22 เม.ย. 2020 เวลา 11:59 • ท่องเที่ยว
ซีรีย์บันทึกการเดินทางในพม่า
ตอน "ผจญภัยในรัฐฉาน (จบ)"
การเดินทางระหว่างเมืองมัณฑเลย์สู่เมืองตองยี เมืองหลวงของรัฐฉานจะใช้เวลาช่วงกลางคืนเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางในรุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง ฉันนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่ในรถซึ่งวิ่งวกวนข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า กว่าจะถึงปลายทางก็เวียนหัวไปหลายตลบ เมืองตองยีเป็นเมืองบนภูเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,400 เมตร ตัวเมืองตั้งอยู่บนยอดเขากินอาณาบริเวณกว้าง 24 ตารางกิโลเมตร บรรยากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีเหมาะสำหรับการพักผ่อนตากอากาศ
ตัวเมืองตองยีค่อนข้างพลุกพล่านมีนักท่องเที่ยวจากหลายชนชาติเดินกันให้ขวักไขว่เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังคือทะเลสาปอินเลอยู่ไม่ไกล ก่อนเดินทางไปชมความงดงามของทะเลสาปอันเลื่องชื่อ พวกเราแวะไปหาผู้อาวุโสคนสำคัญของเมืองนี้กันก่อน เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ภาษาไทใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองนี้ ชื่อว่า มูเส (นามสมมติ)
 
 
โรงพิมพ์แห่งนี้จัดพิมพ์เฉพาะภาษาไทใหญ่ทั้ง “หนังสือบนดิน” และ “หนังสือใต้ดิน” มานานกว่าห้าสิบปี ด้วยเพราะเป็นโรงพิมพ์ภาษาไทใหญ่นี่เอง เวลามีใบปลิวภาษาไทใหญ่โจมตีรัฐบาลออกเผยแพร่เมื่อไหร่ มูเสมักถูกหน่วยข่าวกรองพม่าจับไปสอบสวน แต่เขาก็มักจะรอดมาได้ทุกครั้งเพราะมี “หนังสือบนดิน” วางขายหน้าร้านบังหน้า อาทิ หนังสือเกี่ยวกับศาสนา หนังสือนวนิยาย เป็นต้น ส่วน “หนังสือใต้ดิน” จะขายเฉพาะคนที่รู้จักไว้ใจได้เท่านั้น
สถานที่ต่อไปที่เราแวะไปเยี่ยมชม คือ ชมรมภาษาและวัฒนธรรมไทใหญ่ประจำเมืองตองยี ครูสอนภาษาไทใหญ่ประจำชมรมฯ เล่าว่า เขาจะต้องไปสอนภาษาไทใหญ่ให้กับนายทหารพม่าที่ประจำในพื้นที่ตองยีด้วยเหมือนกัน เพราะตามระเบียบของกองทัพพม่า นายทหารที่สามารถสื่อสารภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ได้จะได้ เงินเดือนเพิ่มขึ้น นายทหารเหล่านี้จะต้องไปร่วมฟังการประชุมของชาวไทใหญ่ที่มีผู้เข้าร่วมเกินห้าคนขึ้นไป
ตกเย็น เราว่าจ้างรถโดยสารที่มีคนขับเป็นชาวไทใหญ่ให้ไปส่งที่โรงแรมบริเวณทะเลสาปอินเล ระหว่างทางเราชวนคนขับคุยเรื่อยเปื่อยจนเผลอถามความคิดเห็นทางการเมืองเพราะเคยชินกับการพูดคุยสถานการณ์บ้านเมืองกับคนขับแท็กซี่เมืองไทย ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เรารู้สึกขนหัวลุกจนต้องนั่งเงียบไปตลอดทาง
“หนูรู้ไหมว่า ถ้าอยู่ในพม่าห้ามถามเกี่ยวกับการเมือง ลุงขอเตือนไว้เลยว่าคนไทใหญ่บางคนก็ทำงานเป็นสายลับให้กองทัพพม่า...นี่ถ้าลุงเป็นสายลับให้ทหารพม่า หนูรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เอ่อ....” เราสองคนหน้าซีดเผือด ภาวนาไม่ให้ลุงเป็นสายลับ
“จำไว้ว่า อย่าถามคำถามแบบนี้กับใครอีกเป็นอันขาดนะ...ครั้งต่อไปหนูอาจไม่โชคดีแบบนี้” เสียงเตือนเฉียบขาดออกมาจากปากลุงชาวไทใหญ่
เราสองคนพยักหน้าแทนคำตอบ ภายในรถเงียบงันไปจนถึงปลายทาง คืนนั้นเราพักที่เกสต์เฮ้าท์ใกล้ทะเลสาปอินเล เช้าวันรุ่งขึ้น เราเช่าเรือโดยสารมุ่งหน้าสู่บ้านลอยน้ำของชาวอินทา กลุ่มชาติพันธุ์หลักในทะเลสาปอินเล
เรือแล่นออกจากคลองเล็ก ๆ ใกล้เกสต์เฮ้าท์มุ่งหน้าสู่ทะเลสาปอินเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
“แชะ...แชะ...แชะ” เสียงกดชัตเตอร์ดังต่อเนื่อง ชายชราบนเรือหาปลาเอียงหน้ามองกล้องอย่างรู้มุม
“โอ้โฮ...ลุงทำท่าเหมือนในหนังสือท่องเที่ยวเลยเนอะ” ฉันตะโกนบอกรุ่นน้อง เธอพยักหน้ายิ้ม ๆ
“ดอลลาร์...ดอลลาร์....” หลังจากทำหน้าที่ตนเองเสร็จ “นายแบบจำเป็น” ก็เรียกค่าตัวทันที
เราสองคนหัวเราะยื่นเงินให้ตามคำขอ
มิน่าล่ะ..ท่ายิ้มกับท่าจับปลาช่างดูคุ้นตาเหมือนเคยเห็นในหนังสือท่องเที่ยวมาแล้วหลายเล่ม ช่วงฤดูท่องเที่ยวแบบนี้ ท่าทางอาชีพนายแบบจะเป็นรายได้หลัก ส่วนอาชีพหาปลาคงจะเป็นรายได้เสริม
ทะเลสาปอินเลเมื่อเกือบสิบปีก่อนยังมีน้ำเต็มทะเลสาป พันธุ์ปลามากมาย รวมทั้งพืชผักหลากหลายชนิดให้เห็น ชาวบ้านยังใช้เกษตรแบบธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยจากโคลนตม และยังไม่รู้จักยาฆ่าแมลงแพร่หลาย
ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปี ชาวบ้านได้รับการส่งเสริมให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวคือมะเขือเทศมากขึ้น จนทุกวันนี้ แปลงผักลอยน้ำกลายเป็นไร่มะเขือเทศสุดลูกหูลูกตาแทน ส่งผลให้ชาวบ้านเริ่มใช้ปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง โดยไม่รู้จักวิธีใช้อย่างปลอดภัย ส่งผลให้หลายคนต้องเสียชีวิตหรือเกือบเอาชีวิตไม่รอด นอกจากนี้ ใต้ผืนน้ำยังเต็มไปด้วยสารพิษตกค้างส่งผลให้พันธุ์ปลาลดลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับน้ำในทะเลสาปที่ลดน้อยลงจนบางทีแห้งแล้งจนเห็นผืนดินแตกระแหง
“ตั้งแต่จำความได้ลุงก็ดื่มน้ำจากทะเลสาบแห่งนี้ แต่วันนี้ลุงไม่กล้าดื่มอีกแล้ว เพราะมันปนเปื้อนสารเคมีจากไร่มะเขือเทศ ลุงเห็นผู้คนที่ดื่มน้ำจากทะเลสาบป่วยมากขึ้นเรื่อย ๆ “
ลุงทุน เงียว ชายชราวัย 77 ปีบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงอันเลวร้ายในภาพยนต์สารคดีเรื่อง “Floating Tomatos” ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา หลังจากดูสารคดีเรื่องนี้จบ ฉันนึกถึงหน้าชายชราที่ได้พบเมื่อสิบปีก่อน คุณลุง “นายแบบ” ของฉันในวันวาน ทุกวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะทะเลสาปอินเลในวันนี้เปลี่ยนไปเสียแล้ว
พวกเราออกจากทะเลสาปอินเลเดินทางกลับเข้าเมืองตองยีอีกครั้งเพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หอหลวงยองห้วยซึ่งถูกรัฐบาลพม่ายึดไปเป็นทรัพย์สินของรัฐเนื่องจากไม่มีลูกหลานอาศัยอยู่ หอหลวงยองห้วยสร้างขึ้นในสมัยของเจ้าฟ้าส่วยแต๊ก ประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่าหลังได้รับเอกราช ด้วยตำแหน่งหน้าที่ในขณะนั้น เจ้าฟ้าส่วยแต๊กจึงพามหาเทวีเฮือนคำและลูก ๆ ย้ายจากหอหลวงยองห้วยมาพำนักที่กรุงย่างกุ้ง ทว่า กลางดึกของวันที่นายพลเนวินทำการรัฐประหารปี 2505 ทหารพม่าบุกเข้าไปจับตัวเจ้าฟ้าส่วยแต๊กไปคุมขัง ระหว่างการจับกุมเจ้าชายหมี พระโอรสองค์ที่ 3 ถูกทหารพม่ายิงจนเสียชีวิต ในเวลาต่อมา เจ้าฟ้าส่วยแต๊กเสียชีวิตในที่คุมขังโดยไม่ทราบสาเหตุ มหาเทวีเฮือนคำห่วงความปลอดภัยของลูก ๆ จึงลี้ภัยมายังประเทศไทยและเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม
หลังจากนั้นรัฐบาลพม่าจึงยึดหอหลวงยองห้วยเป็นของรัฐ โดยนำข้าวของเครื่องใช้โบราณที่อยู่ในวังมาแสดงโชว์เรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยว คนละ 2 ดอลลาร์ เห็นแล้วน่าเศร้าใจแทนคนไทใหญ่เพราะ ด้านหนึ่งรัฐบาลพม่าไม่ต้องการให้คนไทใหญ่แสดงออกอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ตนเอง
แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องการขายความเป็นไทใหญ่ให้นักท่องเที่ยว
ทริปการเดินทางในรัฐฉานของเราสิ้นสุดลง ณ เมืองตองยีเป็นสถานที่สุดท้าย นับจากนี้เราต้องเดินทางกลับไปกรุงมัณฑเลย์ เดินทางกลับเข้ากรุงย่างกุ้ง เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย
……………….
บนรถประจำทางจากเมืองมัณฑะเลย์สู่กรุงย่างกุ้ง รถของเรามีปัญหายางรั่วซึมทำให้ต้องแวะจอดตลอดทาง แต่ละครั้งใช้เวลาซ่อมนานนับชั่วโมง เรากลัวว่าจะเดินทางไปถึงกรุงย่างกุ้งไม่ทันเวลาขึ้นเครื่องบิน เราจึงตัดสินใจโบกรถประจำทางคันต่อไปที่มุ่งหน้าสู่ปลายทางเดียวกันในเวลาประมาณเที่ยงคืน เนื่องจากรถโดยสารมีที่นั่งว่างเพียงที่เดียวข้างชายชาวพม่าวัยกลางคน หากต้องการไปสองคน อีกคนหนึ่งจะต้องนั่งเก้าอี้เสริมไม่มีพนักพิงตรงช่องทางเดิน เราตัดสินใจซื้อตั๋วรถใหม่เพราะไม่อยากเสี่ยงตกเครื่องบิน โดยผลัดกันนั่งเก้าอี้เสริมเพื่อให้อีกคนหนึ่งสามารถงีบหลับได้บ้าง แต่แล้วระหว่างที่เพื่อนสาวรุ่นน้องกำลังงีบหลับข้างชายชาวพม่า จู่ ๆ เสียงร้องโวยวายก็ดังลั่นรถ
“ว๊ายย….ช่วยด้วยย” คนขับรถรีบจอดข้างทาง เปิดไฟสว่าง
ทั่วรถ
“ผู้ชายคนนี้ลวนลามฉัน” น้องสาวพูดเสียงสั่นเครือด้วยความตกใจ เพราะถูกชายพม่าเอื้อมมือมาบนหน้าขาเพื่อเตรียมลวนลาม แต่เธอไหวตัวทันจึงรีบใช้ข้อศอกกระแทกกลับไปแล้วร้องโวยวายทันที ชายผู้ตกเป็นจำเลยส่ายหน้าไม่ยอมรับความผิด
“แช๊ะ…แช๊ะ…แช๊ะ” น้องสาวโกรธจัดหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายภาพหน้าผู้ก่อเหตุ เขาเริ่มหน้าซีดเพราะเห็นว่าเราจะเอาเรื่องแน่ ๆ เราสองคนยกขาตั้งกล้องขึ้นทำท่าจะลงทัณฑ์ให้เข็ดหลาบ ชายพม่าเห็นท่าไม่ดีจึงยอมรับผิดและกล่าวขอโทษ เนื่องจากเราต้องรีบเดินทางเข้าตัวเมืองย่างกุ้งเพื่อขึ้นเครื่องบินให้ทันในวันรุ่งขึ้น หากต้องแวะแจ้งความดำเนินคดี เราคงต้องอยู่พม่าต่อไปอีกหลายวัน เราตัดสินใจไม่แจ้งความ แต่ใช้วิธีประจานให้เข็ดหลาบโดยบอกให้ผู้ก่อเหตุก้มลงกราบที่เท้าสามครั้งต่อหน้าผู้โดยสารทั้งคันรถ !
หลังเกิดเหตุ พนักงานประจำรถจัดหาที่นั่งใหม่ให้เราสองคนนั่งด้วยกัน รถเข้าสู่กรุงย่างกุ้งตอนรุ่งสาง เราสองคนเดินทางต่อไปยังสนามบินทันที แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าเครื่องบินจะออกก็ตาม สิบเจ็ดวันของการเดินทางในพม่าช่างเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
ในเวลานั้น ฉันไม่ได้คาดคิดเลยว่า หลังจากเรียนจบปริญญาโทแล้ว ฉันยังต้องเดินทางกลับมายังประเทศพม่าอีกนับครั้งไม่ถ้วนในฐานะบรรณาธิการนิตยสารสาละวินโพสต์ สื่อข้ามพรมแดนเพื่อเข้าใจประเทศเพื่อนบ้าน และประสบการณ์ครั้งนี้ได้กลายเป็นบทเรียนอันมีค่าที่สอนให้ฉันทำงานข่าวพม่าอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
(เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์คอลัมน์ "พิราบขาวข้ามพรมแดน"

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา