5 พ.ค. 2020 เวลา 02:53 • ประวัติศาสตร์
'ทุ่งสังหาร' ความโหดร้ายของเขมรแดง ที่สังหารผู้บริสุทธิ์นับล้านคนอย่างไร้มนุษยธรรม
หากกล่าวถึง “คุกตวล สเลง” อีกหนึ่งสถานที่ที่มีความโหดร้ายไม่แพ้กันอย่าง “ทุ่งสังหาร” หรือ “Killing Fields” ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ชาวเขมรนับล้านชีวิตต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ด้วยเงื้อมมือของทหารเขมรแดง
ชื่อของ “ทุ่งสังหาร” นั้นเป็นชื่อที่เรียกกันในภายหลังที่เรื่องราวทุกอย่างออกสู่สายตาชาวโลก แต่ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเริ่มแรกของการอพยพชาวเมืองให้ออกไปจากเมืองเพื่อเดินทางไปสู่ “อนาคตของประเทศ” ซึ่งบรรดาผู้นำของเขมรแดงได้บอกกับชาวเมืองตามเมืองสำคัญต่างๆ ว่าทั้งหมดคือการหลบภัยจากสหรัฐอเมริกาที่จะเข้ามาทิ้งระเบิด เนื่องจากไม่พอใจที่กองกำลังเขมรแดงได้ยึดอำนาจจากรัฐบาลของ “นายพลลอน นอล” จึงจำเป็นที่จะต้องอพยพชาวเมืองทั้งหมดออกจากเมือง
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
หลังจากการคัดแยกประชาชนที่มีความรู้ อ่านออกเขียนได้แยกไปที่ “ตวล สเลง” เพื่อทำการสอบสวนในแบบฉบับของเขมรแดง ประชาชนที่เหลือก็มีแต่บรรดาชาวบ้านธรรมดาๆ ก็ถูกนำทางไปยังทุ่งนาที่ห่างไกลจากเมืองด้วยการเดินเท้า ภาพที่ทุกคนเห็นในช่วงนั้นก็คือขบวนพาเหรดของมนุษย์ที่ยาวสุดลูกหูลูกตา ต่างพากันเดินเท้าไปสู่ที่ที่พวกเขาถูกหลอกว่า “อนาคตของชาติ”
ระบบต่างๆ ทุกอย่างที่เคยมีในประเทศ เช่น เงินตรา โรงเรียน โรงพยาบาล และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ล้วนถูกยกเลิกเพราะผู้นำเขมรแดงต้องการที่จะให้กัมพูชากลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านเกษตรกรรม ประชาชนทุกคนคือทรัพย์สมบัติของประเทศไม่ต่างจากสัตว์ที่ใช้ในภาคการเกษตร ทุกคนไม่ว่าจะเคยเป็นอะไรมาก่อนหน้านั้น จากนี้ไปทุกคนคือเกษตรกร
ความโหดร้ายของเขมรแดงเริ่มต้นตั้งแต่การพาประชาชนไปสู่ทุ่งนาที่พวกเขาเรียกกันว่า “คอมมูน” ระหว่างการเดินทางนั้นผู้ป่วยที่ถูกเรียกให้ออกมาจากโรงพยาบาลก็ทยอยล้มตายกันเนื่องจากต้องเดินทางไกล การรักษาย้อนกลับไปเหมือนอยู่ในยุคหินเพราะเหล่าทหารของเขมรแดงนั้นปฏิเสธการแพทย์สมัยใหม่ จึงรักษาด้วยวิธีโบราณๆ เช่น การกินสมุนไพร แน่นอนว่ามันช่วยอะไรไม่ได้มาก ร่างของผู้เสียชีวิตจึงถูกทิ้งตามข้างทางอย่างน่าเวทนา
ใช่ว่าจะมีแต่คนป่วยที่ต้องสูญเสีย ประชาชนที่เดินทางนั้นก็ต้องได้รับผลกระทบจากคำสั่งอย่างกะทันหันเช่นกัน ความอดอยากแพร่กระจายไปทั่วทั้งขบวนเพราะสเบียงที่เตรียมมานั้นมีไม่พอ หนำซ้ำอากาศที่ร้อนและระยะทางที่ไกลทำให้การเดินทางนั้นล่าช้าเพราะมีคนหมดแรง ช่วงนี้เองที่ทหารเขมรแดงเริ่มแสดงธาตุแท้ที่โหดร้ายออกมา การฆ่าทิ้งสำหรับคนที่เริ่มแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องจึงเริ่มขึ้น พวกเขาถูกลากไปยังข้างทางและใช้ปืนยิงที่ศีรษะและทิ้งศพไว้ที่ข้างทางเพื่อเป็นการ “ขู่” ไม่ให้ใครก็ตามเริ่มขัดขืน ตัวเลขของผู้ที่เสียชีวิตจากการอพยพอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 คน จากคนร่วมเดินทางออกจากเมืองราว 2.5 ล้านคน
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ทันที่ที่ทุกคนถึง “คอมมูน” แต่ละคนก็จะถูกแยกไปอยู่ตามคอมมูนต่างๆ ที่แบ่งเป็นชุมชนขนาดใหญ่ประมาณ 10,000 คนต่อ 1 คอมมูน ครอบครัวถูกพลัดพรากจากกันกระจัดกระจายไปยังจุดต่างๆ ชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาจะได้รับหน้าที่คือการทำเกษตรกรรมและการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ที่อยู่ในแต่ละแคมป์
ซึ่งการกระทำของทหารเขมรแดงได้สร้างความงุนงงให้กับประชาชนเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาถูกสัญญาโดยผู้นำว่าการออกมาจากเมืองครั้งนี้เป็นการหลบภัยเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น แต่นี่พวกเขากลับถูกนำมาอยู่ในแคมป์ที่มีลักษณะไม่ต่างจากค่ายกักกันที่ล้อมรั้วด้วยลวดหนามเลยแม้แต่น้อย
มาถึงตรงนี้ชาวกัมพูชาทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งที่ผู้บัญชาการคอมมูนจะสั่งลงมาโดยที่ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ เพราะโทษของการขัดขืนนั้นคือ “ความตาย” ทุกคนจะต้องทำงานหนักวันละ 11 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลาถึง 9 วันติดๆ ซึ่งวันที่ 10 นั้นไม่ใช่วันหยุดหากแต่ยังต้องมานั่งฟังการอบรมจากเจ้าหน้าที่คอมมูนเพื่อมาบรรยายแนวคิดเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พวกเขากำลังสร้างประเทศในอุดมคติ แน่นอนว่าการอบรมนี้ไม่มีการถามความสมัครใจ หากแต่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ!
แม้ว่าจะทำงานหนักสักเพียงใดแต่คุณภาพชีวิตนั้นไปคนละทางกับสิ่งที่พวกเขาทำ อาหารที่ได้รับในแต่ละวันนั้นมีเพียงแค่ปลายข้าวเอามาต้ม ซึ่งปริมาณข้าวนั้นมีเพียงนิดเดียวที่เหลือก็คือน้ำกับปลาแห้งตัวเล็กๆ แน่นอนว่าการทำงานที่หนักถึงวันละ 11 ชั่วโมงแล้วมาเจออาหารชั้นเลวขนาดนี้ ก็คงมีน้อยคนนักที่จะทนได้นาน ร่างกายของพวกเขาจึงค่อยๆ อ่อนแอลงไปทุกวันๆ
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ทหารเขมรแดงตั้งแต่ระดับบนระดับล่างนั้นมีแนวคิดที่ว่า “คนที่ทำงานไม่ได้ก็ไม่ต่างจากคนตาย” ด้วยเหตุนี้ภาพของการลากคนที่ทำงานไม่ได้เพราะร่างกายไม่แข็งแรงออกไปกำจัดทิ้งจึงเป็นเรื่องที่ชินตาโดยไม่เว้นว่าเป็นผู้หญิง เด็กทารกหรือว่าคนแก่ นอกจากนี้บรรดาผู้หญิงสาวๆ ภายในคอมมูนนั้นต้องตกเป็นทาสบำเรอของทหารหนุ่มกลัดมัน พวกทหารนั้นถือว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้กับชีวิตของสาวๆ เหล่านี้ ชีวิตในที่แห่งนี้จึงไม่ต่างอะไรกับนรกบนดินดีๆ นั่นเอง
แต่ก็มีโอกาสให้กับเด็กชายหรือวัยรุ่นที่มีอายุตั้งแต่ 12-15 ปีเช่นกัน ทหารเขมรแดงจะมีประเพณีการรับสมัครกองกำลังเพิ่มจากคนที่ถูกกักขังในคอมมูนด้วยการ “วัดใจ” ซึ่งจะทำในโอกาสที่กำจัดผู้ที่ไร้ประโยชน์ด้วยการสั่งให้เด็กๆ ต่อแถวยืนเรียงหน้ากระดาน โดยจะโยนอาวุธไปข้างหน้าแถวเพื่อให้ผู้ที่ “ใจถึง” หยิบอาวุธที่มีตั้งแต่จอบ เสียม ไม้หน้าสาม ขึ้นมาและนำอาวุธที่ได้ไปจัดการกำจัดสิ่งไร้ประโยชน์ซะ โดยเหล่ารุ่นพี่ก็จะดูว่าเด็กๆ เหล่านี้จะทำด้วยความรู้สึกใด หากทำไปหัวเราะไปหรือมีความสนุกในแววตาหลังจากนั้นก็จะได้บรรจุภายในกองทัพเขมรแดงอย่างสมเกียรติ
1
ในการกำจัดบุคคลไร้ประโยชน์ของทหารเขมรแดงนั้นส่วนใหญ่แล้วมักจะหาวิธีทำยังไงก็ได้เพื่อที่จะไม่ต้องเปลืองลูกตะกั่ว ดังนั้นการสังหารกลุ่มคนที่ผู้ที่มีอำนาจนั้นมองว่าไร้ประโยชน์มักจะใช้ของบ้านๆ เช่น จอบ เสียม หรือของแข็งต่างๆ
ขั้นตอนก็จะเริ่มที่ทหารเขมรแดงจะคุมตัวผู้ไร้ประโยชน์ออกไปแล้วโยนจอบและเสียมให้กับเหยื่อพร้อมกับสั่งให้ขุดหลุมลึกประมาณ 1 เมตรเอาไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเหนื่อย จากนั้นก็จะมัดมือและสั่งให้นั่งคุกเข่าที่ปากหลุมและขั้นตอนสุดท้ายก็คือการฟาดศีรษะของผู้โชคร้ายอย่างเต็มแรง หรือไม่ก็จะใช้ก้านของใบตาลที่ทั้งแข็งและคมปาดไปที่ลำคอของเหยื่อและถีบลงไปที่ก้นหลุม
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
แต่ในกรณีของผู้ที่พยายามหลบหนีออกจากคอมมูนนั้นอาจจะต้องพบกับความโหดร้ายที่ทวีคูณ โดยก่อนที่จะถูกกำจัดนั้นพวกเขาจะต้องถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการรุมทำร้ายร่างกายและหยามเกียรติด้วยการปัสสาวะใส่ร่างที่บอบช้ำ จากนั้นก็จะกลบดินลงไปทั้งๆ ที่ร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่
อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นต้นเหตุให้เกิดการสังหารก็คือเรื่องการดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากภาวะอด ภายในคอมมูนนั้นทุกคนจะต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับอาหาร ซึ่งอาหารที่ได้นั้นก็ไม่เพียงพอต่อความหิวโหยเลยสักนิด ทุกคนจึงต้องดิ้นรนตั้งแต่การแอบจับสัตว์เล็กๆ อย่างกบ เขียดมากิน แต่ก็ใช่ว่าจะหาได้บ่อยๆ ดังนั้นแหล่งอาหารที่จะทำให้มีชีวิตรอดนั่นก็คือ “ร่างของผู้เสียชีวิต” ที่ถูกฝังไปก่อนหน้า
การลักลอบออกไปขุดศพมากินนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงชีวิตสุดๆ เพราะทหารเขมรแดงรับไม่ได้กับพฤติกรรมเหล่านี้เพราะเหมือนกับว่าเป็นการหยามหน้าว่าพวกเขาดูแลผู้คนในคอมมูนไม่ดี จึงต้องมีการลักลอบมาหาของกินอย่างอื่นนอกจากที่จัดหาให้ เมื่อใดก็ตามที่มีการจับนักขุดศพมาได้แล้วนั้น พวกเขาจะต้องถูกลงโทษด้วยการซ้อมให้หนำใจและจับมัดมือมัดเท้าเข้ากับไม้ไผ่ให้ไม่สามารถกระดิกไปไหนได้ และหลังจากนั้นก็จะขุดหลุมให้พอที่จะ “ฝังครึ่งตัว” ได้ แต่การฝังในที่นี้ไม่ใช่การฝังท่อนล่าง หากแต่เป็นการฝังท่อนบน ขาของผู้ที่ถูกฝังนั้นก็จะชี้ขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการประจานว่าผู้ที่ถูกฝังนั้นพยายามขุดศพมากิน
ถ้าคิดว่าการฝังครึ่งตัวโหดแล้วแต่สิ่งต่อไปนี้โหดกว่าจนเข้าขั้น “เดรัจฉาน” เลยทีเดียว ทหารเขมรแดงนั้นมีความคิดที่ว่าคนที่ทำงานไม่ได้นั้นก็ถือว่าไร้ประโยชน์ ไม่มีค่าที่จะเก็บไว้ ในช่วงต้นของการกวาดต้อนประชาชนเข้ามาอยู่ในคอมมูนนั้น มีผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าพวกเธอจะต้องมาคลอดลูกภายในคอมมูน
หญิงตั้งครรภ์เมื่อคลอดลูกออกมาแล้วร่างกายจึงอ่อนแอทำงานไม่ได้พวกเธอก็จะถูกนำไปกำจัด และเด็กทารกก็ต้องถูกกำจัดด้วยเช่นกัน ทหารเขมรแดงจะรวบที่ข้อเท้าของเด็กและจับฟาดกับต้นไม้ให้เด็กเสียชีวิต จากนั้นก็โยนลงไปในหลุมเดียวกับแม่ของเด็ก โดยพวกเขาให้เหตุผลว่านอกจากจะกำจัดภาระแล้วยังเป็นการกำจัดปัญหาที่จะตามมาในอนาคตนั่นก็คือการแก้แค้นที่ทหารเขมรแดงไปฆ่าแม่ของพวกเขา
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ความโหดร้ายของค่ายนรกแห่งนี้กินเวลาถึง 4 ปีกว่าจะจบลง ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ทำให้ประชากรของประเทศกัมพูชากว่า 2 ล้านคนถูกฆ่าตายภายในทุ่งสังหาร
ปัจจุบันบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของคอมมูนนั้นมีการขุดพบซากของมนุษย์เป็นจำนวนมากซึ่งก็เป็นหลักฐานที่ประจานความโหดร้ายของกองทัพเขมรแดงที่ทำกับเพื่อนร่วมชาติ และต้นตาลที่เคยถูกใช้เป็นแท่นประหารสำหรับเด็กทารกก็ยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ซึ่งทางการกัมพูชาได้ปรับปรุงให้เป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงเหยื่อการสังหารและเพื่อเตือนใจว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลกก็ตาม
1
โฆษณา