สถานที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของเมืองมะละแหม่งในวันนี้ที่จะต้องเอ่ยถึงก็คือ สะพานมะละแหม่งที่มีความยาวกว่า 3 กิโลเมตร จัดเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสาละวินที่มีความยาวที่สุดในพม่าและมีทางรถไฟวิ่งคู่ขนานกันไป สะพานนี้ได้เชื่อมแผ่นดินเมืองเมาะตะมะกับมะละแหม่งให้กลายเป็นผืนเดียวกัน ทำให้ชาวพม่าสามารถเดินทางโดยรถไฟจากเมืองทวายภาคใต้ขึ้นเหนือไปจนถึงกรุงย่างกุ้ง เพื่อเปลี่ยนเส้นทางไปยังเมืองมิตจีนา เมืองหลวงรัฐคะฉิ่นในภาคเหนือได้อย่างต่อเนื่อง หรือจะเลือกไปทางเมืองพุกามหรือมัณฑเลย์ก็ทำได้เช่นกัน
สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวพม่าอีกเรื่องหนึ่งคือ วัฒนธรรมการนุ่งโลงจี หลายคนอาจเข้าใจว่า”โลงจี” ในภาษาพม่าหมายถึงโสร่งของผู้ชาย แต่อันที่จริงแล้ว คำว่า “โลงจี” เป็นคำเรียกโดยรวมทั้งโสร่งของผู้ชายและผ้าถุงของผู้หญิง โสร่งในภาษาพม่าจะเรียกว่า “ปะโซ” ส่วนผ้าซิ่นจะเรียกว่า “ทะเมง” ซึ่งปะโซกับทะเมงจะแตกต่างกัน โดยปะโซมักจะเป็นลายตารางหรือมีสีพื้นส่วนทะเมงมักจะเป็นลายดอกไม้หรือมีลวดลายด้านล่าง นอกจากนี้ การสวมใส่โลงจีของผู้หญิงกับผู้ชายก็จะแตกต่างกันด้วย โดยผู้ชายจะสวมโดยทบชายผ้าซ้ายขวามาผูกเป็นปมด้านหน้า ส่วนผู้หญิงจะทบจากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวาตามความถนัด
มีหลายเหตุผลที่ทำให้โลงจียังอยู่กับชาวพม่าอย่างเหนี่ยวแน่นจนถึงทุกวันนี้ นอกจากรัฐบาลที่ หวงแหนความเป็นชาตินิยมมากพอๆ กับอำนาจแล้ว คุณสมบัติหลายอย่างและความสารพัดประโยชน์โดยตัวของโลงจีเองก็เป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกัน
อูถิ่นจี นักเขียนชาวพม่าได้สาธยายถึงคุณสมบัติของโสร่งในบทความชื่อ “In praise of longyi” ในเว็บไซต์ http://www.myanmar.gov.mm ของรัฐบาลว่า
“…โลงจีเป็นเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับหน้าร้อนในพม่าที่สุด แต่เมื่ออากาศเย็นก็สามารถใช้ห่มได้อีกด้วย และเนื่องจากโลงจีทำจากผ้าผืนเดียวเย็บติดกัน จึงประหยัดทั้งเวลาในการตัดเย็บ ประหยัดทั้งผ้าด้วย หากเผลอไปทำโลงจีเลอะเข้าหรือเป็นรอยขาดก็ซ่อนรอยนั้นไว้ในปมแล้วค่อยกลับไปซ่อมแซมรอยขาดและซักรอยเปื้อนออกก็ได้ ซึ่งโลงจีซักง่ายและแห้งเร็วแถมยังไม่ต้องรีด แค่พับให้เรียบร้อยเก็บไว้ใต้ที่นอน รุ่งเช้าก็นำมาสวมได้ทันที ถ้าโลงจีสีซีดจางก็กลับด้านในออกคือเวลาสวม ซึ่งหากไม่สังเกตก็ไม่รู้ หรือถึงจะสังเกตก็ยากที่จะรู้ นอกจากนี้ โลงจียังสามารถแปลงร่างเป็นอุปกรณ์อย่างอื่นได้อีก เช่น ผูกเป็นเปลสำหรับเด็ก ใช้เป็นกระเป๋าห่อของแบกไว้บนบ่า เป็นผ้าซับเหงื่อ ใช้เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ายามฉุกเฉินได้อีกด้วย…” การสวมโลงจีไม่ได้เป็นเพียงเป็นการแต่งกายในวันปกติที่ไม่เป็นทางการเท่านั้น แต่รัฐบาลพม่ายังได้กำหนดให้หลายอาชีพสวมโลงจีเป็นเครื่องแบบ เช่น นางพยาบาลระดับสูงสวมซิ่นสีเขียว พยาบาลระดับกลางสวมซิ่นสีน้ำเงินสำหรับ และพยาบาลระดับล่างสวมซิ่นสีแดง นักเรียนและครูสวมโสร่งสีเขียว ในระดับมหาวิทยาลัยของพม่าภายหลังอาจมีการบังคับให้สวมเครื่องแบบนักศึกษาด้วยเหตุผลความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งก็หนีไม่พ้นโลงจีอยู่ดี แต่ก่อนนี้แม้ไม่มีการบังคับให้สวมเครื่องแบบชุดนักศึกษาหรือเครื่องแบบชุดของอาจารย์ นักศึกษาและอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะสวมโลงจีไปมหาวิทยาลัยกันอยู่แล้ว ในขณะที่บ้านเราถ้าไม่มีการบังคับให้นักเรียนสวมเครื่องแต่งกายประจำท้องถิ่นในวันศุกร์ เราก็คงไม่มีโอกาสเห็นเด็กวัยรุ่นหยิบผ้าซิ่นขึ้นมานุ่งเป็นแน่แท้ ซึ่งเด็กเหล่านั้นคงรู้สึกเคอะเขิน ไม่ต่างกับการที่ต้องสวมกางเกงยีนไปไหนต่อไหนในบ้านเมืองนี้สักเท่าไหร่