“เมื่อกี้หน่วยข่าวกรองพม่ามาตามหาผู้หญิงไทยสองคนทั่วโรงพยาบาลเลย” เจ้าหน้าที่พยาบาลแจ้งข่าวร้ายที่ทำให้คนฟังใจเต้นระส่ำ
“แล้วพวกเขารู้ได้ยังไงว่าเราสองคนมาที่นี่” ฉันถามด้วยความสงสัย
“เห็นพวกหน่วยข่าวกรองบอกว่า ทางโรงแรมที่พวกคุณพักแจ้งว่าพวกคุณมาที่นี่” สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ น้องสาวที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างกายก็สารภาพออกมาเสียงอ่อยว่า
“เอ่อ…ตอนที่เช็คเอ้าท์ เขาให้กรอกว่าจะไปที่ไหนต่อ เลยกรอกไปตามความจริงว่าพวกเราจะมาที่นี่ค่ะ…” เพื่อนรุ่นน้องสารภาพด้วยความไร้เดียงสา เพราะไม่ได้คาดคิดว่า “การพูดความจริง” ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเข้มข้นอย่างพม่าจะนำภัยมาสู่ตัว
“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ พวกหน่วยข่าวฯ ไปไหนกันแล้ว” ฉันถามบรรดาพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์
“พวกนั้นมาถึง แล้วหาพวกคุณไม่เจอ เราไม่รู้จะทำยังไง เลยโทรไปถามหมอ หมอบอกว่าให้หน่วยข่าวกรองตามไปพบที่บ้าน ระหว่างนี้ให้พาพวกคุณไปหลบซ่อนตัวไว้ก่อนจนกว่าคุณหมอจะมาถึงโรงพยาบาล”
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงพาเราไปหลบซ่อนในป่ากล้วยด้านหลังโรงพยาบาล แล้วบอกว่าจะมาตามตัวกลับไปหากหมอเดินทางมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ระหว่างรอ น้องสาวเริ่มทำตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้เพราะรู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความไร้เดียงสาของตนเองแท้ ๆ ตอนนั้นเราสองคนรู้สึกเครียดกันมาก เริ่มฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องร้าย ๆ ถ้าเราถูกหน่วยข่าวกรองตามมาพบแล้วเรียกไปสอบสวนจะเป็นยังไง หากเขายัดข้อหาร้ายแรงให้เรา แล้วส่งไปขังคุกพม่าที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้าย เราจะทำยังไงกันดี พอคิดมาถึงตรงนี้ เราสองคนก็ยิ่งใจสั่นเหงื่อแตก
หลังจากรออยู่ในป่ากล้วยพักใหญ่ ๆ เราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามา พอเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงเริ่มใจชื้นขึ้น
“คุณหมอโทรมาบอกว่า เคลียร์กับหน่วยข่าวกรองเรียบร้อยแล้ว แต่คืนนี้พวกคุณต้องนอนที่โรงพยาบาล เพราะคุณหมอบอกพวกนั้นว่า พวกคุณสองคนไม่สบาย คนหนึ่งปวดหัวไมเกรน และอีกคนหนึ่งปวดท้องประจำเดือน เราจำเป็นต้องขอหนังสือเดินทางของพวกคุณเพื่อส่งข้อมูลยืนยันให้กับทางหน่วยข่าวกรองว่า พวกคุณได้เข้าพักรักษาตัวที่นี่ในฐานะผู้ป่วยจริง ๆ ”
หลังจากฟังคำชี้แจง รอยยิ้มก็เริ่มปรากฎบนใบหน้าเพราะดูเหมือนสถานการณ์กำลังจะดีขึ้น พวกเราเดินกลับเข้ามาที่โรงพยาบาลและมอบหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล หลังจากนั้นเราก็ “เช็คอิน” “เข้าพักห้องเตียงคู่ของโรงพยาบาลแทนโรงแรม !
ไม่นานนัก นายแพทย์ไทใหญ่ที่ช่วยชีวิตพวกเราให้รอดจากคุกพม่าก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลเพื่อเจอกับสองสาวผู้ก่อเหตุโกลาหล หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว คุณหมอใหญ่หน้าตาใจดีก็เริ่ม “สอบสวน” พวกเราบ้าง
“คุณรู้หรือเปล่าว่านักท่องเที่ยวจากเมืองไทยไม่นิยมมาที่นี่” พวกเราพยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้วพวกคุณรู้หรือเปล่าว่า ตอนนี้มีการสู้รบระหว่างกองกำลังไทใหญ่และพม่าที่ชายแดนไทย” คำถามต่อไปทำให้เราสองคนต่างคิ้วขมวดด้วยความสงสัยเพราะไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกัน
“กองทัพพม่าเชื่อว่าทหารไทยช่วยทหารไทใหญ่ภาคใต้รบกับทหารพม่า พวกหน่วยข่าวฯ สงสัยว่า พวกคุณเป็นสายลับมาประสานงานติดต่อกับกองทัพไทใหญ่ภาคเหนือ ซึ่งหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าไปแล้วให้ช่วยเหลือทหารไทใหญ่ภาคใต้รบกับทหารพม่า”
สิ้นคำอธิบาย เราสองคนถึงกับอ้าปากค้าง เรื่องราวบานปลายมากกว่าที่คิด ในใจพลันคิดว่า ทำไมเรื่องราวถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้ เพราะเราต่างหากที่กลัวสายลับพม่าจนขนหัวลุก แต่พวกเขากลับกล่าวหาว่าเราเป็นสายลับเสียนี่กระไร !
หมอใหญ่เห็นเราทำหน้างงจึงขยายความเพิ่มเติมว่า การที่พวกเราซึ่งเป็นคนไทยมาเที่ยวเมืองนี้ก็แปลกมากพออยู่แล้ว เพราะปกติคนไทยจะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของพม่า เช่น เจดีย์ชเวดากอง ทะเลสาปอินเล หรือพระธาตุอินทร์แขวน เป็นต้น ส่วนเมืองล่าเสี้ยวเป็นเมืองเศรษฐกิจใกล้ชายแดนจีน คนที่มาส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจชาวจีน ส่วนนักท่องเที่ยวจะมีน้อยมาก ดังนั้น พนักงานโรงแรมจึงสงสัยพฤติกรรมของพวกเรา ยิ่งพอเห็นจุดหมายปลายทางต่อไปว่าเป็น โรงพยาบาลของนายแพทย์ไทใหญ่ ความสงสัยยิ่งทบทวีคูณเพราะหมอใหญ่เจ้าของโรงพยาบาลดำรงตำแหน่งประธานชมรมภาษาและวัฒนธรรมไทใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศพม่า พฤติกรรมของพวกเราจึงเข้าข่ายน่าสงสัยยิ่งนัก