3 พ.ค. 2020 เวลา 03:46 • ข่าว
Oil Update : การปิดตัวลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรม Shale Oil ในสหรัฐฯ เริ่มต้นขึ้นแล้ว !! ขณะที่จำนวนแท่นขุดเจาะลดลงเกือบ 50%
อุตสาหกรรม Shale Oil ของสหรัฐฯ เริ่มปิดตัวลงอย่างรวดเร็วในบางแห่ง ซึ่งทำให้กำลังการผลิตในประเทศลดลงอย่างมาก
บริษัทสำรวจน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่งของสหรัฐฯ คือ Exxon Mobill, Chevron. และ ConocoPhillips กำลังวางแผนที่จะลดกำลังการผลิตโดยรวมลงอีก 660,000 บาร์เรล/วัน
ในปัจจุบัน ยอดรวมการผลิตจากทุกบริษัทในสหรัฐฯ ลดลงกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2020 และยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่ากำลังการผลิตที่ลดลงจะฟื้นกลับคืนมาได้อีกเมื่อไหร่
หากมองภาพรวมตลอดทั้งปี เราคงกล่าวได้ว่ากำลังการผลิตของสหรัฐฯ จะลดลงไปสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1984 เลยทีเดียว โดยล่าสุดทรัมป์ได้ออกมาให้คำมั่นว่าสหรัฐฯ จะลดกำลังการผลิตลงถึง 2 ล้านบาร์เรล/วัน
สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไป คาดว่าตลาดจะมีการปรับตัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากการล้มละลายของบริษัทน้ำมันที่กำลังจะมาถึง
เกือบ 40% ของผู้ผลิตน้ำมันและก๊าชธรรมชาติในสหรัฐฯ จะต้องล้มละลายในระหว่างปีนี้ หากราคาน้ำมันดิบ WTI ยังอยู่ใกล้ระดับ 30 $/บาร์เรล ซึ่งปัจจุบันซื้อขายกันอยู่ที่ประมาณ 19 $/บาร์เรล เท่านั้น !! ลองคิดต่อดูครับว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะล้มละลายกันเป็นสัดส่วนกี่ %
Comment : ต้องรอดูเลยครับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะทำอย่างไรต่อไป
ผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ต่างก็เร่งลดกำลังการผลิตให้เร็วขึ้นกว่าเดิม นับตั้งแต่ราคาลงไปสู่ระดับต่ำกว่าที่จะสามารถทำกำไรได้ (Break-even Level)
การผลิตน้ำมันใน North Dakota ลดลงถึง 1 ใน 3 ของกำลังการผลิตทั้งหมดในรัฐ โดยกว่า 40% ที่ลดลง มาจากบริษัทเดียวคือ Continental Resources Inc.
เมื่อนับรวม 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีมากกว่า 50% ของแท่นขุดเจาะทั้งหมดในสหรัฐฯ ต้องปิดตัวลง โดยกว่า 56% ในนั้นมาจาก Permian Basin ในรัฐ West Texas และแท่นขุดเจาะอื่น ๆ ในรัฐ New Mexico
สำหรับยักษ์ใหญ่อย่าง Exxon Mobil และ Chevron ซึ่งก้าวเข้ามาสู่การปฏิวัติ Shale Oil ภายหลังบริษัทอื่น ๆ แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบให้แก่พวกเขาแทน โดยได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น
รูปด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นถึงปริมาณการผลิตที่ลดลงในแต่ละบริษัท
Exxon Mobil ได้รายงานผลขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ทศวรรษ และ Chevron ได้ตัดงบประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ ออกไปจากแผนการใช้จ่ายของบริษัท
2. Moody ปรับลด Credit ของประเทศซาอุฯ ไปสู่ระดับติดลบ
มุมมองต่อประเทศซาอุฯ ถูกปรับเป็นติดลบใน Moody's Investors Service
"Negative Outlook เป็นผลกระทบที่มาจากความเสี่ยงทางด้านการเงินของซาอุฯ โดยการหดตัวอย่างรวดเร็วของ GDP จะส่งผลให้ความกังวลใน Sectors อื่นที่ไม่ใช่น้ำมันเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทรัพย์สินสุทธิของธนาคารกลางซาอุฯ ลดลงกว่า 5% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกู้ยืมครั้งใหญ่ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินกว่า 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน Mohammed Al-Jadaan รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของซาอุฯ ได้สั่งตัดงบประมาณรายจ่ายของประเทศลง 1.33 หมื่นล้านดอลลาร์ และเมื่อเดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำการเทขายพันธบัตรมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์
Moody คาดการณ์เอาไว้ว่า ซาอุฯ จะมีการขาดดุลงบประมาณมากกว่า 12% ของ GDP ในปี 2020 และมากกว่า 8% ในปี 2021 โดยหนี้ของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นเป็น 38% ของ GDP หลังสิ้นสุดปี 2021
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา