16 มี.ค. 2020 เวลา 12:18 • บันเทิง
MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย
ภูมิใจเสนอ นิยายกำลังภายในเรื่องแรกของเพจ MovieTalk
“เงาวายุ” บทที่ 15
ความเดิม
อี่ทงฮวงพบว่ายื่อต๊อติดตามตัวเองมาได้โดยตลอดก็ด้วยจี้หยกสตรีเปลือยที่ซิงโท่ยเคยให้ตนเองเก็บไว้ ภายในจี้หยกบรรจุฝุ่นประกายเงินติดตาม และกระพรวนนำทางไว้ แต่สุดท้ายอี่ทงฮวงหลอกล่อยื่อต๊อเข้าไปในคลังเก็บดินปืน ในยามที่ยื่อต๊อใช้กำลังภายในเพื่อจะทำลายอี่ทงฮวง ก็พอดีกับอี่ทงฮวงซัดเข็มติดไฟพุ่งเข้าไป ทำให้คลังดินปืนระเบิด อาคารทั้งหลังพังทลายลงมาทับยื่อต๊อ
จากนั้นอี่ทงฮวงก็ใช้เส้นทางลับอีกสายหนึ่ง หลบไปในสถานที่ลับอีกแห่งหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง ด้วยพหูโอสถทิพย์
“เงาวายุ” บทที่ 15 พันธมิตร ไม่ได้ให้เสียงภาษาไทย
อ๋องเอี๊ยนั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้ ยามนี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เนื่องจากถูกสกัดจุดทั่วร่างไว้
ยามนี้งั่งเจงผนึกลมปราณรวบรวมไว้ที่นิ้วชีขวา นางประทับปลายนิ้วชี้ลงบนหว่างคิ้วของอ๋องเอี๊ย แผ่พุ่งกำลังภายในผ่านจากนิ้วชี้เข้าไป นี่เป็นลมปราณสายอ่อนเพื่อถ่ายเข้าร่างของอ๋องเอี๊ย
ชั่วครู่หนึ่ง งั่งเจงเอ่ยถามน้ำเสียงนุ่มนวลเสนาะโสต
“วิธีเปิดประตูคลังมังกรต้องทำอย่างไร?”
อ๋องเอี๊ยยังคล้ายนิ่งงันไม่ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น
งั่งเจงจึงลำเลียงลมปราณอีกระลอกหนึ่งถ่ายเทเข้าสู่อ๋องเอี๊ย ยามนี้ใบหน้าอันสวยสคราญของงั่งเจงปรากฎเหงื่อผุดพราย เสื้อผ้านางล้วนเปียกชุ่มด้วยเหงื่อ การใช้วิชาเนตรภวังค์หลุดพ้นนับว่าทรมาณสังขารของนางยิ่งนัก
ในที่สุดนางเอ่ยถามประโยคเดิม
“วิธีเปิดประตูคลังมังกรต้องทำอย่างไร?”
อ๋องเอี๊ยเริ่มมีปฏิกิริยา เอ่ยอย่างเชื่อช้าเซื่องซึม
“วิธีเปิดประตูคลังมังกร ต้อง...”
เอ่ยเพียงเท่านี้ก็นิ่งเงียบอีกครา เซื่อมซึมอีกครา
งั่งเจงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก กำลังภายในของนางคล้ายถมใส่มหาสมุทรก็มิปาน อ๋องเอี๊ยคล้ายเป็นคนจิตใจหนักแน่นมั่นคง เป็นที่ลำบากสาหัสสำหรับนางยิ่งนัก
ในที่สุดงั่งเจงกัดฟันลำเลียงลมปราณเข้าสู่ร่างของอ๋องเอี๊ยอีกรอบ ใบหน้านางจากที่มีเม็ดเหงื่อผุดพราย ยามนี้ใบหน้ายิ่งมายิ่งซีดขาว ชั่วอึดใจ งั่งเจงเอ่ยคำถามเดิมอีกครั้งอย่างอย่างลำบากเหนื่อยล้า
“วิธีเปิดประตู...คลังมังกร...ต้องทำ...อย่างไร...?”
อ๋องเอี๊ย
อ๋องเอี๊ยเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าเซื่องซึมอีกครั้ง
“วิธีเปิดประตูคลังมังกร...ต้อง...หมุนที่ดวงตา...ของมังกร...”
“หมุนดวงตาของมังกร?”
งั่งเจงทวนคำ พลางหันเหสายตาไปเพ่งมองที่ประตูคลัง
บนประตูประดับไว้ด้วยมังกรตัวหนึ่งพาดผ่านอยู่กึ่งกลางบานประตู ประหนึ่งนอนหมอบราบกับบานประตู ดวงตาข้างหนึ่งลอยเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เป็นดวงตาสีเขียวมรกตกลมโตสุกสกาว
“ต้องทำอย่างไรกับดวงตามังกร?”
“หมนุซ้ายเก้าครั้ง หมุนขวาห้าครั้ง หมุนซ้ายอีกสามครั้ง และหมุนขวาหนึ่งครั้ง”
“มีขั้นตอนใดต่อ?”
“ไม่มีใดแล้ว เมื่อหมุนเสร็จ สลักนิรภัยจะปลดออก จึงจะผลักประตูเข้าไปได้...”
“ภายในมีกลไก กับดักใดหรือไม่?”
“ไม่มี ภายในไม่ได้สร้างกลไกกับดักใด ๆ ไว้”
รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากบนใบหน้าซีดขาวของงั่งเจง นางดึงลมปราณทั้งหมดคืนสู่จุดศูนย์ ถอยกายมาทรุดนั่งที่เก้าอี้อีกตัวอย่างเหนื่อยล้า ยามนี้แม้จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวยังยากลำบากสำหรับนาง
ครบเวลาตามกำหนด ก็ปรากฏเงาร่างไช้ตื้อเซ้งที่ด้านหลังของงั่งเจง มันหันมามองนาง ดวงตาทอแววห่วงใยแว่บหนึ่งก่อนสูญสลายไป ไช้ตื้อเซ้งไม่ต้องการมีอารมณ์รักห่วงใยผู้ใด และยิ่งไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ความรู้สึกตนเอง
“ท่านเป็นไรบ้าง?”
“ข้าพเจ้าเหนื่อยล้ายิ่งนัก นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่า กว่าจะรีดเค้นความลับนี้จากปากอ๋องเอี๊ยต้องสิ้นเปลืองกำลังภายในจนแทบหมดร่างกาย”
ไช้ตื้อเซ้งผงกศรีษะ
“นั่นก็เป็นเรื่องที่คาดคิดได้ บุคคลทรงอำนาจเช่นอ๋องเอี๊ย ที่จะก้าวขึ้นปกครองแทนฮ่องเต้ปัจจุบัน ย่อมทรงอำนาจ บารมี ด้านจิตใจย่อมฮึกเหิม มั่นคงกล้าแข็ง หากท่านรีดเค้นความลับได้ง่ายดาย คนผู้นี้ก็มิสมควรเป็นทายาทมังกรมาจุติแล้ว”
“เวลาเหลือน้อยแล้ว ต้องทำเช่นไร จึงจะเปิดประตูคลังได้” ไช้ตื้อเซ้งรวบรัดถามอย่างร้อนใจ
งั่งเจงพยุงกายลุกขึ้น ก่อนจะเดินด้วยความเหนื่อยล้ามาหยุดที่หน้าประตู มังกรบนประตูอยู่เบื้องหน้าของนางแล้ว
งั่งเจงใช้มือผุดผาดซีดขาวของนางจับที่ดวงตาเขียวมรกตของมังกร หมุนซ้ายขวาตามที่อ๋องเอี๊ยบอก เสียงคลิ๊กดังขึ้น
มังกรบนประตูถูกผ่าออก ประตูทั้งสองบานซ้ายขวา เลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ
แสงสีทองอร่ามตาทอออกมาเป็นประกายเรืองรอง
ไช้ตื้อเซ้งแย้มยิ้ม ที่เหนื่อยยากและทุ่มเทกำลังจะบรรลุผลสำเร็จแล้ว แม้ในใจจะมีความลิงโลด แต่ท่าทีของไช้ตื้อเซ้งกลับสงบนิ่งคล้ายรอคอยบางประการ ที่มันรอคอยคือ เบื้องหลังประตูมีกลไกกับดักหรือไม่
งั่งเจงคล้ายล่วงรู้ความคิดของไช้ตื้อเซ้ง จึงเดินนำหน้าเข้าไปก่อน
ไม่เพียงงั่งเจงจะทราบว่าภายในคลังไม่มีกับดักกลไก แต่เพราะความสุกสกาวของเพชรนิลจินดามากมายคณานับต่างหากที่ดึงดูดให้งั่งเจงสาวเท้าเข้าไปก่อน
อิสตรีย่อมเป็นอิสตรี อัญมณีเพชรพลอยล้วนเป็นที่ชื่นชอบ ยิ่งมากยิ่งดี ยิ่งสวมใส่ยิ่งงดงาม
งั่งเจงจะอย่างไรก็ยังคงเป็นอิสตรี เมื่อเป็นอิสตรี อัญมณีเพชรพลอยย่อมเป็นที่ต้องตาต้องใจ ยามนี้คล้ายความเหนื่อยล้าของนางมลายไปสิ้นแล้ว
งั่งเจง
งั่งเจงเดินตรงเข้าไปที่หุ่นเสมือนบุกำมะหยี่ตัวหนึ่ง บนคอของหุ่นกำมะหยี่เป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง บนสร้อยคอเส้นหนึ่งประดับไว้ด้วยเพชรพลอยสุกสกาวแวววับ สร้อยเพชรอันโดดเด่นเป็นพิเศษ ถึงกับดึงดูดนางให้เดินเข้าไป
งั่งเจงหยุดที่ตรงหน้าหุ่นกำมะหยี่ตัวนั้น เพ่งมองสร้อยคอไม่วางตา พลางยื่นมือเรียวยาวไปที่สร้อยคอเตรียมจะดึงออกมาสวม
ฉับพลันทันใด คล้ายหุ่นกำมะหยี่มีมืองอกออกมา มือข้างนั้นพุ่งปราดออกมา ที่แท้มือข้างนั้นพุ่งออกมาจากด้านหลังของหุ่นกำมะหยี่นี่เอง
มือข้างนั้นคว้าจับข้อมือของงั่งเจงไว้อย่างแม่นมั่น
งั่งเจงตะลึกลาน นี่นับว่าเหนือความคาดหมายของนาง ขณะจะชักมือกลับก็รู้สึกทั่วร่างชาวูบ ขณะจะคิดร่ำร้องออกมา
มืออีกข้างหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านหลังหุ่นกำมะหยี่ มือข้างนั้นใช้ดรรชนีทะลวงจี้จุดสามแห่งสำคัญบนร่างของงั่งเจง
พริบตาเดียวงั่งเจงอ่อนระทวย ล้มลง กำลังภายในของนางสูญสลายไปหมดสิ้น
งั่งเจงเป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ ถึงกับสะท้านทั้งร่างเพราะนางทราบดีว่าเวลานี้นางถูกสกัดจุดสลายพลังยุทธไปแล้ว ดวงตานางทอแววยากบรรยายเป็นคับแค้นเป็นไม่คาดคิดเป็นขมขื่น
เงาร่างเจ้าของมือคู่นั้นเดินออกมาจากหลังหุ่นกำมะหยี่ บุรุษหนุ่มใหญ่ใบหน้าคมคาย รูปร่างสมส่วน สง่างาม
เป็น “อี่ทงฮวง” นั่นเอง
อี่ทงฮวง
ที่แท้อุโมงค์ลับที่อี่ทงฮวงไต่บันไดขึ้นไปคือ เส้นทางลับเข้าไปภายในคลังมังกร อี่ทงฮวงรอคอยอย่างสงบอยู่ภายในคลังมังกร โดยระหว่างนั้นก็รักษาตัวเองด้วยพหูโอสถทิพย์จนเป็นปกติ
อี่ทงฮวงประเมินแล้วว่า บุคคลแรกที่ต้องเข้ามาก่อนคือ งั่งเจง
ไช้ตื้อเซ้งเป็นชนชั้นผู้นำ ฉลาดหลักแหลม ย่อมรอบคอบที่จะเสี่ยงชีวิตเข้ามาเป็นคนแรก
งั่งเจงเป็นอิสตรี ย่อมให้ความสนใจสร้อยคอเพชรนี้เป็นสิ่งแรก คิดจะต่อรองกับไช้ตื้อเซ้งต้องให้นางเดินสู่กลอุบายนี้
ไช้ตื้อเซ้งที่เพิ่งก้าวเท้าแรกเข้ามาในคลังมังกร ถึงกับหยุดฝีเท้าลงทันที ที่เห็นเบื้องหน้าตนคือ บุรุษผู้หนึ่ง ส่วนงั่งเจงนอนทรุดอยู่ทีพื้นข้างกายของบุรุษผู้นั้น
โดยมิต้องถาม ไช้ตื้อเซ้งก็ทราบว่าบุรุษผู้นี้ย่อมเป็น องครักษ์เงา อี่ทงฮวง
ไช้ตื้อเซ้งใช้สายตาเย็นยะเยียบคมวาวจับจ้องอี่ทงฮวง ในแววตาทอแววยกย่องส่วนหนึ่ง เคียดแค้นส่วนหนึ่ง
ที่ยกย่องคือ อี่ทงฮวงเพียงคนเดียวถึงกับตัดแขนขาของเกียอุ้ยนึ้งจนไม่ต่างจากมนุษยพิการ
ที่เคียดแค้นก็คือ อี่ทงฮวงเพียงคนเดียวทำลายกลุ่มสังหารเกียอุ้ยนึ้งจนเหลือเพียงไช้ตื้อเซ้งเท่านั้น
(เกียอุ้ยนึ้ง หมายถึง รวมเป็นคน นักฆ่าทุกคนมีชื่อเรียกตามอวัยวะบนร่างกายของมนุษย์)
อี่ทงฮวงก็ใช้สายตาแบบเดียวกันจับจ้องที่ไช้ตื้อเซ้ง
“นึกไม่ถึง อี่เฮีย สละเวลารอคอยผู้น้องดุจมุสิกอยู่ภายในคลังแห่งนี้” ไช้ตื้อเซ้งเอ่ยแล้ว ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย ไม่รอให้อี่ทงฮวงตอบ ก็เอ่ยถามขึ้น
“เมื่อเห็นอี่เฮียที่นี่ หากข้าพเจ้าคาดเดาไม่ผิด คนของข้าพเจ้าทั้งหมดถูกท่านกำจัดหมดสิ้นแล้ว?”
อี่ทงฮวงแย้มยิ้มอย่างปลอดโปร่ง พลางผงกศรีษะเป็นการตอบรับ
ไช้ตื้อเซ้ง แหงนหน้าหัวเราะขึ้น
“ฮา...อี่เฮียถึงกับตัดแขนขาของผู้น้องจนหมดสิ้นแล้วจริง ๆ เกียอุ้ยนึ้งที่ใช้เวลาร่วมสิบปีก่อเกิดเป็นคน ต้องมาพิกลพิการด้วยอี่เฮียภายในคืนเดียว ผู้น้องได้แต่เลื่อมใสแล้ว”
อี่ทงฮวงย้อนถามกลับ “ไช้เฮียคิดหรือไม่ว่า เพื่อครอบครองผลึกตะวันท่านต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเช่นนี้ ยังนับว่าคุ้มค่า?”
“หากได้ผลึกตะวันมาครอบครอง ยังคงนับว่าเรามีกำรี้กำไรบ้าง” ไช้ตื้อเซ้งตอบน้ำเสียงเคร่งเครียด
“หากแม้ผลึกตะวันท่านก็ไม่ได้ครอบครองเล่า?”
“หากมิได้ผลึกตะวัน แต่ได้ชีวิตอี่เฮียแทน ก็ยังนับว่าขาดทุนบ้างเล็กน้อย”
“หากแม้ชีวิตข้าพเจ้าท่านก็มิได้ไปเล่า?”
“อย่างนั้นนับว่าล้มละลายอย่างที่สุด!” น้ำเสียงไช้ตื้อเซ้งเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
ไช้ตื้อเซ้งระบายลมหายใจจากปาก ก่อนจะคืนสู่ความสงบเช่นเคย พลางเอ่ยถามอี่ทงฮวง
“ข้าพเจ้ามีการค้าหนึ่งจะตกลงกับอี่เฮีย ไม่ทราบว่าสนใจหรือไม่?”
“ท่านลองบอกมาก่อนเป็นไร?” อี่ทงฮวงย้อนถาม
“จนถึงเวลานี้ข้าพเจ้าประจักษ์ในทักษะความสามารถอันสูงส่งของอี่เฮีย ถึงกับชื่นชมยิ่งนัก ถึงแม้จะสูญเสียมากมาย แต่หากได้อี่เฮียมาร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มสังหาร หรือสหายของข้าพเจ้า ตำแหน่งรองหัวหน้าเกียอุ้ยนึ้งพอจะตกลงการค้ากับท่านได้หรือไม่?”
ไช้ตื้อเซ้ง
“นับว่าน่าสนใจยิ่ง...เพียงแต่...”
“เพียงแต่ประการใด บางทีข้าพเจ้าอาจสนองตอบอี่เฮียได้” ไช้ตื้อเซ้งรู้สึกคำตอบของอี่ทงฮวงเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่หากได้อี่ทงฮวงมาเป็นพวกพ้อง ยังนับว่าสร้างขุมกำลังที่น่าสะพรึงกลัวได้ต่อไป
“เพียงแต่ข้าพเจ้ามีหลักการของตนเอง
ไม่คบหาคนเลวเป็นสหาย
ข้าพเจ้าไม่ทรยศสหายและผู้มีพระคุณ
ข้าพเจ้ามีนายถวายชีวิตคือ ฮ่องเต้ปัจจุบัน และรัชทายาทอ่องเอี๊ย
ที่สำคัญสุด ข้าพเจ้าไม่กระทำเรื่องที่ละอายต่อฟ้าดิน ขาดไร้ซึ่งคุณธรรม
นั่นคือหลักการประจำใจของข้าพเจ้า”
ไช้ตื้อเซ้งหน้าแปรเปลี่ยนด้วยโทสะ แต่ก็ซุกงำเก็บไว้ ชั่วครู่ก็กลับเป็นสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาเช่นเดิม ก่อนจะแย้มยิ้ม
“ข้าพเจ้านับถืออี่เฮียยิ่งนัก แม้ตนเองจะเป็น ปัญญา ของเกียอุ้ยนึ้ง แต่ยังด้อยกว่าอี่เฮียขั้นหนึ่ง ไม่เพียงสติปัญญา ท่านยังมีไหวพริบ และการแก้ไขสถานการณ์คับขันเป็นตายมาได้โดยตลอด ทอดตาทั่วแผ่นดินคงมีแต่อี่เฮียแล้ว. แต่ยอดฝีมือมักมีอายุขัยสั้น...
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราสองจะสะสางหนี้สินทั้งหมดต่อกัน ข้าพเจ้านับว่าได้พบคู่มือทัดเทียมแล้วจริง ๆ”
“ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน” อี่ทงฮวงประสานมือคำนับด้วยความชื่นชม
จบคำ ทั้งสองก็ผนึกสมาธิหลอมรวมร่างกายและจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียว
ทั้งสองตระเตรียมแล้ว
ตระเตรียมจะประหัตประหารกันด้วยพลังฝีมือขั้นสูงสุดของทั้งสอง
ท่าร่างของอี่ทงฮวง และไช้ตื้อเซ้ง ปราศจากช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้ามพบเห็น
พลังกดดันมหาศาลแผ่พุ่งออกมาจากร่างของทั้งสอง รุนแรงจนงั่งเจงสัมผัสได้ นางพยายามคืบคลานถอยหลังเพื่อหาที่กำบังกาย
ในจิตใจงั่งเจงว้าวุ่นยิ่งนัก แม้นางมั่นใจในพลังฝีมือของไช้ตื้อเซ้งที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึง อี่ทงฮวงย่อมมิใช่คู่มือ แต่ในใจนางปรากฎเค้าลางหายนะ ตลอดทั้งคืน อี่ทงฮวงคือความแปรเปลี่ยนเกินคาดเดา
ความแปรเปลี่ยนเกินคาดเดาย่อมส่งผลกระทบมหาศาลกับทุกเรื่องราว
เรื่องราวใด ๆ ในโลก ต่อให้ท่านวางแผนอย่างดิบดีเป็นที่สุด
ย่อมมีเหตุแปรเปลี่ยนไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ
นั่นคือความจริงของชีวิต
ความจริงของทุกสิ่งบนโลกใบนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา