ท่ามกลางความคืบหน้าของวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่เราเข้าใกล้ไปทุกขณะ การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยยังคงดำเนินไปเพื่อให้มั่นใจในการนำมาใช้กับประชากรโลก
แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนพึงรู้ไว้ก็คือ วัคซีนไม่ได้เพียงพอสำหรับทุกๆคนและประเทศที่ร่ำรวยมักจะถือไพ่เหนือกว่าในการเป็นผู้ครองสิทธิ
การเข้าถึงอย่างเป็นธรรมและความมั่นคงด้านวัคซีน COVID-19
การวิจัยยาหรือพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ๆมีราคาที่ต้องจ่าย มีการประเมินคร่าวๆว่าตัวเลขดังกล่าวอาจสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ นับว่าเป็นสิ่งที่ผู้ลงทุนต้องคิดแล้วคิดอีก
การสนับสนุนด้านเม็ดเงินและวิทยาการจะถูกจ่ายให้กับบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนที่ใช้ป้องกัน COVID-19 และด้วยความต้องการที่สูงเกินประเมินได้ บริษัทนั้นๆก็มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งการผลิตให้ได้มากที่สุด ทำให้สายการผลิตวัคซีน
อื่นๆอาจขาดได้ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ต้องพัฒนาและผลิตทุกๆปีเพื่อให้พร้อมสำหรับหน้าฝนที่กำลังจะมาถึง หรือแม้แต่วัคซีนโรคหัดและคางทูมที่จำเป็นในเด็กแรกเกิดทุกราย
●..บทเรียนจาก Ebola virus..●
ปี 1976 เป็นครั้งแรกที่เราเริ่มรู้จักอีโบล่าและจนถึงปัจจุบันมีการระบาดมาแล้วกว่า 24 ครั้ง แน่นอนว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีการวิจัยทดลองวัคซีนเพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามด้านสุขภาพดังกล่าว แต่กว่าจะมีการทดลองในมนุษย์เพื่อดู efficacy-safety และมีการรับรองให้สามารถใช้เพื่อป้องกันการระบาดก็เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เองครับ
รายจ่ายด้านสุขภาพต่อปีของประชากรรายคนในประเทศที่ Ebola ระบาดเทียบกับอเมริกา : TED talk
เหตุผลหนึ่งก็คือประเทศที่พบปัญหาการระบาดหลักๆอยู่ในทวีปแอฟริกา ที่ซึ่งความสามารถในการจ่ายสำหรับจ่ายค่าวัคซีนต่ำมาก แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้ดึงดูดใจบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนให้มาลงทุนอย่างจริงจัง เว้นแต่ว่าจะมีประชากรในประเทศที่ร่ำรวยตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ
เรียกได้ว่าความเสี่ยงด้านการเงินเป็นประเด็นที่ฉุดการพัฒนาทางวัคซีน
เพื่อให้มั่นใจว่าการวิจัยและพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับ COVID-19 จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องจึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการสนับสนุนด้านเงินทุนอย่างเพียงพอ
กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา CEPI (The Coalition for Epidemic Preparedness Innovations) องค์กรศูนย์กลางการพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับโรคระบาด มีหน้าที่เป็นแหล่งทุนวิจัยวัคซีนโดยได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศ บริษัทชั้นนำ รวมถึงมูลนิธิการกุศลต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ Bill & Melinda Gates Foundation (BMGF) ได้ออกมาขอรับการสนับสนุนเป็นจำนวนเงินกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่ง ณ ขณะนี้มีหลายประเทศได้บริจาคไปแล้วกว่า 690 ล้านดอลลาร์ เงินจำนวนดังกล่าวจะถูกใช้เพื่อช่วยบริษัทผู้พัฒนาเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้มากที่สุดและสร้างการเข้าถึงที่เท่าเทียม
สิ่งที่รัฐบาลแต่ละประเทศต้องคิดล่วงหน้าในการช่วยผู้ผลิตวัคซีนคือการวางแผนและการส่งสัญญาณว่ามีความต้องการซื้อมากน้อยเพียงใดและกำหนดลำดับความสำคัญของผู้ที่จะได้รับวัคซีน
●..การผูกขาดวัคซีนจะเกิดขึ้น..●
หากลองมองไปข้างหน้าถึงจุดที่เรามีวัคซีนป้องกัน COVID-19 ขึ้นมา แน่นอนว่าประเทศไหนทำได้ก่อนก็ยากที่จะมีวิธีไปบีบบังคับให้แบ่งปัน
ตัวอย่างเช่น การระบาดของไข้หวัด H1N1 ในปี 2009 ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่ผลิตวัคซีนออกมาได้ และพวกเขาก็ลำดับความสำคัญให้กับพลเมืองในประเทศตนเองก่อน ทำให้แทบไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศอื่นๆได้ อีกทั้งมีข้อกฎหมายอย่างชัดเจนที่บังคับให้บริษัทผู้ผลิตต้องขายเฉพาะภายในประเทศ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลด้านความมั่นคงที่ยากจะเปลี่ยนแปลง
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ : hinchey
ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าราคาของวัคซีนควรจะมีหลายระดับเพื่อให้เข้าถึงได้ในประเทศที่ยากจนและด้อยพัฒนา ต้องบอกตามตรงว่าเราไม่มีองค์กรที่ออกกฎและดูแลเกี่ยวกับการจัดซื้อและกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียมกันในระดับโลก
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาลแต่ละประเทศ องค์กรสาธารณสุขระดับโลกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขณะที่การพัฒนาวัคซีนยังดำเนินไป
●..ใครควรจะได้รับวัคซีนก่อน?..●
Seth Berkley ผู้อำนวยการองค์การพันธมิตรเพื่อพัฒนาวัคซีน (GAVI) ให้สัมภาษณ์กับ TED ว่า...
เขาคิดว่ากลุ่มแรกที่ควรได้รับวัคซีนคือบุคลากรทางการแพทย์เนื่องจากบุคลากรกลุ่มดังกล่าวถือว่าเป็นด่านหน้าในการดูแลผู้ป่วยคนกลุ่มนี้ควรต้องได้รับความมั่นใจว่าจะสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากมีความเสี่ยงโดยตรงทั้งการสัมผัสใกล้ชิดและอาจเป็นผู้กระจายเชื้อได้
สำหรับลำดับอื่นๆอาจต้องพิจารณาเกี่ยวกับความเสี่ยงของแต่ละบุคคลว่า ใครเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อย เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่เดิมเพราะเกี่ยวข้องกับโอกาสเสียชีวิตที่สูงหากมีการติดเชื้อ
ขณะที่ Bill Gates เศรษฐีพันล้านผู้ใจบุญก็เคยให้ความเห็นเรื่องนี้ไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of medicine ว่า...
ระหว่างการแพร่ระบาดนี้ วัคซีนและยาต้านไวรัสไม่ควรถูกขายให้กับผู้ที่ให้ราคาสูงกว่า สิ่งเหล่านี้ควรสามารถใช้ได้และราคาเอื้อมถึงสำหรับประชาชนที่อยู่ในศูนย์กลางของการระบาดและในที่ๆมีความต้องการมากที่สุด
ทั้งนี้การลำดับความสำคัญอาจแตกต่างกันไปได้ขึ้นกับความจำเป็นและข้อมูลสนับสนุน แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือต้องมีความเป็นธรรมในการเข้าถึงวัคซีน
●..สถานการณ์ในไทย..●
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติทำหน้าที่ดูแลความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศไทยเคยให้สัมภาษณ์กับ The standard ในช่วง liveวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า...ประเทศไทยก็มีนักวิจัยที่พยายามพัฒนาวัคซีน COVID-19 อยู่หลายทีม ไม่ว่าจะเป็นทีมจากสถาบันการศึกษา เช่น จุฬา มหิดล กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และบริษัทเอกชน ก็กำลังพัฒนาไปในแนวทางของตนเองพร้อมกับติดตามทิศทางจากต่างประเทศเพื่อให้สามารถพัฒนาวัคซีนออกมาได้เร็วที่สุด เราจำเป็นต้องขวนขวายและพัฒนาเองเพื่อให้สามารถมีวัคซีนใช้ซึ่งจะมัวแต่รอการซื้อจากต่างประเทศไม่ได้เพราะถึงวันนั้นก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับประเทศเรา
ไทยเตรียมทำ MOU กับจีนเรื่องการพัฒนาวัคซีน : Freightexpress
และไทยเตรียมทำ MOU ร่วมกันกับจีนแล้ว เพื่อขอการสนับสนุนด้านวิทยาการและเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังเตรียมพิจารณางบประมาณในการสร้างโรงงานเพิ่มเติมเพื่อรองรับกระบวนการดังกล่าว และเพื่อความเพียงพอสำหรับการใช้ในอนาคตหากมีการระบาดอีกครั้ง เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในช่วงการระบาดไข้หวัดใหญ่ แม้เราจะมีเงินก็จริงแต่ก็ไม่สามารถขอซื้อเขาได้
การลงทุนดังกล่าวถือเป็นความจำเป็นที่ต้องทำ เปรียบเหมือนเราต้องปลูกต้นไม้ไว้ พอถึงเวลาอยากให้ออกดอกออกผล เราก็ใส่ปุ๋ยรดน้ำไปเพื่อใช้ประโยชน์เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ยากหากไม่มีการเตรียมพร้อม
18-24 เดือนเป็นระยะเวลาที่คาดว่าเราจะมีวัคซีนที่สามารถนำมาใช้ได้ การวางแผนและกำหนดให้ชัดเจนถึงแนวทางการจัดการที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างที่เราดำเนินมาตรการทุกๆทางเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและลดจำนวนผู้ติดเชื้อ
References :
- 4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
