22 เม.ย. 2020 เวลา 11:43 • ท่องเที่ยว
ซีรีย์บันทึกการเดินทางในพม่า
ตอน "ผจญภัยในรัฐฉาน (2)"
เช้าวันรุ่งขึ้น เราตัดสินใจเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเพราะคิดว่า หากต้องนอนค้างที่เมืองล่าเสี้ยวอีกหนึ่งคืน เราควรจะย้ายโรงแรมที่ปลอดภัยมีกลอนล็อคแน่นหนากว่านี้ โดยคิดว่าจะขอคำแนะนำจากชาวไทใหญ่ที่เราตั้งใจจะเดินทางไปพบในวันนี้
บุคคลสำคัญที่เราดั้นด้นเดินทางมาไกลถึงรัฐฉานตอนเหนือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อชาวไทใหญ่เพราะท่านเป็นนายแพทย์เจ้าของโรงพยาบาลเอกชนขนาดเทียบเท่ากับโรงพยาบาลประจำอำเภอของไทย ตั้งอยู่ในตัวเมืองล่าเสี้ยว และยังเป็นประธานสมาคมภาษาและวัฒนธรรมไทใหญ่ทั่วประเทศพม่าด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวเอากุญแจไปคืนแล้วแจ้งเช็คเอ้าท์เลยนะ” ฉันบอกกับรุ่นน้องซึ่งเดินสะพายเป้ตามหลังมา โดยไม่ได้คาดคิดว่าการมอบหมายให้ทำหน้าที่ “ปกติ” ของการเข้าพักโรงแรมจะนำภัยมาสู่เราสองคน
เวลานั้นฉันยังอ่อนด้อยประสบการณ์เดินทางในพม่า จึงยังไม่รู้ว่าสายลับของรัฐบาลพม่าแทรกซึมอยู่ทุกแห่งหน เราสองคนเดินทางออกจากโรงแรมโดยไม่ทันสังเกตความผิดปกติของบรรดาพนักงานต้อนรับ รีบเรียกรถสองแถวมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเป้าหมายทันที เนื่องจากหมอยังเดินทางมาไม่ถึงโรงพยาบาล เราจึงออกไปเดินเล่นที่วัดใกล้ ๆ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเดินกลับมา ทว่าบรรยากาศภายในโรงพยาบาลกลับดูโกลาหลราวกับเพิ่งเกิดเหตุระทึกขวัญ
“เมื่อกี้หน่วยข่าวกรองพม่ามาตามหาผู้หญิงไทยสองคนทั่วโรงพยาบาลเลย” เจ้าหน้าที่พยาบาลแจ้งข่าวร้ายที่ทำให้คนฟังใจเต้นระส่ำ
“แล้วพวกเขารู้ได้ยังไงว่าเราสองคนมาที่นี่” ฉันถามด้วยความสงสัย
“เห็นพวกหน่วยข่าวกรองบอกว่า ทางโรงแรมที่พวกคุณพักแจ้งว่าพวกคุณมาที่นี่” สิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ น้องสาวที่ยืนหน้าซีดอยู่ข้างกายก็สารภาพออกมาเสียงอ่อยว่า
“เอ่อ…ตอนที่เช็คเอ้าท์ เขาให้กรอกว่าจะไปที่ไหนต่อ เลยกรอกไปตามความจริงว่าพวกเราจะมาที่นี่ค่ะ…” เพื่อนรุ่นน้องสารภาพด้วยความไร้เดียงสา เพราะไม่ได้คาดคิดว่า “การพูดความจริง” ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเข้มข้นอย่างพม่าจะนำภัยมาสู่ตัว
“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ พวกหน่วยข่าวฯ ไปไหนกันแล้ว” ฉันถามบรรดาพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์
“พวกนั้นมาถึง แล้วหาพวกคุณไม่เจอ เราไม่รู้จะทำยังไง เลยโทรไปถามหมอ หมอบอกว่าให้หน่วยข่าวกรองตามไปพบที่บ้าน ระหว่างนี้ให้พาพวกคุณไปหลบซ่อนตัวไว้ก่อนจนกว่าคุณหมอจะมาถึงโรงพยาบาล”
 
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงพาเราไปหลบซ่อนในป่ากล้วยด้านหลังโรงพยาบาล แล้วบอกว่าจะมาตามตัวกลับไปหากหมอเดินทางมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ระหว่างรอ น้องสาวเริ่มทำตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้เพราะรู้สึกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความไร้เดียงสาของตนเองแท้ ๆ ตอนนั้นเราสองคนรู้สึกเครียดกันมาก เริ่มฟุ้งซ่านคิดแต่เรื่องร้าย ๆ ถ้าเราถูกหน่วยข่าวกรองตามมาพบแล้วเรียกไปสอบสวนจะเป็นยังไง หากเขายัดข้อหาร้ายแรงให้เรา แล้วส่งไปขังคุกพม่าที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้าย เราจะทำยังไงกันดี พอคิดมาถึงตรงนี้ เราสองคนก็ยิ่งใจสั่นเหงื่อแตก
 
หลังจากรออยู่ในป่ากล้วยพักใหญ่ ๆ เราก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินใกล้เข้ามา พอเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงเริ่มใจชื้นขึ้น
“คุณหมอโทรมาบอกว่า เคลียร์กับหน่วยข่าวกรองเรียบร้อยแล้ว แต่คืนนี้พวกคุณต้องนอนที่โรงพยาบาล เพราะคุณหมอบอกพวกนั้นว่า พวกคุณสองคนไม่สบาย คนหนึ่งปวดหัวไมเกรน และอีกคนหนึ่งปวดท้องประจำเดือน เราจำเป็นต้องขอหนังสือเดินทางของพวกคุณเพื่อส่งข้อมูลยืนยันให้กับทางหน่วยข่าวกรองว่า พวกคุณได้เข้าพักรักษาตัวที่นี่ในฐานะผู้ป่วยจริง ๆ ”
หลังจากฟังคำชี้แจง รอยยิ้มก็เริ่มปรากฎบนใบหน้าเพราะดูเหมือนสถานการณ์กำลังจะดีขึ้น พวกเราเดินกลับเข้ามาที่โรงพยาบาลและมอบหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูล หลังจากนั้นเราก็ “เช็คอิน” “เข้าพักห้องเตียงคู่ของโรงพยาบาลแทนโรงแรม !
 
ไม่นานนัก นายแพทย์ไทใหญ่ที่ช่วยชีวิตพวกเราให้รอดจากคุกพม่าก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลเพื่อเจอกับสองสาวผู้ก่อเหตุโกลาหล หลังจากแนะนำตัวกันแล้ว คุณหมอใหญ่หน้าตาใจดีก็เริ่ม “สอบสวน” พวกเราบ้าง
“คุณรู้หรือเปล่าว่านักท่องเที่ยวจากเมืองไทยไม่นิยมมาที่นี่” พวกเราพยักหน้าแทนคำตอบ
“แล้วพวกคุณรู้หรือเปล่าว่า ตอนนี้มีการสู้รบระหว่างกองกำลังไทใหญ่และพม่าที่ชายแดนไทย” คำถามต่อไปทำให้เราสองคนต่างคิ้วขมวดด้วยความสงสัยเพราะไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไรกัน
“กองทัพพม่าเชื่อว่าทหารไทยช่วยทหารไทใหญ่ภาคใต้รบกับทหารพม่า พวกหน่วยข่าวฯ สงสัยว่า พวกคุณเป็นสายลับมาประสานงานติดต่อกับกองทัพไทใหญ่ภาคเหนือ ซึ่งหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าไปแล้วให้ช่วยเหลือทหารไทใหญ่ภาคใต้รบกับทหารพม่า”
 
สิ้นคำอธิบาย เราสองคนถึงกับอ้าปากค้าง เรื่องราวบานปลายมากกว่าที่คิด ในใจพลันคิดว่า ทำไมเรื่องราวถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้ เพราะเราต่างหากที่กลัวสายลับพม่าจนขนหัวลุก แต่พวกเขากลับกล่าวหาว่าเราเป็นสายลับเสียนี่กระไร !
หมอใหญ่เห็นเราทำหน้างงจึงขยายความเพิ่มเติมว่า การที่พวกเราซึ่งเป็นคนไทยมาเที่ยวเมืองนี้ก็แปลกมากพออยู่แล้ว เพราะปกติคนไทยจะไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของพม่า เช่น เจดีย์ชเวดากอง ทะเลสาปอินเล หรือพระธาตุอินทร์แขวน เป็นต้น ส่วนเมืองล่าเสี้ยวเป็นเมืองเศรษฐกิจใกล้ชายแดนจีน คนที่มาส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจชาวจีน ส่วนนักท่องเที่ยวจะมีน้อยมาก ดังนั้น พนักงานโรงแรมจึงสงสัยพฤติกรรมของพวกเรา ยิ่งพอเห็นจุดหมายปลายทางต่อไปว่าเป็น โรงพยาบาลของนายแพทย์ไทใหญ่ ความสงสัยยิ่งทบทวีคูณเพราะหมอใหญ่เจ้าของโรงพยาบาลดำรงตำแหน่งประธานชมรมภาษาและวัฒนธรรมไทใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศพม่า พฤติกรรมของพวกเราจึงเข้าข่ายน่าสงสัยยิ่งนัก
“ผมชี้แจงกับหน่วยข่าวกรองให้แล้วว่า พอดีพวกคุณไม่สบาย แล้วไม่รู้จะไปโรงพยาบาลไหน เห็นว่าที่นี่เป็นโรงพยาบาลของคนไทใหญ่ น่าจะพอสื่อสารกันได้ง่าย จึงเลือกมารักษาที่นี่ คืนนี้ พวกคุณต้องนอนที่นี่ เพราะถ้าหน่วยข่าวมาตรวจสอบไม่พบ จะเกิดปัญหาตามมาอีก แล้วรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้ ผมคิดว่าพวกคุณควรเดินทางออกจากเมืองล่าเสี้ยวกับเที่ยวรถรอบแรก ผมจะแจ้งกับหน่วยข่าวว่าพวกคุณดีขึ้นจึงเดินทางไปยังเมืองอื่นเรียบร้อยแล้ว”
เรารีบยกมือไหว้ขอบพระคุณนายแพทย์ใจดีที่ช่วยให้เรา “พ้นคุก” แถมยังให้ที่พักฟรี ไม่ต้องเสียค่าห้อง รวมทั้งยังเลี้ยงอาหารเย็นมื้อพิเศษสไตล์ไทใหญ่ให้กับ “คนไข้จำเป็น” จากเมืองไทยที่มาก่อเรื่องน่าปวดหัวอีกด้วย ดูเหมือนว่า นี่จะเป็น “ความโชคดีในความโชคร้าย” จากการเดินทางมายังเมืองไทใหญ่ภาคเหนือครั้งนี้
ระหว่างทานอาหารเย็น พวกเราเล่าเรื่องราวการเดินทางบนรถไฟและอุบัติเหตุรถไฟตกรางให้หมอชาวไทใหญ่ฟัง ท่านแสดงสีหน้าเป็นห่วงและเอ่ยปากว่า
“ผมมีลูกสาวสองคนอายุไล่เลี่ยกับคุณ ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยอนุญาตให้เขานั่งรถไฟในพม่าเลย เพราะรถไฟตกรางบ่อยมาก ถ้าคุณจะเดินทางในพม่า ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะที่นี่ไม่เหมือนประเทศอื่น ๆ”
คำแนะนำของหมอชาวไทใหญ่ทำให้เรานึกอยากเขวี้ยงคู่มือท่องเที่ยวที่พกติดมาด้วยทิ้งแล้วเขียนประจานลงในอินเทอร์เน็ต เพราะคู่มือท่องเที่ยวไม่ใช่สักแต่ว่า “ยุ” ให้เที่ยวตะบันจนไม่สนใจความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ยิ่งหากเป็นประเทศที่ ปกครองด้วยระบอบเผด็จการด้วยแล้ว ในคู่มือควรจะเพิ่มหมายเหตุหรือให้ข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมเพื่อให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังหรือตัดสินใจให้ดีก่อน เพราะเส้นทางที่สวยที่สุดอาจหมายถึงเส้นทางที่อันตรายมากที่สุดก็ได้ คืนนั้น เราสองคนไม่ต้องนอนกอดขาตั้งกล้อง แต่ต้องนอนผวาหน่วยข่าวกรองจะกลับมาตรวจสอบ “คนไข้จำเป็น” แทน พวกเราหลับ ๆ ตื่น ๆ บนเตียงคนไข้ขาวสะอาด โชคชะตาดูเหมือนกำลังเล่นตลกกับเรา ตั้งแต่เดินทางออกจากเมืองสีป้อ เราต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันหลายเรื่อง เริ่มจากรถไฟตกราง ตามด้วยโรงแรมเจ้าปัญหา มาจนถึงถูกหน่วยข่าวกรองตามล่า แล้วอยู่ดี ๆ ก็ต้องมานอนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลทั้ง ๆ ที่ร่างกายแข็งแรงดี คงมีแต่หัวใจเท่านั้นที่เหนื่อยล้า...
รุ่งเช้า เสียงนาฬิกาปลุกที่รอคอยดังขึ้น เราสองคนเก็บกระเป๋าพร้อมออกเดินทางไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพราะอยากออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด หวังในใจว่าบนเส้นทางต่อจากนี้ไปขอให้ได้พบแต่ประสบการณ์อันน่าประทับใจเหมือนที่เคยได้สัมผัสจากเมืองสีป้อ...เมืองแห่งตำนานรักข้ามพรมแดนและงานปอยประจำปีอันเลื่องชื่อที่คนสีป้อต่างเฝ้ารอ
ขอให้เรื่องเลวร้ายจบลงที่เมืองนี้เถิด...สาธุ
(เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์คอลัมน์ "พิราบขาวข้ามพรมแแดน"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา