13 มี.ค. 2020 เวลา 04:11 • ปรัชญา
Antichrist คือใคร
1. คำพยากรณ์ของนอสตราดามุสคือการถอดรหัสและตีความ เหมือนตำราพยากรณ์โบราณ สมมติโดยหยาบ เช่น ก ข ค ห ผู้ตีความอาจถอดรหัสมาเป็น กิน ขี้ ควาย หญ้า เสร็จแล้วก็ต้องมาร้อยเรียงให้เป็นประโยคอย่างเช่น ควายกินหญ้าเป็นต้น จะไม่ตีความหมาย ค ให้หมายถึงคน เพราะจะไม่เข้ากับบริบท จุดอ่อนของคำพยากรณ์แบบนี้ คือไม่ได้ระบุเวลาเฉพาะเจาะจงที่เกิดเหตุการณ์ หรืออาจระบุไว้หลวมๆโดยอาศัยตำแหน่งดาวสำคัญทางดาราศาสตร์ที่มาเจอกัน
2.การตีความคำพยากรณ์ จึงผันแปรไปตามความรอบรู้ของผู้ตีความในแต่ละยุคสมัย ซึ่งผู้ตีความก็ได้รับอิทธิพลจากบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อมในแต่ละยุคสมัยนั้นอีกที ดังนั้นใครจะตีความให้ Mabus หรือ Antichrist คนที่ 3 เป็นใครก็ได้ สำคัญคือ Antichrist ควรมีลักษณะเช่นใด
3. ถ้าพระเยซูเป็นตัวแทนของลักษณะเมตตา ให้อภัย (เพราะยอมรับในความแตกต่างและอ่อนแอของมนุษย์) เชื่อในการฟื้นคืนพระชมน์ การกลับสู่สวรรค์ หรือสถานที่บริสุทธิ์เพื่อรอการตัดสิน และเชื่อในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
ลักษณะของ Antichrist ก็ต้องเชื่อตรงข้ามกับที่กล่าว อันได้แก่ เชื่อว่าตัวเอง (ครอบครัว พรรคพวก เพื่อนฝูง เผ่าพันธ์ ชาติพันธ์ และอีกสารพัดที่ทึกทักได้ว่าเป็นคุณสมบัติเฉพาะ ทำให้เกิดแยกพวกเขา แยกพวกเรา) เหนือกว่าผู้อื่น มีความฉลาดกว่า มีคุณธรรมกว่า มีเหตุผลกว่า มีความรู้และวิทยาการล้ำหน้า และอีกสารพัด ตีความหยาบๆได้ว่า "ดีกว่า" สิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง ด้วยลักษณะเช่นนี้ก็จะทำให้ Antichrist เมตตาและให้อภัยได้เฉพาะต่อคนหรือกลุ่มคนที่มีคุณสมบัติที่เข้าพวกกับตนเองและจะยิ่งต้องพัฒนาความเหนือกว่าให้ยิ่งขึ้นไปอีก
Antichrist จึงไม่เชื่อว่าสิ่งที่พวกของตนประสบอยู่นั้นดีอยู่แล้วหรือเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็อาจไม่มีอยู่จริง หรือถ้ามีอยู่จริงก็อาจไม่มีประโยชน์
Antichrist จึงไม่เชื่อว่ามีชาติหน้า หรือไม่มีประโยชน์ที่จะมาสนใจ ไม่มีภาระกิจที่ต้องทำเพื่อชาติหน้า มีแต่ภาระกิจที่ต้องทำให้เสร็จภายในชาตินี้ชาติเดียว ที่นี่และเดี๋ยวนี้
Antichrist จึงต้องเกิดมาในช่วงที่สังคมระส่ำ ประสบภัยพิบัติและหายนะต่างๆ คนแวดล้อมเต็มไปด้วยความทุกข์ ความกลัว หมดหวัง หมดกำลังใจ รอคอยผู้ช่วยให้รอด เพราะในสภาพดังกล่าวย่อมเอื้อต่อการที่จะปลุกคนตื่นขึ้นมาทำอะไรสักอย่างดีกว่ารอความตาย
สูเจ้าอย่ามองหาผู้ช่วยให้รอดที่มองไม่เห็นและไม่รู้ว่าจะมาเมื่อใดเลย สู่เจ้าจงมองเข้าไปในใจ แล้วจะพบว่าพระผู้ช่วยให้รอดมีอยู่แล้วข้างในของสูเจ้ามันคือศักยภาพที่มีอยู่ในตัวของสูเจ้านั่นเอง
เพียงแต่สูเจ้าต้องเปิดรับและพัฒนาศักยภาพนั้นๆ ด้วยการลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างมิใช่รอคอยไปวันๆ
เมื่อใดที่ Antichrist ลุกขึ้นมา คนจะแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่ต้องทำอะไรสักอย่างตอนนี้และเดี๋ยว ก็จะเชื่อว่า Antichrist เป็นพระผู้ช่วยให้รอด กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะคิดว่าตัวเองเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีใครอื่น ไม่มีใครมาชี้นำ แม้แต่ Antichrist เอง หรืออาจอุปโลก หรือยอม ให้ใครมานำเพื่อเพิ่มกำลังของกลุ่ม
ขณะที่คนอีกกลุ่มที่ยังคงรอคอยอย่างมีความหวัง เชื่อว่าสิ่งที่ตนประสบเป็นชะตากรรมที่ต้องรับเอา และแก้ไขไม่ได้ เนื่องจากเป็นพระประสงค์ของเบื้องบน และอาจมองอีกกลุ่มว่าเป็นพวก Antichrist
ในที่สุดกลุ่มคนที่ต้องทำอะไรสักอย่าง ก็จะมีอำนาจชี้นำสังคม และกลุ่มคนผู้สร้างประวัติศาสตร์โลกนี้ขึ้น ทั้งทางดีและไม่ดี ที่ถูกนิยามและให้คุณค่าโดยคนที่มาทีหลัง
สรุปแล้ว Antichrist อาจเป็นใครก็ได้ที่อยู่เฉยไม่เป็นและถูกคนกลุ่มหนึ่งอุปโลกขึ้นมา
ที่สำคัญกว่าคือเราจะเลือกอยู่กลุ่มไหน? กลุ่มที่สร้างประวัติศาสตร์ หรือกลุ่มที่ไม่ถูกรับรู้ว่าเคยมีตัวตนอยู่ เนื่องจากใช้ชีวิตอยู่อย่างธรรมดา ตั้งแต่ การเกิด กิน นอน สืบพันธุ์ ขับถ่าย และตายลงทับถมผสมเป็นเนื้อกับเศษดินจนไม่หลงเหลือร่องรอยแม้แต่ซากฟอสซิล เฉกเช่นเดียวกับสัตว์ประเภทอื่น ที่เกิดขึ้น ดำรงขีวิตอยู่ และก็ตายลง รุ่นแล้วรุ่นเล่า
โลกนั้นยืนยาว ชีวิตมนุษย์แสนสั้น
โหราทาส 12 มี.ค.2563

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา