Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Learning Visual Diary
•
ติดตาม
22 มี.ค. 2020 เวลา 05:28 • ความคิดเห็น
Learning Visual Diary#53: บันทึกความคิดหลัง Bangkok Lockdown
สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งวันในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ในที่สุดเหตุการณ์ Bangkok Lockdown ก็มาถึง ผมคิดว่าหลายคนแอบลุ้นว่ามันจะเกิดใหม บางคนเห็นด้วย บางคนไม่เห็นด้วย หรือไม่ก็คิดว่าคงเกิดแน่เพียงแต่เมื่อไร ท่านจะคิดอะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญเรากำลังเผชิญสถานการณ์นั้นอยู่ครับ ดังนั้น วันนี้ผมคงไม่ได้มีเรื่องอะไรมาคุยมากนัก จริงๆผมมีเตรียมเรื่องมาคุยเหมือนกันแต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมอยากจะขอบันทึกและแชร์ความคิดความรู้สึกของผมออกมาในบทความนี้ ลองมาแชร์กันนะครับ
คือมันอย่างนี้ครับ...
สำหรับตอนนี้ผมขอเรียนว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผมล้วนๆที่อยากจะมาแชร์กัน ดังนั้นจึงอาจจะผิดหรืออาจจะถูก ก็เป็นแค่ความเห็นของประชาชนคนหนึ่งครับ ผมมี 5 ข้อคิดเท่าที่คิดได้ตอนนี้ครับ
ข้อคิดเกี่ยวกับตัวเอง
1. วิวัฒนาการของความกังวล
ผมเรียนตามตรงว่าครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ Coronavirus ที่ฮูฮั่น ผมยังถือว่ามี awareness ต่ำมาก ตอนนั้นผมมองว่า Covid19 ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับไข้หวัดที่เราเคยเจอมา ไม่ต่างกับ SARS หรือ H1N1 ผมก็ยังคงมั่นใจว่าถ้ารักษาร่างกายให้แข็งแรง หวัดแค่นี้คงทำอะไรเราไม่ได้ ยังแอบหลอกตัวเองว่าโรคมันอยู่ต่างประเทศ อากาศบ้านเรากับบ้านเขาก็ไม่เหมือนกัน หรือ %ผู้เสียชีวิตก็น้อยมาก การติดก็ไม่ง่าย ต้องจามใส่หน้าถึงจะติด
แต่เมื่อได้ยินข่าวเรื่อยๆ เราเริ่มพฤติกรรมเสพข่าว ผมเริ่มอินกับเหตุการณ์มากขึ้น แม้ผมเองจะพยายามกรองข่าวสารที่เสพอยู่พอควร รู้ตัวอีกทีเราก็เริ่มเช็คข่าวตอนเช้าก่อนจะเช็คค่าฝุ่น PM. 2.5 แล้ว ผมยอมรับว่าเริ่มกังวลเวลาที่ขึ้นรถไฟฟ้าแล้วคนข้างๆกระแอมหรือไม่ได้ใส่หน้ากาก จนบางครั้งก็มีความระแวงเหมือนกันว่าการติดเชื้อมันง่ายขนาดใหนแล้วฉันติดไปแล้วแต่ไม่รู้รึป่าว
ผมคิดว่าการเดินทางของความกังวล มันเกิดจากการรับรู้ข่าวสารเพื่อจะลดความไม่รู้ของเรา แต่มันกลับสร้างความไม่รู้มากขึ้น ปัญหามาจาก เราไม่รู้จริงๆว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือความเห็น หรืออะไรที่มันไม่จริงหรือจริงสำหรับบางบริบท เรามีข้อมูลไม่เท่ากัน เรื่องจริงคือเรื่องที่ถูกแชร์มากๆ มากกว่าเรื่องที่ถูกตรวจสอบมากๆ เรื่องที่สังคมควรรู้แต่เรากลับไม่รู้ ความคาดเดาก็เกิดและส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในทางลบ
2. วิกฤตมา อะไรก็เปลี่ยนได้ทันที
หลายเรื่องที่เคยอยากทำในช่วงปกติ ตอนนี้อยู่ๆก็ทำได้แล้ว เช่น เรื่องการ work from home หรือ การทำงานแบบ paperless หรือบางเรื่องที่อยากจะทำ เช่น daily/weekly check-in ถึงบางอย่างจะไม่สมบูรณ์แต่ก็คิดว่าคงได้เริ่มทำแน่ๆ ผมตั้งเป้าว่าอยากจะมีบางเรื่องที่ถูกยกขึ้นมาทำต่อแม้วิกฤตจะผ่านไปแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกับบางคนอยู่ที่ทำงานผมแทบไม่ได้คุยกันเลย ตอนนี้ได้คุยกันมากขึ้น
อย่าปล่อยให้วิกฤตเป็นแค่วิกฤต จงใช้เป็นแรงผลักดันในการเปลี่ยนแปลง เลือกทำสิ่งที่ตัวเองควบคุมได้ เรื่องที่คุมไม่ได้เป็น constraint แต่ไม่ใข่ข้อแม้ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงครับ
ข้อคิดเกี่ยวกับสังคม
3. เจ็บแต่จบ เราอาจจะจบจริงๆถ้าไม่บริหารจัดการ
ตั้งแต่มีการประกาศ ความคิดมันแล่นมาในหัวผมเยอะแยะเลย แต่เรื่องที่ผมสงสัยและมันเด่นมากคือ คนหาเช้ากินค่ำจะอยู่ยังไง ทุกวันนี้ลำพังเศรษฐกิจก็แย่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์ประกาศปิดนู้นนี่นั่น มันไม่ใช่แค่แย่แต่มันกลายเป็นศูนย์เลย ไม่ว่าจะเป็น taxi พนักงานในร้านอาหาร พนักงานในห้าง พนักงานรายวัน ร้านค้าผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างแบบนี้ ผมไม่แน่ใจว่ามีการประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจเหล่านี้เป็นรูปธรรมแค่ใหน แฟนผมพึ่งต้องบอกลูกจ้างไปว่าห้างปิดตอนนี้คงไม่มีงานให้ทำแล้วเดือนหน้าค่อยเจอกันใหม่ ภาพที่เราจินตนาการได้คือ ลูกๆของน้องเขา ชีวิตต้องเดินต่อ แต่เมื่อปัจจัยที่หน่วยย่อยของสังคมควบคุมไม่ได้มันมีเยอะเกินไป เราจะทำยังไง
ผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับ Lockdown ผมเองก่อนหน้านี้ก็คิดว่าเราต้องเดินทางสู่ stage นี้ซักวันแน่ๆ แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ผมคิดว่าควรมีการจัดการช่วยเหลือ ถ้าการ lockdown คือการ pause โรค pause กิจกรรมทางสังคมทางเศรษฐกิจ แต่คนเรา pause การกินการอยู่ไม่ได้ แขนขาของเขามันโดนสั่งให้หยุด ก็ต้องมีมือเข้ามาช่วย บางเรื่องที่ไม่ควรทำก่อนหน้านี้อาจจะต้องทำตอนนี้ เข่น เรื่องการให้เงินช่วยเหลือ 1,000 บาทที่รัฐเคยจะทำ ผมไม่เคยเห็นด้วยกับนโยบายทำนองนี้เลยครับ แต่นี่อาจจะเป็นเวลาที่ควรทำก็ได้ (บางทีอาจจะคิดกันอยู่แล้วก็ได้นะครับ)
4. เวลานี้ความร่วมแรงร่วมใจสำคัญที่สุด
วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตของสังคมของทุกคน ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่ของภาครัฐ ไม่ใช่ของกระทรวงสาธารณสุข ไม่ใช่ของโรงพยาบาล สิ่งที่ผมพยายามจะนึกคือ เราทำอะไรให้บ้านของเราได้บ้าง อย่างน้อยก็ในฐานะคนในสังคมที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นบ้าง มันสำคัญมากที่ เราทุกคนควรหยุดเรียกร้องว่ารัฐควรทำอะไรให้ฉัน แต่ควรเอาเวลาไปคิดว่าฉันควรทำอะไรให้สังคมก่อนครับ ไม่งั้นคุณจะฟุ้งซ่านกับเรื่องที่คุณคุมไม่ได้มากเกินไป (ไม่ใช่ว่าบทบาทภาครัฐไม่สำคัญแต่ด่าไปก็ไม่ได้อะไร จัดการตัวเองให้ดีแล้วค่อยไปจัดการคนอื่น) และขยายวงต่อไปยังแต่ละภาคส่วน เราควรมีตัวตั้งตัวตีในแต่ละอุตสาหกรรมการหาทาง contribute กลับให้สังคม เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านวิกฤตได้พร้อมๆกัน
ถ้าจะมีเรื่องหนึ่งที่ภาครัฐสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ ผมคิดว่าต้องสร้างสัญลักษณ์แห่งความร่วมใจ และการหาช่องทางให้คนที่มีโอกาสมากกว่าสามารถนำทรัพยากรออกมาลงขันกันได้มากๆ ผมเชื่อว่าหลายๆคนในฐานะหน่วยย่อยของสังคม พร้อมที่จะช่วยลงขันครับ ทุกคนอยากผ่านเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว มีอะไรทำได้ก็ทำเถอะครับ อยู่บ้านได้ก็อยู่เถอะครับ และอยากเป็นหนึ่งในเสียงเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนวางเป้าหมายส่วนตัวลงแล้วมาคิดถึงเป้าหมายส่วนรวมด้วยกัน ผมเชื่อว่าถ้าพวกเราทำได้ Covid 19 จะกลายเป็นโอกาสครับ
ข้อคิดในฐานะมนุษย์
5. Covid19 ทำให้เราเข้าใจความเท่าเทียมกัน
ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ โรคระบาดไม่เคยเลือกว่าคนที่เป็นโรคจะเป็นคนชนชั้นใด จะรวยจะจน ก็เป็นได้ จะมียศมีฐานะ ก็เป็นได้ทั้งนั่น Covid ไม่มีสี ไม่มีพรรคพวก สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ ทำสิ่งที่ทำได้ให้ดีที่สุด
ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เรื่องนี้ยืนยันกับผมว่ามนุษย์ไม่ใช่เจ้าของโลกไม่ใช่เจ้าของธรรมชาติ ขณะที่เรารังแกธรรมชาติมาเป็นศตวรรษ วันนี้ธรรมชาติก็อาจจะรังแกเรากลับได้ และมันเกิดขึ้นตลอดในประวัติศาสตร์ของเรา ไม่มีอะไรที่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำอย่างเดียว และมนุษย์ก็เป็นแค่หน่วยเดียวของธรรมชาติเท่านั้น ตัวเราเล็กเกินไปกว่าที่จะมีอัตตาจริงๆครับ จงเป็นส่วนหนึ่งแต่อย่าคิดครอบครองครับ
เท่าที่คิดได้เข้านี้ครับ ตอนนี้เรากำลังเดินอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลกนะครับ จงมีสติ อย่าเครียดมาก อะไรๆเดียวก็ผ่านไป อะไรๆที่ต้องเกิดมันก็เกิดและดับได้ครับ ทำสิ่งที่ควบคุมได้เปลี่ยนเรื่องทีาคุมไม่ได้เป็นมุมมองใหม่และป้องกันให้ดีที่สุด Stay Safe and Healthy ครับ
Happy Learning
ขอบคุณครับ
ชัชฤทธิ์
6 บันทึก
10
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Covid-19 Learning Diary
6
10
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย