27 เม.ย. 2020 เวลา 03:16 • บันเทิง
เรื่องสั้น : ภาพแรก
ที่มา : ผู้เขียน เขียนเรื่องนี้ขึ้น หลังจากมีการเปิดเผยภาพวาด "ทูตสวรรค์ แกเบรียล (The Archangel Gabriel)” บนแผ่นกระเบื้องเคลือบ ทรัพย์สินเก่าแก่ในครอบครองของตระกูลเฟนิเช แห่งราเวลโล ซึ่งได้มีการนำไปให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะตรวจพิสูจน์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะส่วนหนึ่งเชื่อว่า เป็นผลงานภาพวาดภาพแรกของลีโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินนามอุโฆษ แต่ก็ยังมีผู้คัดค้าน ทำให้ยังคงมีประเด็นถกเถียงกันในเรื่องนี้ต่อไป แต่ส่วนอื่นๆ ในเรื่องเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน
หญิงสาวรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เมื่อเห็น วาทิน คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ พร้อมหยิบกล่องเล็กๆ สีแดงสดใสออกมาเปิดให้เห็นแหวนเพชรที่มีประกายเจิดจ้า
“แองเจลิน่า เฟนิเช...” เอาแล้วไง เขากำลังเริ่มต้นการเอ่ยปากขอ “แม้ว่าผมจะเพิ่งได้พบคุณไม่นานนัก แต่ผมก็รู้ว่า คุณคือคนที่ผมตามหามาตลอด และผมอยากใช้ชีวิตที่เหลือจากนี้ไปกับคุณ แองเจลิน่า คุณจะให้เกียรติแต่งงานกับผมได้ไหม” หนุ่มลูกครึ่งอิตาเลียน-ไทย กล่าวอย่างฉะฉาน ไม่มีวี่แววของความลังเลเลยแม้แต่น้อย
แองเจลิน่า เองต่างหาก ที่รู้สึกปั่นป่วนไปหมด เธอรู้จักเขามาได้เกือบ 1 ปีแล้ว และแม้ว่าเวลาที่ผ่านมา วาทินทำให้เธอมีความสุขมาก แต่จะให้ตอบรับคำขอแต่งงานของเขาน่ะหรือ มันไม่ง่ายอย่างที่ใจเธอเคยคิด
ย้อนไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ในร้านกาแฟหรูของเมืองราเวลโล ประเทศอิตาลี แองเจลิน่าหยิบกาแฟ ก่อนจะหมุนตัวออกมาจากเคาน์เตอร์ แล้วชนเข้าอย่างจังกับผู้ชายที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคนหนึ่ง หน้าตาสดใสของเขาทำให้พอมองออกว่าเป็นลูกครึ่งกึ่งยุโรป กึ่งเอเชีย กาแฟในมือของแองเจลิน่าหกใส่สูทสีอ่อนของเขาจนดูเป็นด่างดวงน่าเกลียด
“อุ๊บส์...” ทั้งสองฝ่ายหลุดปากออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน ก่อนที่ฝ่ายชายจะเอื้อมมือมาจับมือของหญิงสาวเอาไว้ ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยปากถามว่าเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า เขากลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันเห็นว่าคุณกำลังเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ กาแฟหกโดนคุณหรือเปล่า” เออแน่ะ เธอทำกาแฟหกรดเขา เขากลับเป็นฝ่ายถามว่ากาแฟหกใส่เธอหรือเปล่า ทำเอาแองเจลิน่าอดหัวเราะไม่ได้
และนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของความสัมพันธ์ แองเจลิน่าได้ทำความรู้จักกับวาทิน เขาเป็นผู้ชายที่ไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มักจะมีแต่คนเหลียวมอง ด้วยรูปร่างแข็งแรงเหมือนนักกีฬา กับหน้าตาหล่อเหลาแบบลูกครึ่ง และยิ่งเมื่อมาเดินเคียงข้างแองเจลิน่า ก็ยิ่งทำให้ทั้งคู่ถูกจับตามองมากขึ้น เพราะเธอไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงสวย แต่ตระกูลเฟนิเชของเธอ เป็นตระกูลขุนนางเก่าที่โด่งดังและรุ่มรวยของเมืองราเวลโล หรือจะว่าไปแล้ว เธอเป็นดาวเด่นของแคว้นกัมปาเนีย ดินแดนสวยงามและสุดแสนโรแมนติคของอิตาลีเลยทีเดียว การที่เธอจะเดินเคียงกับชายคนไหน ก็ล้วนแล้วแต่ถูกสื่อซุบซิบจับตามองทั้งนั้น
มิหนำซ้ำ ก่อนหน้าที่แองเจลิน่าจะเดินควงกับวาทินอย่างเปิดเผย เป็นที่รู้กันว่า เธอสนิทสนมอยู่กับฟิลลิปเป้ หนุ่มหล่อผู้คู่ควรกับเธอในเกือบทุกด้าน ทั้งรูปร่างหน้าตา และชาติตระกูล ที่ต่างก็เป็นคุณหนูลูกผู้ดีของราเวลโล จนทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการลั่นระฆังวิวาห์กันในไม่ช้า ดังนั้น เมื่อสาวงามหันมาจี๋จ๋ากับอีกหนึ่งหนุ่ม ผู้โผล่มาจากความไร้ชื่อเสียง ก็ทำให้มีทั้งเรื่อง และภาพของทั้งสองลงในคอลัมน์ซุบซิบทั้งในนิตยสารไฮโซ และสังคมออนไลน์ จนวาทินกลายเป็นคนดังไปด้วย
“คุณรู้ไหม วาทิน หากเราไม่ได้พบกันในร้านกาแฟวันนั้น ป่านนี้ ฉันอาจจะแต่งงานกับฟิลลิเป้ไปแล้ว” แองเจลิน่าเอ่ยปากขึ้นในวันหนึ่งที่เขาและเธอกำลังเพลิดเพลินกับการเดินเล่นชมธรรมชาติอันงดงามในตอนเช้า หลังจากที่วาทินมานอนค้างในคฤหาสน์หรูของเธอมาได้หลายสัปดาห์แล้ว
“ผมรู้” วาทินยิ้มอ่อนโยน “และผมก็คิดว่า ช่างเป็นโชคดีเหลือเกิน ที่ผมได้พบคุณ ก่อนที่คุณจะเป็นของคนอื่น ความรักคงจะเมตตาผม” พูดจบ วาทินก็หันมาหอมแก้มเธอเบาๆ
เมื่อทั้งสองเดินขึ้นไปถึงยอดเนินเตี้ยๆ ที่มองออกไปเห็นทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตา วาทินกอดหญิงสาวที่เขาหลงรักเอาไว้หลวมๆ และถามเธอด้วยคำถามที่เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“เออ จะว่าไป ผมรู้สึกว่าช่วงนี้ที่บ้านคุณออกจะยุ่งๆ ทั้งคุณพ่อ และพวกคุณอาของคุณ ดูจะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรกันสับสนวุ่นวาย ผมเห็นพวกเขาโทรศัพท์ หรือไม่ก็หยิบแล็ปท็อปขึ้นมาทำโน่นนี่กันตลอด มีอะไรที่ทำให้คุณต้องไม่สบายใจไปด้วยหรือเปล่า”
คำถามนี้ทำให้แองเจลิน่าครุ่นคิด เธอหันมามองหน้าคนรัก จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเขา เหมือนจะค้นหาบางอย่าง ก่อนจะถอนหายใจ
“ฉันไม่รู้จะบอกคุณยังไงดีวาทิน เรื่องนี้เป็นความลับในตระกูลของฉัน” หญิงสาวตอบ
“อืมม์ ถ้าเป็นความลับของคุณ ผมก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวหรอกนะ ผมรู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร คุณเป็นคนของตระกูลใหญ่ ส่วนผมก็แค่นักดนตรีธรรมดา อันที่จริง ผมไม่คู่ควรที่จะมายืนเคียงข้างคุณด้วยซ้ำไป” วาทินพูด พร้อมกับคลายวงแขนที่กอดแองเจลิน่าอยู่ออกเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้ดีว่าเขากำลังน้อยใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องยาก การที่เธอคบหากับวาทิน แม้จะถูกมองว่าไม่เหมาะสมในด้านทรัพย์สินและชาติตระกูล แต่อันที่จริง ครอบครัวของเธอไม่เคยมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็น เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอเป็นคนหัวสมัยใหม่ที่เข้าใจดีว่า ความรักเป็นเรื่องที่เลือกไม่ได้ แม้ทุกคนจะเห็นพ้องกันว่า ฟิลลิปเป้ คือคนที่เหมาะสมก็ตามที แต่เรื่องหนักอกจริงๆ ของตระกูลเฟนิเชจริงๆ แล้ว กลับเป็นเรื่องทรัพย์สินในครอบครองชิ้นหนึ่ง ทรัพย์สินเจ้าปัญหา ที่พ่อบอกว่า ห้ามไม่ให้คนนอกตระกูลรับรู้ ก่อนจะถึงเวลาอันควร
แองเจลิน่ากอดวาทินแน่นขึ้น เธออยากให้เขาสบายใจ
“รออีกนิดนะที่รัก ฉันเชื่อว่า อีกไม่นาน เรื่องยุ่งๆ ในครอบครัวฉันจะเรียบร้อย” เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้ม และแม้ชายหนุ่มจะยิ้มตอบ แต่แองเจลิน่าก็รู้ดีว่า มันเป็นเพียงร้อยยิ้มเศร้าๆ เท่านั้น
อีกไม่กี่วันต่อมา มีเสียงโทรศัพท์เข้ามาที่บ้านตระกูลเฟนิเช ทำให้มีการเรียกประชุมคนในครอบครัวอย่างเร่งด่วน แองเจลิน่าผลุนผลันออกจากห้องนั่งเล่นที่เธอกำลังดื่มน้ำชากับวาทิน เธอขอให้คนรักรออยู่ก่อน และหลังจากหายไปเกือบ 2 ชั่วโมง เธอกลับมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด วาทินยืนหันหลังให้เธออยู่ที่ริมระเบียง และเมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็หันกลับมา พร้อมกับคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ เขาเอ่ยปากขอแต่งงาน มันทำให้แองเจลิน่ารู้สึกปั่นป่วน เธอก้มลงมองวาทิน เขากำลังรอคำตอบของเธออยู่ อันที่จริง เธอเคยคิดถึงฉากนี้มาก่อน ว่าสักวันมันจะต้องเกิดขึ้น และเธอคงอยากจะตอบตกลง แต่ในการประชุมครอบครัวที่เพิ่งผ่านมา ทำให้เธอไม่แน่ใจในตัวเขา
ขณะที่กำลังลังเล ไม่รู้จะพูดยังไงนั่นเอง เสียงรองเท้าที่เดินปังๆ เข้ามาอย่างไร้กาละเทศะก็ดังขึ้น ฟิลลิปเป้นั่นเอง เขาตรงมาที่ระเบียง พร้อมหัวเราะลั่น
“นั่นไง เหมือนที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด เขาขอคุณแต่งงาน” ฟิลลิปเป้ยังพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้แองเจลิน่าหน้าแดงก่ำ ในขณะที่วาทินลุกขึ้นมาเผชิญหน้าฟิลลิปเป้
“นายมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเรื่องของเรา” วาทินถามอย่างฉุนเฉียว
“แกต่างหากวาทิน แกมีสิทธิ์อะไรเข้ามาถึงใจกลางตระกูลเฟนิเช” ฟิลลิปเป้ตอบ และตอนนั้นเอง ที่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ของตระกูลเฟนิเชต่างก็พากันเดินเข้ามาในห้อง พวกเขาจ้องมองวาทินอย่างโกรธขึ้ง
ฟิลลิปเป้คว้าแขนวาทินเอาไว้อย่างรวดเร็ว และเกินกว่าที่หนุ่มลูกครึ่งจะหลบหลีกได้ทัน ฟิลลิปเป้ก็หยิบของอย่างหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสูทของวาทิน แล้วชูของชิ้นนั้นขึ้นให้ทุกคนเห็นชัดๆ
มันคือเครื่องดักฟังที่มองเห็นชัดว่ามีหูฟังห้อยลงมา อีกด้านหนึ่ง แองเจลิน่าถอดกำไลข้อมือของเธอออก ส่งให้ฟิลลิปเป้ เขาแกะกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยกสิ่งของเล็กๆ ด้านในกำไลให้ทุกคนเห็น เครื่องดักฟังขนาดเล็กนั่นเอง
วาทินผงะถอยหลัง ด้วยสีหน้าซีดเผือด เขาละล่ำละลักบอกสาวคนรัก
“คุณกำลังเข้าใจผิด แองเจลิน่า มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“แล้วความจริงมันคืออะไรล่ะวาทิน เราทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วว่าคุณมันเป็นคนลวงโลก” เธอร้องไห้ และเดินไปยืนคู่กับฟิลลิปเป้
วาทินมองเห็นแล้วว่า เขากำลังจะสูญเสียทุกอย่าง
ก่อนหน้านั้น 2 ชั่วโมง ในการประชุมครอบครัวเฟนิเช พ่อของแองเจลิน่าซึ่งเป็นผู้นำตระกูลได้บอกความคืบหน้าเรื่องความลับของตระกูลให้ทุกได้รับฟัง
“เอาล่ะ หลังจากที่ครอบครัวของเรา ได้รับภาพวาด ‘ทูตสวรรค์แกเบรียล’ บนแผ่นกระเบื้องเคลือบมาตั้งแต่ ค.ศ.1499 พวกเราก็สงสัยมาตลอด ว่าภาพนี้มีความสำคัญยังไง บรรพบุรุษของเราถึงได้สั่งให้รักษาเป็นอย่างดีมาตลอด และอย่างที่ฉันได้บอกทุกคนแล้วว่า ฉันตัดสินใจส่งภาพนี้ไปให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะตรวจสอบ ตอนนี้ ผลการตรวจสอบก็กลับมาแล้ว” เขาพูดรวดเดียวโดยไม่ติดขัด ในขณะที่ทุกคนนั่งกันนิ่งแทบจะไม่มีใครกล้าหายใจ
ภาพวาด ‘ทูตสวรรค์แกเบรียล’ บนแผ่นกระเบื้องเคลือบ ที่ได้รับการเปิดเผยจากกลุ่มนักประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่ตรวจสอบที่มาของภาพนี้ในปี ค.ศ.2018 และคาดว่า น่าจะเป็นผลงาน "ภาพแรก" ของลีโอนารืโด ดาวินวี
“มันเป็นจริงอย่างที่เราคิด” พ่อของแองเจลิน่ากล่าวขึ้น คราวนี้เรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนได้อย่างอึงอล ก่อนที่จะหยุดนิ่งกันอีกครั้ง เมื่อประมุขของตระกูลพูดต่อ
“นักประวัติศาสตร์ศิลปะพิสูจน์แล้วว่า ภาพนี้มีอายุย้อนไปถึงคริสตศตวรรษที่ 15 และเป็นผลงานจากฝีมือของ ลีโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งวาดภาพนี้ตอนที่เขามีอายุเพียง 18 ปี ที่แน่ใจอย่างนี้ เพราะตรวจพบตัวเลขปีที่วาด และลายเซ็นของดาวินชีปรากฎในภาพ ลายเซ็นนี้ ถูกตรวจสอบลายมือแล้ว พบว่า เหมือนกับลายมือของดาวินชีในเอกสารอื่นๆ ที่เคยได้รับการรับรองก่อนหน้านี้ ทั้งหมดนี้ เป็นการยืนยันว่า ตระกูลของเราเป็นเจ้าของผลงานที่หายไปของดาวินชี และมันมีประเด็นที่สำคัญกว่านั้นอีก เพราะว่านี่ไม่ใช่เพียงภาพๆ หนึ่งของเขา แต่มันยังเป็นภาพแรก นี่คือผลงานแรกของดาวินชีก่อนที่จะมีชื่อเสียง ภาพวาดตอนที่เขายังเป็นวัยรุ่น มันจึงเป็นภาพที่ใครๆ ก็บอกไม่ได้ว่า มีมูลค่าเท่าไหร่ เพราะมันมหาศาลเกินกว่าจะเอ่ยออกมาเป็นตัวเลขได้ และในตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ศิลปะได้เขียนคำรับรองนี้ออกมา และส่งให้บรรดาสื่อมวลชนแล้ว ในหนังสือพิมพ์ฉบับพรุ่งนี้เช้า คงเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ว่ามีภาพแรกในชีวิตของดาวินชีอยู่ในครอบครองของพวกเรา”
เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นฟิลลิปเป้ถือวิสาสะเดินเข้ามา เขายกมือขึ้นแตะริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ
ฟิลลิปเป้เดินตรงไปที่โต๊ะตัวใหญ่กลางห้อง เขาหยิบกระดาษจดโน๊ตขึ้นมาเขียนข้อความ ก่อนจะยื่นให้ทุกคนได้อ่าน
“อย่าส่งเสียง มีคนดักฟัง” นี่คือข้อความที่ฟิลลิปเป้เขียนบอกทุกคน ทำให้เกิดความเงียบยิ่งกว่าเงียบในห้องนั้น
ชายหนุ่มหันไปเขียนกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง
“วาทินใส่เครื่องดักฟังไว้ในกำไลของแองเจลิน่า แต่เงียบไว้ เขาแอบฟังพวกคุณอยู่”
ตอนนั้นเอง ที่แองเจลิน่าลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปหาวาทิน เมื่อเขาคุกเข่าลงขอแต่งงาน เธอก็ตระหนักว่า เขาได้ยินหมดแล้ว เรื่องที่ตระกูลของเธอเป็นเจ้าของภาพวาดอันหาค่ามิได้ ภาพวาดที่อาจจะมีราคา “แพง” ที่สุดในโลก
“คุณกำลังเข้าใจผิด แองเจลิน่า มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“แล้วความจริงมันคืออะไรล่ะวาทิน เราทุกคนก็เห็นกันอยู่แล้วว่าคุณมันเป็นคนลวงโลก” เธอร้องไห้ และเดินไปยืนคู่กับฟิลลิปเป้
วาทินมองเห็นแล้วว่า เขากำลังจะสูญเสียทุกอย่าง เขาไม่มีทางเลือก นอกจากพูดความจริง เขายืดอก หันไปผลักไหล่ฟิลลิปเป้อย่างแรง
“บอกพวกเขาซิ ฟิลลิปเป้ บอกซิ ว่าแกรู้ได้ยังไงว่าฉันดักฟัง แน่ล่ะซิ แกต้องรู้อยู่แล้ว เพราะแกเป็นคนจ้างฉันให้มาทำหน้าที่นี้เอง พูดความจริงมาซิฟิลลิปเป้ ถ้าแกกล้าพอ พูดความจริงออกมาซิ ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของแกเอง” วาทินพูดรัวเร็ว
“ใช่ ฉันกล้าพอที่จะพูด” ฟิลลิปเป้หันกลับไปหาบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเฟนิเช “ผมยอมรับ ผมเองที่เป็นคนจ้างวาทินให้เข้ามาสืบความลับของตระกูลเฟนิเช และที่ผมรู้ทุกอย่าง ก็เป็นเพราะเครื่องส่งสัญญาณที่วาทินดักฟังมา มันส่งต่อถึงผมอีกทอดหนึ่ง” ว่าแล้ว ฟิลลิปเป้ก็หยิบเครื่องรับสัญญาณอีกตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสูทของเขา
“ครอบครัวของผมรู้มานานแล้วว่า ตระกูลเฟนิเชส่งภาพวาดสำคัญมากไปให้นักประวัติศาสตร์ศิลปะตรวจสอบ ผมสืบจนรู้ว่า คนที่พวกคุณส่งงานไปให้ตรวจเป็นผู้เชี่ยวชาญงานของดาวินชี ผมก็เลยจ้างนายคนนี้ นายวาทิน พ่อหน่มรูปหล่อให้เข้ามาอยู่ในบ้านของพวกคุณ ผ่านทางแองเจลิน่า อันที่จริง ครอบครัวของผมก็แค่อยากรู้ความจริง เพราะภาพวาดที่พวกคุณได้มาจากดัชเชสแห่งอามัลฟีน่ะ ที่บ้านผมก็มีอีกชิ้นหนึ่ง หากภาพของพวกคุณเป็นผลงานของดาวินชี ก็เป็นไปได้ว่า ของที่บ้านผม ก็เป็นผลงานดาวินชีด้วย” ตอนนั้นเอง ที่วาทินทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น สีหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ซีดลงไปกว่าเก่า เหมือนเขากำลังจะละลายหายไปจากโลกนี้
“ผมก็แค่อยากรู้ เพราะภาพวาดของบ้านผมมันแตกต่างจากของบ้านคุณ ภาพวาดของคุณมีขนาดแค่ 20 เซนติเมตร คุณเอาไปตรวจสอบได้ แต่ของบ้านผม บรรพบรุษผมดันเอาไปฝังไว้ในผนังบ้าน จู่ๆ ผมจะแงะผนังออกไปตรวจสอบก็ไม่ได้ เลยต้องมาสืบข้อมูลจากพวกคุณ และเมื่อได้ข้อมูล ผมก็จะไปจัดการกับทรัพย์สินของผมบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่า วาทินจะมีแผนที่กว้างไกลกว่าผม หึๆ เขาถึงกับขอแต่งงานกับแองเจลิน่า โธ่เอ๊ย ไอ้ 18 มงกุฎ”
“ไม่จริงนะ ไม่จริง” วาทินตะโกน
“อะไรของแกล่ะ ที่ว่าไม่จริง เรื่องที่แกเป็น 18 มงกุฎน่ะเหรอ” ฟิลลิปเป้ยังคงเย้ยหยันเขา
“ใช่ ผมรับจ้างคุณให้มาสืบเรื่องภาพวาดที่นี่ แต่เรื่องขอแต่งงาน ผม..ผม..”
“หือ แกจะบอกว่าแกรักแองเจลิน่าอย่างนั้นน่ะหรือ ก็แหงล่ะซิ เธอเป็นทายาทของเจ้าของภาพวาดที่แพงที่สุดในโลกนี่นา แกถึงได้ลงทุนขอแต่งงานกับเธอ ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะของฟิลลิปเป้เสียดแทงเข้าไปถึงขั้วหัวใจของวาทิน ชายหนุ่มลุกขึ้นมา เขาหันไปหาคนรัก
“แองเจลิน่า ผมรู้ว่าผมไม่คู่ควร ผมเข้ามาด้วยเจตนาไม่ดี ผมเป็นนักต้มตุ๋น”
ถึงตอนนี้ คนรักของเขาร้องไห้หนักขึ้น “แต่ได้โปรด เมื่อผมได้พบคุณ ผมตกหลุมรักคุณอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ทุกอย่างแองเจลิน่า ทุกอย่างที่ผมบอกคุณ เรื่องที่ผมรักคุณ มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งเมื่องานที่ผมทำให้ฟิลลิปเป้จบลง ผมยิ่งต้องรีบ ผมรีบขอแต่งงานกับคุณ ไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าคุณร่ำรวย แต่เป็นเพราะผมรักคุณ ได้โปรด ที่รัก ผม...” วาทินพูดไม่ทันขาดคำ ฟิลลิปเป้ก็ต่อยเขาจนล้มลงไปอย่างแรง ในขณะที่คนอื่นๆ ในบ้านสั่งให้บรรดาคนรับใช้โยนวาทินออกจากบ้าน
ใช่ เขาถูกโยนออกมาเหมือนหมาตัวหนึ่ง อันที่จริง วาทินไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย เขาพูดความจริงทุกอย่าง เขาหลงรักแองเจลิน่าอย่างจริงใจ และอยากแต่งงานกับเธอ ไม่ว่าจะร่ำรวย หรือยากจน แต่เมื่อเหตุการณ์เดินทางมาถึงตอนนี้ เขามีแต่ต้องเดินหน้าตามแผนสอง
“พ่อครับ ลงมือได้” วาทินโทรศัพท์ไปพูดเพียงสั้นๆ พ่อของเขาซึ่งเป็นพ่อบ้านของฟิลลิปเป้ และชักนำให้วาทินได้รู้จักฟิลลิปเป้เข้าใจได้ในทันที เขาจัดการเสริฟเครื่องดื่มผสมยานอนหลับให้ทุกคนในบ้าน แล้วใช้เครื่องมือที่เตรียมไว้ “แงะ” เอาภาพวาดสำคัญที่ผนังนั้นไป ก่อนจะบึ่งรถไปสนามบิน รอลูกชายที่จุดนัดพบ
หลังวางสายจากพ่อของเขา วาทินโทรศัพท์ไปหานักประวัติศาสตร์ศิลปะ ผู้ตรวจสอบภาพวาดให้ตระกูลเฟนิเช ความเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพทำให้เขาทำมันได้ไม่ยาก เขาเลียนเสียงพ่อของแองเจลิน่า บอกปลายสายว่า กำลังส่งว่าที่ลูกเขยไปรับภาพวาดของดาวินชีกลับมา ไม่มีใครสงสัยเขา เพราะเป็นที่รู้กันทั่วเมืองว่า วาทินเป็นคนรักของแองเจลิน่า และความวุ่นวายที่บ้านเฟนิเช ทำให้ไม่มีใครนึกถึงเรื่องนี้ เพราะมัวแต่ปลอบโยนแองเจลิน่า ถึงตอนนั้น วาทินก็รับภาพวาด แล้วเดินทางไปสมทบกับพ่อของเขาที่สนามบิน
ปลายทางคือกรุงเทพฯ แม่ของวาทินรออยู่ที่นั่น มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนสอง แม่ของเขาเปิดเว็บไซต์ประมูลใต้ดินรอเอาไว้แล้ว
“ขอโทษนะแองเจลิน่า ผมตกหลุมรักคุณเข้าแล้วจริงๆ แต่ในเมื่อผมเดินตามแผนหนึ่งที่จะแต่งงานกับคุณไม่ได้ ผมก็มีแต่ต้องเดินหน้าด้วยแผนสองเท่านั้น” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเอง และเมื่อไหร่ที่เครื่องบินถึงสุวรรณภูมิ เศรษฐีที่ประมูลชนะก็จะส่งคนมารับภาพทั้งสองไป แล้ววาทินก็จะเป็นคนที่รวยที่สุดจากน้ำพักน้ำแรงของลีโอนาร์โด ดาวินชี
“ลาก่อนแองเจลิน่า แม่ยอดรักของผม”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา