมีชีวิตอยู่แล้ว....
ตำรวจและญาติต่างปักใจเชื่อ99% ว่าหลี่เจิ้งเว่ยนี่แหละที่ฆ่าครูจาง เพราะทั้งหลักฐานในรถ อีกทั้งสมุดเงินฝาก สมุดเชค บัตรเครดิต บัตรเอทีเอม เงินสดที่หายไปล้วนชี้ไปที่นายหลี่ทั้งสิ้น แต่นายหลี่หนีไปแล้วจะทำอย่างไรล่ะ??
เวลาผ่านไปครึ่งปีกับคดีที่ยังปิดไม่ได้ ศพหาไม่พบ ผู้ต้องสงสัยก็หนีออกนอกประเทศ ตำรวจจึงใช้อุบายขอให้น้องสายนายหลี่ติดต่อนายหลี่อีกครั้ง เพื่อแสร้งทำเป็นว่าตำรวจจะปิดคดีแล้วเพราะไม่มีศพและไม่มีหลักฐาน จึงขอให้นายหลี่กลับมาให้การในบางส่วนเพื่อทำการปิดคดี ตอนแรกตำรวจไม่มั่นใจว่านายหลี่ที่หนีไปได้แล้วจะยอมกลับมาไหม??
นายหลี่เองคงคิดว่าเหตุการณ์ก็ผ่านไปตั้งครึ่งปีแล้ว ศพก็หาไม่พบ ส่วนเรื่องที่เอาบัตรและเชคของผู้ตายไปนั้น นายหลี่คงเตรียมคำแก้ตัวมาเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายไม่น่าเชื่อนายหลี่ยอมตกลงกลับมาให้การพร้อมความมั่นใจเต็มที่ อีกทั้งเอาทนายมาเองด้วย นายหลี่คิดว่า ศพไม่มี หลักฐานไม่มี แถมมีคำแก้ต่าง ต่อให้ศาลจะฟ้องก็ฟ้องเขาไม่ได้แน่นอน....
หลังจากติดต่อไป 3 เดือน นายหลี่ตกลงบินกลับมาให้การ ตำรวจกล่าวว่าไม่เคยพบคนร้ายที่ไหนที่มีความมั่นใจขนาดนี้มาก่อน นายหลี่มีท่าทีสบาย เอาทนายมาเองจากจีน นายหลี่เองเป็นคนที่ฉลาดเจ้าเล่ห์ เค้าคิดว่าหลักฐานทุกอย่าง แม้แต่ศพก็จัดการเรียบร้อยไม่เหลือ ไม่มีอะไรเอาผิดเค้าได้แน่นอน
นายหลี่ขณะถูกสอบสวน
เมื่อตำรวจถามว่า “นายหลี่ได้ไปที่บ้านครูจางมาไหมในวันที่ครูหายตัวไป” นายหลี่ตอบว่า”ได้ไป” และทำไมเอาเชคไปขึ้นเงินเองและบัตรเอทีเอมให้น้องสาวไปกด? นายหลี่ตอบ “ก็ครูจางติดเงินผม เราเคยร่วมลงทุนด้วยกัน ครูจางให้ผมไปกดเอง ไปขึ้นเงินเอง” นี่คือคำตอบของนายหลี่ แต่นายหลี่กลับไม่รู้ว่าน้องสาวได้ให้การไว้หมดแล้วว่า พี่ชายตนนั้นให้ตนกดเงินออกไปส่วนบัตรบอกว่าเมื่อกดเสร็จให้ทิ้งไปได้เลย!!
ถ้าหากครูจางให้บัตรกับนายหลี่เพื่อชำระหนี้จริง ก็ควรนำบัตรเก็บมาคืนด้วยสิไม่ใช่เอาไปทิ้งหรือทำลาย
เมื่อตำรวจถามละเอียดขึ้นว่า “ทำธุรกิจอะไร มีหลักฐานไหม ขอดูเอกสารสัญญาหน่อย” นายหลี่กลับตอบไม่ชัดเจน ตอบวกไปวนมา
2
เมื่อถามต่อว่าไปบ้านครูจางวันนั้นเจอครูจางไหม?? และไปไหนต่อ??
นายหลี่ตอบ “ไปมาแล้ว กดกริ่งแต่ไม่มีคนตอบ ไม่ได้เจอครูจาง จึงขับรถไปหาเพื่อน2 คน นัดเจอกัน” เมื่อตำรวจสอบถามไปยังเพื่อนทั้ง2 ที่นายหลี่อ้าง คนแรกเป็นเพื่อนเมื่อ20กว่าปีก่อน ตอนเกณฑ์ทหารด้วยกันแต่ไม่สนิทและ20ปีมานี้ก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยอยู่ดีๆนายหลี่ก็โทรมาบอกว่าอยากเจอ แต่บังเอิญตอนนั้นตนมีธุระเลยไม่ได้ไปพบ
อีกคนเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ไม่สนิทก็ไม่ได้ออกไปพบนายหลี่เช่นกัน ดังนั้นพยานทั้ง2 ที่นายหลี่อ้างว่าไปพบและจอดรถคุยกันนานนั้นไม่เป็นความจริง!!
เมื่อถามต่อว่า “ทำไมที่ห้องน้ำและในรถมีเลือดเต็มไปหมด” นายหลี่กลับตอบไม่ได้ ได้เเต่นิ่งเงียบ.....และได้แต่บอกว่า “ไม่รู้”
กำแพงด้านหน้าห้องน้ำนั้นนิติเวชได้ใช้ผงฝุ่นดำตรวจสอบไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร แต่เมื่อตรวจกำแพงช่วงด้านล่างนั้น ความสูงจากพื้นประมาณ 80-90ซ.ม. กลับพบรอยกระแทกและรอยผม ตำรวจสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นรอยที่นายหลี่จับศรีษะครูจางกระแทกกับกำแพงตรงบริเวณนั้นทำให้ครูจางหมดสติไป
ร่องรอยศรีษะและเส้นผม คาดว่าถูกจับกระเเทกจนหมดสติ
ยิ่งสอบสวนยิ่งให้การกลับไปกลับมา ถามใหม่อีกทีก็แก้ที พอเจอหลักฐานเพิ่มก็แก้อีก....
ตอนแรกถามว่าได้เคยเข้าไปในบ้านไหม??
นายหลี่ตอบว่า”ไม่” คุยธุรกิจกันนัดกันนอกบ้านตลอด....
พอตำรวจถามว่าแน่ใจเหรอ?? แต่เหมือนจะพบรอยนิ้วนะ งั้นขอเทียบกันได้ไหม??
นายหลี่รีบตอบ “อ๋อ เคยๆๆ เคยไปบ้านครูจางครั้งนึงนานมาแล้ว ไปคุยกันที่บ้าน”
ตำรวจนิติเวชกล่าวว่า ทั้งบ้านโดยเฉพาะพื้นห้องรับแขกได้ใช้ผงฝุ่นดำปัดเพื่อหารอยนิ้วมือนิ้วเท้า ปัดเกือบทั่วทั้งบ้านพบรอยเยอะแต่จางๆบางรอยนานแล้ว บางรอยเหมือนถูกเช็ดออกไป แต่พอปัดไปเรื่อยๆกลับพบจุดนึงมีรอยนิ้วเท้าชัดเจน!!
รองนิ้วเท้านายหลี่ในที่เกิดเหตุ
ตำรวจกล่าวต่อ.. ปกติรอยนิ้วนั้นหากนานมากแล้วจะไม่ค่อยชัดยิ่งผ่านการเช็ดถูพื้นด้วยแล้ว แต่รอยหนึ่งที่พบนั้นกลับชัดเจนมากเหมือนสดๆใหม่ๆอีกทั้งมีเพียงที่เดียว แสดงว่าคุณได้เช็ดทั่วบ้านแต่รอยสุดท้ายคุณเช็ดไม่หมด ซึ่งมันไม่ใช่รอยเก่าอะไรเลย
คำให้การเปลี่ยนตลอดไม่แน่นอน เมื่อนายหลี่ไม่มีพยานยืนยันที่อยู่ ไม่หลักฐานที่อ้างว่าทำธุรกิจและครูจางติดหนี้ คำให้การที่แก้ไปแก้มาตลอดเวลา ทำให้ฝ่ายอัยการไม่เชื่อในคำพูดของนายหลี่ และทางตำรวจปักใจเชื่อว่านายหลี่เป็นฆาตกรไม่ผิดแน่!!
และเมื่อถามจี้ไปว่า “ศพครูจางอยู่ไหน?” นายหลี่ได้แต่นิ่งเงียบ......
ไม่มีศพ ไม่มีอาวุธสังหาร ไม่มีคำรับสารภาพ ตำรวจ อัยการ ศาลได้แต่กุมขมับ เพราะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนต่อให้มั่นใจว่านายหลี่คือฆาตกรก็ตาม....ยังไงต้องหาศพครูจางให้พบ‼️
ตำรวจขอยืดเวลาเพื่อหาหลักฐานเพิ่ม ทุกอย่างกลับไปที่จุดเริ่มต้น สถานที่เกิดเหตุที่ตำรวจและทีมนิติเวชตรวจแล้วตรวจอีกถึง4ครั้ง แทบพลิกบ้าน นายตำรวจเจ้าของคดีได้เตรียมพร้อมกล้องวิดิโอเพื่อถ่ายในที่เกิดเหตุเป็นหลักฐานยื่นฟ้องต่อศาล ก่อนไปที่เกิดเหตุนั้น นายตำรวจไช่ฉ่างฮุย ได้เชคกล้องวิดิโอ3อันพร้อมแบตเตอรี่เรียบร้อยพร้อมทั้งอัดสำนวนคดีตอนต้นไว้เเล้ว เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ(บ้านครูจาง) พร้อมกับเพื่อนตำรวจอีก2นาย โดยมีพี่ชายของครูจางมาด้วย
เชคเครื่องอัดก่อนถ่ายหลักฐาน
เมื่อถึงบ้านครูจางนายตำรวจไช่และเพื่อนตำรวจอีก2คนต่างถือกล้องถ่ายVDO ต่างแยกย้ายกันถ่ายส่วนต่างๆ เมื่อเดินผ่านห้องรับแขก ห้องนอน เดินไปที่โถงทางเดิน เมื่อมาหยุดที่ห้องน้ำ พี่ชายของครูจางได้พูดขึ้นมาว่า “น้องเอ๋ย...วันนี้เรามาช่วยหาความเป็นธรรมให้กับเธอ ถ้าเธอมีอะไรอยากบอกเรา อยากให้เราช่วย บอกเรามาเถิด” พอพูดจบกล้องVDOที่นายตำรวจไช่กำลังถืออัดมาตลอดทางเข้าบ้านนั้นกลับหยุดนิ่ง ค้าง อัดต่อไม่ได้ กดยังไงก็อัดต่อไม่ได้....
1
เครื่องมีปัญหาทุกครั้งที่หันไปทางห้องน้ำ
แบตหมดหรือ?? แต่ก็เชคก่อนมาแล้ว...ไม่เป็นไรลองเปลี่ยนแบตอันใหม่ ก็เหมือนเดิม อัดต่อไม่ได้เครื่องค้าง นายตำรวจไช่ได้เรียกเพื่อนตำรวจที่ถือกล้องอีกอันกำลังอัดห้องอื่นๆอยู่ว่าขอยืมอัดต่อ พอหันไปที่ห้องน้ำก็เป็นเช่นเดียวกัน คือค้าง กดอย่างไรก็อัดไม่ได้.... เมื่อลองเอากล้องตัวเดิมหันไปที่อื่นเดินออกจากตรงนั้น กล้องVDOกลับใช้ได้เป็นปกติ แต่พอเดินหันกลับไปที่ห้องน้ำก็เป็นเหมือนเดิมไม่สามารถอัดได้......ทั้ง3เครื่องมีอาการเดียวกันหมด ที่เมื่อหันไปจุดๆนึงจะค้างแต่พอหันไปทางอื่นจะจะถ่ายต่อได้...ทุกคนในนั้นเริ่มมีอาการขนหัวลุก แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อได้แต่ทำงานเงียบๆไป
ไม่นานตำรวจนายนึงได้พูดกับตำรวจไช่ฉ่างฮุยว่า “อาฮุย นายจุดธูปไหว้ไหมบอกเค้า...” นายตำรวจไช่ในขณะที่กำลังจะอัดต่อก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ครูจาง อยากบอกอะไรให้มาหาผมนะ ผมจะช่วยหาครูเอง จะหาให้เจอเพื่อที่จะได้หมดห่วงตายตาหลับ”
และเธอก็มาจริงๆ...มาหาทันทีในคืนนั้น‼️
หลังจากที่ถ่ายเสร็จ คืนนั้นตำรวจไช่ได้ฝันและเล่าต่อผู้สื่อข่าวว่า “คืนนั้นผมฝัน...มีผู้หญิงคนนึงสูงราว 156ซ.ม. มาลากมือมือผมไป จูงเดินไปเรื่อยๆ ผมมองไม่เห็นหน้า ได้แต่เดินตามเธอไป แต่รู้สึกได้ถึงความเศร้าและหดหู่ในบรรยากาศ สภาพเธอเหมือนถูกทำร้าย ผมเดินตามเธอไปโดยไม่มีใครพูดอะไร เดินผ่านโรงเรียนแห่งหนึ่ง สองข้างทางมีทุ่งหญ้า มีคนปลูกอะไรสักอย่างเป็นทุ่ง ผมค่อยๆเดินตามเธอไปเรื่อยๆ แต่แล้วก็มีคนแก่คนนึงมาทำมือหยุดผมไว้ บอกว่าไม่ได้!! ไม่ต้องเดินต่อไปแล้ว..แล้วผมก็สะดุ้งตื่น”
เช้ามานายตำรวจไช่ไปเล่าให้เพื่อนตำรวจในทีมฟัง ตำรวจอีกคนถึงกับหน้าซีดบอกว่า “ผมก็ฝัน...มีผู้หญิงคนนึงพาผมไป เดินไปตามถนนข้างนึงมีทะเล ข้างนึงมีทุ่งหญ้าต้นไม้เต็มไปหมด” ตำรวจทั้งสองฝันเห็นเหตุการณ์เดียวกัน และลักษณะผู้หญิงในฝันก็คล้ายกับครูจางอีกด้วย...
ตำรวจทั้งสองรายงานแก่ผู้บังคับบัญชาและขอลงพื้นที่ตามหาศพเธออีกครั้ง เพราะหลังจากที่ตรวจแล้วพบว่าทางไปจินซาน (ที่เคยระบุตำแหน่งว่านายหลี่ได้ขับรถไป) ได้มีพื้นที่นึงมีลักษณะคล้ายกับที่ตำรวจทั้ง2นายฝัน ดังนั้นตำรวจไช่ได้ขับรถไปตามเส้นทางที่ว่า และเมื่อเข้าเขตจินซานเขาก็รู้สึกได้ว่าสถาพถนนที่เค้าเห็นนั้นมันช่างละม้ายคล้ายกับที่ที่เขาเห็นในฝันเลย....
แต่ขับไปก็ยังไม่พบอะไร ได้วนรถไปตามถนนเล็กๆตรอกซอยทุกที่ในจินซาน ขับไปเรื่อยๆนายตำรวจไช่เห็นศาลเจ้าเล็กๆตั้งอยู่ เลยได้จอดแวะศาลเจ้าเพื่อทำการไหว้เคารพบอกกล่าวเพื่อขอให้ท่านเจ้าที่ช่วยเหลือ เมื่อเข้าไปจุดธูปไหว้ และได้มองไปที่รูปปั้นท่านเจ้าที่ก็ถึงกับขนหัวลุก เพราะชายชราในฝันที่ได้เข้ามาห้ามว่าไม่ให้เดินต่อนั้น ลักษณะคล้ายท่านเจ้าที่มาก!! ในที่ตั้งศาลเจ้าแห่งนั้นไม่ผิดแน่ คล้ายกับในฝัน ถนนด้านนึงเป็นทะเล อีกด้านเป็นภูเขามีต้นไม้ทึบ
ท่านเจ้าที่
หลังจากไหว้เสร็จได้ลงเดินต่อไปบริเวณรอบๆ เดินไปไม่นานก็พบกับโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งตรงกับในฝันว่ามีโรงเรียน...
โรงเรียนมีอยู่จริงๆ
ตำรวจได้หาวิธีที่จะเริ่มขุดหาศพในบริเวณพื้นที่นั้น เมื่อ20กว่าปีก่อน เทคโนโลยีอุปกรณ์ไม่ทันสมัยเท่าทุกวันนี้ ตอนนั้นมีโรงเรียนช่างที่ทำเกี่ยวกับการขุดเจาะพื้นด้วยเรดาร์ (Ground-penetrating radar)เพื่อลดเวบาในการขุด เมื่ออาจารย์และนักเรียนไปดูพื้นที่ก็บอกว่าใช้วิธีนี้ลำบากเพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นหินซะส่วนใหญ่และข้างใต้มีน้ำไม่เหมาะ
ตำรวจไม่ยอมแพ้คิดหาวิธีใหม่ จึงคิดว่าจะใช้สุนัขดมกลิ่น แต่สมัยนั้น(20ปีก่อน) ทางตำรวจกลางไม่มีตำรวจสุนัขที่ถูกฝึกอย่างจริงๆจังเหมือนปัจจุบันนี้ เลยได้โทรไปที่ไถจงศูนย์ฝึกสุนัข แต่กลับได้คำตอบว่า ระยะเวลาผ่านมานานและพื้นที่ไม่มีการจำกัดในวงแคบ บริเวณค้นหากว้างเกินไป แถมถูกฝังในดินอีกจะหาคงไม่ง่ายนัก
ตำรวจจุงใช้วิธีเก่าคือขุดกันเองในพื้นดินที่น่าจะเป็นที่ฝังได้ เช่นดินใหม่ พื้นที่ที่ไม่มีโขดหิน แต่ขุดแล้วขุดเล่าขุดทั้งภูเขาก็ไม่มีวี่แววของศพครูจางเลย...
เวลาผ่านไปถึง2ปี คดียังปิดไม่ได้....
ตลอดระยะเวลาที่เกิดเรื่องที่ครูจางหายตัวไปจากบ้าน ก็ล่วงเลยมา2ปี (ขณะนั้น)
จนในที่สุดศาลจึงถือว่าครูจางเสียชีวิตแล้วในทางกฎหมาย เพราะคนๆนึงตลอดเวลา2ปีที่ผ่านมา ไม่มีประวัติใดๆที่บ่งชี้ว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่มีการใช้บัตรเครดิต ไม่มีให้พบเห็นหรือได้ข่าวเธอแม้แต่น้อย ไม่ทีใครที่ติดต่อเธอ ไม่มีบันทึกการเดินทางออกนอกประเทศ ไม่มีบันทึกหรือสัญญาณใดๆที่ชี้ว่าเธอยังดำรงชีวิตอยู่ ศาลจึงตัดสินให้ครูจางเป็นผู้เสียชีวิตแล้ว....
วันเวลาผ่านไปตำรวจยังไม่ละพยายาม แต่ไม่มีเบาะแสใดๆ ศพก็หาไม่พบ เหตุการณ์ประหลาดต่างๆได้เริ่มเกิดขึ้น จนลือไปทั้งโรงพัก...
รถหลักฐานที่ใช้ในการขนย้ายศพครูจางที่ถูกจอดไว้ในโรงจอดรถตำรวจนั้น ช่วงกลางคืนกระโปรงท้ายรถมักเปิดขึ้นเองทั้งๆที่ปิดล้อคแล้ว มีตำรวจหลายคนที่เข้าเวรตรวจได้เห็นกับตาตนเอง อีกทั้งกล้องวงจรปิดก็บันทึกภาพได้ด้วย
รถที่จอดไว้ที่สถานีตำรวจ
ช่วงประมาณเที่ยวคืน-ตี1 มักมีโทรศัพท์แปลกๆโทรเข้าที่สถานีตำรวจ เมื่อรับโทรศัพท์กลับไม่มีเสียงพูด แต่มีเสียงผู้หญิงร้องไห้สะอื้น ถามอะไรก็ไม่พูดได้แต่ร้องและสายก็ตัดไป....ตำรวจที่เข้าเวรต่างได้รับโทรศัพท์กันทุกคน บางคนคิดว่ามีใครแกล้งหรือไม่??
จนคืนหนึ่งเวลาประมาณตี1ครึ่ง โทรศัพท์ดังขึ้นไม่ใช่ที่สถานีตำรวจแต่เป็นที่บ้านของนายตำรวจไช่ เหมือนเดิมคือเสียผู้หญิงร้องสะอื้น จนนายไช่พูดว่า “ผมหาทั่วทั้งเขาแล้ว หาแล้วแต่ไม่เจอเลย บอกผมทีสิ..” แต่แล้วสายก็ตัดไป....
ยิ่งไปกว่านั้นคนทำงานในโรงพัก ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้านทำความสะอาด ตำรวจที่เข้าเวร ต่างพบเจอเหตุแปลกๆด้วยกันทั้งสิ้น อาทิ แม่บ้านที่ทำความสะอาดกำลังกวาดพื้นที่โรงจอด ก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถทั้งๆที่ไม่มีคน ตำรวจบางคนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ในที่จอดรถแต่พอไปดูก็ไม่มีใคร บางคนขณะเดินตรวจตราก็เห็นผู้หญิงนั่งที่เบาะหลังร้องไห้ พอเข้าไปดูใกล้ๆกลับว่างเปล่า....
วันหนึ่งตำรวจใหม่คนหนึ่งในสถานีหลังจากที่ทำงานเสร็จ ก็กลับบ้านไป คืนนั้นก็ฝันว่ากำลังอยู่ในเรือกลางทะเลที่มีคลื่นแรงมาก และมีผู้หญิงเดินตรงมาที่เขาด้วยสภาพที่เปียกโชกไปทั้งตัว บอกว่าทรมานมากช่วยที และเมื่อตำรวจคนนี้ถามว่าจะให้ช่วยยังไง??
ผู้หญิงคนนั้นก็ได้จูงมือตำรวจคนนั้น.. ทันใดนั้นฉากในฝันก็เปลี่ยนไปจากเดิมที่อยู่กลางทะเลก็เปลี่ยนมาเป็นห้องรับแขก เธอบอกว่าทรมานมาก เจ็บปวดเหลือเกิน สภาพเธอมีเลือด พื้นห้อง ผนังห้องเต็มไปด้วยเลือด หญิงสาวในฝันได้ชี้ไปแต่ละจุดในบ้าน ตามพื้น ร่องกำแพง และบอกว่านี่ไงเลือดของฉัน นี่ก็ด้วย ตรงนี้ก็ด้วย เลือดฉันหมดเลย และผมก็สะดุ้งตื่น ตอนนั้นผมเป็นเด็กใหม่อยู่เลยเป็นตำรวจได้ไม่นาน
พอรุ่งเช้าไปทำงานก็คุยกับหัวหน้าว่านอนไม่หลับฝันแปลกๆ และขณะที่ทำรายงานจัดเอกสารคนหายสาบสูญนั้นก็ได้เห็นรูปของครูจางถึงกับตกใจ เพราะผู้หญิงที่เขาเห็นในฝันก็คือเธอ....
ในตอนนั้นคดีฆาตกรรมในไต้หวันที่เกิดขึ้น ถึงแม้จะหาศพไม่พบแต่อย่างน้อยก็ยังพบชิ้นส่วนบ้าง ชิ้นเนื้อเอย กระดูกเอย แต่ครั้งนี้กลับไม่มีอะไรเลย มีแต่เลือดจำนวนมากที่ถูกชะล้างทำความสะอาดไปหมดแล้ว....
เมื่อถึงกำหนดที่ต้องขึ้นศาลและปิดคดี ศาลได้ถามนายหลี่ว่า “ศพครูจางอยู่ที่ไหน??” นายหลี่ตอบ “ไม่รู้” ศาลได้ถามอีกว่า “ได้มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นไหม??” นายหลี่ตอบไม่รู้ แถมได้กล่าวหาว่าตำรวจยัดเยียดหลักฐาน กล่าวหาว่าตำรวจเป็นคนนำเลือดไปวางไว้กระโปรงรถสร้างหลักฐานขึ้น ตำรวจได้นำหลักฐานแย้งต่อศาลว่า รถ(ที่พบรอยเลือดและคาดว่าใช้ขนย้ายศพ)ซึ่งเป็นของน้องสาวนายหลี่ที่เป็นหลักฐานนั้น น้องสาวนางหลี่ได้เป็นคนนำมาให้ตำรวจเอง และเมื่อตำรวจได้รับรถและเริ่มตรวจสอบนั้นได้มีการอัดคลิปและถ่ายภาพทุกขั้นตอนขณะทำการตรวจสอบโดยมีน้องสาวนายหลี่เป็นพยาน ตำรวจไม่มีการสร้างหลักฐานเท็จเด็ดขาด และขณะที่ให้การในศาลนั้นนายหลี่มีความมั่นใจในตัวเองมาก ว่าศาลทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีศพ แต่ด้วยหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่ตัวนายหลี่และนายหลี่ไม่มีหลักฐานพยานแก้ต่างได้
นายหลี่ยิ้มต่อสื่อขณะถูกควบคุมตัว
นายหลี่ยังได้ถากถางท้าทายตำรวจและอำนาจศาลตลอด ไม่มีความเคารพ ยิ้มเยาะและไม่มีความรู้สึกสลดในคดีที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่นายหลี่ อีกทั้งหลักฐานหรือคำแก้ต่างทั้งหมดที่นายหลี่อ้างเมื่อตรวจสอบแล้วกลับไม่เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อ้างว่าทำธุรกิจร่วมกับครูจาง ครูจางติดหนี้ หรือไปพบเพื่อนที่จินซาน ล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น จากเดิมที่ศาลจะพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตแต่ด้วยนายหลี่กล่าวหาตำรวจด้วยความเท็จ กล่าวหาศาลด้วยถ้อยคำหยาบคาย อีกทั้งหัวเราะยิ้มเยาะกับเรื่องที่เกิดขึ้น นิสัยแสดงออกหยาบคายต่ำช้า ทำให้ศาลตัดสินโทษประหารชีวิตทันที แต่ต่อมานายหลี่อุทธรณ์และศาลถือว่าให้ความร่วมมือโดยที่นายหลี่ยอมกลับมาให้การทั้งที่หนีไปแล้ว ศาลจึงตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต....
คดีนี้ถือเป็นคดีแรกในไต้หวันที่ถึงแม้จะไม่พบศพแต่ผู้กระทำผิดถูกมัดแน่นด้วยหลักฐานอื่นๆ พร้อมทั้งไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ตนเองได้ ผู้กระทำผิดถูกตัดสินโทษอย่างสาสม ทั้งยังต้องชดเชยเงินให้แก่ครอบครัวครูจางโดยผู้เป็นแม่ได้รับเงินจำนวน 1ล้าน3แสนกว่า และผู้เป็นพ่อได้รับเงินจำนวน 1ล้าน2แสนกว่า รวมเป็น 2,570,000ดอลล่าร์ไต้หวัน
1
คำพูดของผู้เป็นพ่อและน้องสาว...
พ่อของครูจาง
“ปรับเงินแล้วไง ได้มา1ล้านกว่าแล้วถือว่าหายกันเหรอ?? พรากขีวิตคนได้เหรอ ผมได้เงินก้อนนี้มีค่าอะไร นี่คือราคาชีวิตลูกสาวผมเหรอ” ผู้เป็นพ่อกล่าว
“คนในครอบครัวหายไปทั้งคน จากที่เคยเห็นหน้าได้ยินเสียงแต่ไม่มีอีกแล้ว แม้แต่ศพจะมาทำพิธียังไม่มี จะไม่ให้โกรธแค้นได้อย่างไร” คำพูดของผู้เป็นน้องสาว
เกือบ20ปีแล้ว พื้นที่ที่เคยคิดว่าศพครูจางถูกฝังนั้นได้เปลี่ยนไปมาก จากพื้นที่ที่ยังพอเดินขึ้นไปได้ กลายเป็นต้นไม้หนาทึบ นายตำรวจไช่ได้พานักข่าวไปดู “ตลอดสิบกว่าปีมานี้ทุกครั้งที่ผมผ่านมาแถวนี้ ผมจะคอยขึ้นมาดูตลอดเผื่อเจออะไร หรืออะไรที่เรามองพลาดไป อย่างน้อยหวังว่าสักวันจะพาครูจางกลับไปหาญาติได้สักวัน”
FB #หนีห่าวไต้หวันฉันมาแล้ว
Blockdit #ใต้เตียงไต้หวัน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา