5 พ.ค. 2020 เวลา 15:20 • ไลฟ์สไตล์
3 Mins Reading
ทำไมหนัง ซีรีย์ ประเภท Fantasy ถึงทำให้เรารู้สึกดีได้น้า ?
Why and How Fantasy Genre make us feeling good ?
มาวิเคราะห์กันในเชิง จิตวิทยา (Psychology) และ การตลาด (Marketing)
ต้องบอกเลยว่า เราเป็นคนนึงที่ชอบดูหนังแนว Fantasy อย่าง Harry potter, Fantastic beast, Disney หรือแม้แต่ ซีรีย์อย่าง Game of throne, the Witcher
แล้วว...ชวนเพื่อนๆคิดสักนิ้ดดดนึง
เพื่อนๆเคยสงสัยไม๊ว่า อะไรกันน้า ที่ทำให้พวกเรารู้สึ ดี ตื่นเต้น เมื่อได้ดูหนังประเภทนี้กัน ? ที่ไม่ใช่แค่ เป็นการทำเรื่องจินตนาการให้เป็นภาพที่เห็นได้น้ะ
ทำไมพวกเราถึงอยากติดตามต่อไป จนบางทีต่อให้จบแล้ว ก็อยากให้ทำภาคหรือซีซั่นต่อๆไป ?
มา มาา เพื่อนๆ มาอ่านให้สนุกกันนนนน !
เริ่มกันที่ 4 แรงจูงใจ และเหตุผลทั่วไปกันก่อนเนอะ ?
 1. Complex World Building
มาชวนจินตนาการกันหน่อยดีกว่า
- คลาสเรียนปรุงยาใน Harry Potter ?
- การที่ได้พบเจอสัตว์เวทมนต์พูดได้ใน Fantastic Beast ?
- ถ้าวิทยาการด้านหุ่นยนต์ก้าวไกลจนเกินไปอย่างซีรีย์ Westworld ?
- ถ้าต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในเมือง อรันเดล ในเรื่อง Frozen ?
Context ข้างบนเหล่านี้ คงไม่เกิดขึ้นจริง ถ้าไม่มีเป็นหนัง หรือ นิยายออกมาเนอะ เชื่อว่า เพื่อนหลายๆคนรวมถึงเราเอง ก็มีมุมเด็กๆ และความฝันกันหมดทุกคน แม้ว่าเราจะอายุเยอะขึ้นเรื่อยๆก็ตามเนอะ แต่ที่ไหนละ ที่จะให้เราปลดปลอยความฝัน รู้สึกดีแบบนี้ได้ ถ้าไม่ใช่การถ่ายถอดผ่านทางภาพยนต์ ? :)
1
From Fantastic Beast
2. Infinite Potential Growing of Imagination
โลกของความจริง เราจะต้องตีกรอบของชีวิตเนอะ โดยเฉพาะ ภาระ หน้าที่ และบทบาทของเราา
ในโลกแห่ง นิยาย เวทมนต์ หรือ แฟนตาซีต่างๆ พวกเค้าล้วนก็มีบทบาทเหมือนกัน เพียงแต่ .... ขอบเขตของพวกเค้านั้นก็ยังคงอยู่ในรูปแบบของการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ (ต่อให้เป็น Heroes ก็ตาม..เพื่อนๆ หนังมันก็ยังสื่อในรุปแบบความคิด ความรู้สึกของคนอยู่ดีนะ 55) แต่ว่ากรอบเค้ากว้างงงกว่าเราเยอะมากก อย่าลืมว่า พลังวิเศษ จะออกมาในรูปแบบไหนก็ได้น้ะ ! โดยเฉพาะ สิ่งที่พวกเรามนุษย์ปกติต้องการจะมี เช่น พลังวิเศษต่างๆ
3. Expect the Unexpected
นี่คือส่วนที่ทำให้พวกเราทุกคน สนุก และจูงใจให้ติดตามชมภาพยนต์ Fantasy กันเป็นที่สุดดเลย
ในโลกความจริง มีใครอยากเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันบ้างน้า ? ไม่น่าาา..มี ฮ่าๆ
แล้วจะเป็นยังไง ถ้าพวกเค้าเหล่านั้นจะได้พบกับ เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ในรูปแบบของ Third person view ? นั้นแหละ สิ่งที่เราสามารถหาคำตอบได้จากภาพยนต์หรือนิยาย
from Unfortunately Event - เราว่าเข้ากับข้อ 3ดี
4. Blends the Old and New
เพื่อนๆคงเคยจินตนาการถึงภาพในอดีตเนอะ
กาลเวลาช่างปะปนกันได้ตลอดเวลาในโลกของ Fantasy และนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆเลย
มาดู 4 เหตุผลกันก่อนดีกว่า ทางเชิงจิตวิทยาหน่อยนึงนะเพื่อนๆ ?
1. Fantasy give us a Hope !
อันนี้ก็เล่นกับจิตใจของพวกเราเลย เพื่อนเคยรู้สึกแย่กันมากๆไม๊ หรือเจอเหตุการณ์ที่ไม่อยากพบเจอ ?
เหล่าตัวละครในนิยาย Fantasy เหล่านี้ ก็ต้องพบเจอปัญหาไม่ต่างกับเพื่อนๆเลย Hero ต่างๆ ก็ยังเคยทำผิดพลาดมาแล้วไม่รู้เท่าไร แต่ท้ายสุดพวกเค้าก็แก้กลับมาได้ ตรงนี้เหมือนเติมเต็มมุมมองในแง่บวกเพิ่มให้เรา และนี่คือ 1 ในความรู้สึกดีดี
คำพูดของ Clark Kent - เราว่าเป็นตัวละครที่พูดเกี่ยวกับความหวังเยอะที่สุด (กับอีกคนก็ Steve Roger)
2. Escapism with escaping healthy
จริงๆถ้าเพื่อนๆที่เคยได้ยินคำนี้อาจจะฟังดูไม่ค่อยเป็นในเชิงบวกเท่าไร
แต่จริงๆแล้ว จากการอ้างอิงจากนักจิตวิทยา Dr. Christine Gockman เค้าได้บอกว่า Escapism ไม่ใช่ความหมายที่จะว่าคนที่หนีความจริงเข้าสู่โลกอีกใบน้ะ แต่โดยปกติแล้วจิตใจของคนเรามีขีดจำกัดในการรับมือ และของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน การที่ให้ตัวเองได้หลบมาอยู่ในโลกอีกมุม หรือการดูหนัง Fantasy เป็นอีก 1 ทางที่บรรเทาทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลย
"Escape is wonderful, if you embrace reality when necessary"
3. Significantly Grow Creativity in Children
จริงๆไม่เรียกว่าการเพ้อเจ้อนะ เค้าเรียกว่าสร้างสรรค์ อันนี้จริงๆเพื่อนๆ การที่ดูแต่หนัง Scientific ตลอด ทำให้การพัฒนาการของเด็กเนี่ย เค้าจะโตเพียงด้านเดียว สมองซักนึงจะทำงานหนัก โดยที่อีกซักกลับไปได้ถูกใช้งาน
การที่ให้น้องๆเรียนรู้คู่กันไป ทั้งหนังวิทยาศาสตร์ และ Fantasy จะทำให้น้องๆเค้ามีความ Creative ขึ้น
4. Optimism of Moral
แปลตรงตัวเลยคือ Fantasy movie เนี่ยจะช่วยทำให้จิตใจของคนมองไปในมุมที่บวกมากขึ้น (แต่เราว่าต้องเลือกประเภทของหนังและซีรีย์ด้วยนะ5555)
Dr. Christine Gockman ยังบอกอีกว่า สำหรับน้องๆหนู จะเป็นสร้างค่านิยมเกี่ยวกับ Good vs Bad (Hero Vs Villian) โดยที่ น้องๆจะกลั้่นกลองความคิดที่ลึกซึ้งกว่านั้นช่วง 11-16 ปี นั้นเราจะเห็นได้ว่า น้องๆที่อายุประมาณนั้นโตมากับอะไร ความคิดเชิงบวก หรือ ลบ จะแสดงออกมาให้เห็นง่ายขึ้น
Captain America - เพื่อนๆหลายคนคงมีหุ่นกล้ามของพี่คริส เป็นแรงบันดาลใจ ในเนื้อเรื่องก็ค่อนข้าง Inspire นะ
ประเภทของหนัง Fantasy มีอะไรบ้างน้าา เพื่อนๆเคยสงสัยกันไม๊ ?
อันนี้เค้ามี 10 ประเภทเลยแน่ะ ! ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลยยย
1.Epic Fantasy Films
ตัวอย่าง - Lord of the Rings, The Hobbit, Harry Potter,The Chronicles of Narnia,The Wizard of Oz
2. Horror Movies/Paranormal Thrillers - เช่นจักรวาลของเจมส์วาน The Conjuring หรือ Dracula
3. Disney Animated Features - อันนี้ไม่ต้องยกตัวอย่างน้า 555
4. Fairy Tale Films - Hansel and Gretel, Once Upon a Time, Edward Scissorhands
5. Superhero Movies - Marvels and DC
Edward Scissorhands - เป็นเวอชั่น Musical เราชอบเพลง Ice Dance ให้ความรู้สึก Positive Fantasy
6. Children’s Films เช่น Jumanji, Toy Story
7. Monster Movies - เช่น Jurassic park, Godzila
8. Christmas Movies - เราชอบแนวนี้มากกก
9. Magical Realism - ที่เพื่อนๆอาจนึกไม่ถึงก็คือ Life of Pi
10. Magical-Twist Romantic Comedies - ตัวอย่างที่ชัดเลยคือเรื่อง About time (ร้องให้เบย)
About time - ดู 3 รอบ ก็อบอุ่น (น้ำตาไหล 3 รอบ) ฉากคุณพ่อออำลาลูก
แล้วถ้าในเชิงการตลาด (Marketing) ต่างๆ ละ ทำให้เพื่อนๆติดใจ หรืออยากไปดูกันได้ยังไงน้า ?
1. Music Theme , Scores or Soundtrack
อันนี้โดยส่วนตัวเราชอบมากๆ อาจจะเพราะตัวเราเป็นคนเล่นดนตรีอยู่แล้ว
แต่ผลสำรวจจาก VentureHabour.com ได้บอกว่า เกือบราวๆ 60% ของผู้บรโภคหนังแนว Fantasy ให้ความสนใจกับผู้สร้างและกำกับตัวเพลงภาพยนต์
เราจะยกตัวอย่างของ Composer ชื่อดังๆ กับ หนัง Fantasy ที่เพื่อนๆต้องรู้จักแน่นอน (ลองไปหาฟังกันได้นะ ยิ่งเวลาทำงานเนี่ย มีสมาธิมากเลย)
- Hans Zimmer จะเป็นแนวแบบ Epic หน่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแนว Action Scifi Fantasy เช่น Interstella, Inception, Pirates of Carribean, Batman Dark knight. เพื่อนๆ รู้จักเกมส์ MOBA ชื่อ ROV ไม๊ ? รู้ไม๊ว่า ทีมของลุง Hans เนี่ย ได้เข้ามาทำเพลงประกอบเกมส์นี้ด้วยนะ !
- James Newton Howard - คนนี้จะเป็นแนว Magical Fantasy เช่น Fantastic Beast, Hunger Games
- James Horner - คนนี้ก็ดังจากการทำเพลงประกอบเรื่อง Titanic, Avartar (แต่คุณลุงเค้าเสียชีวิตไปตั้งแต่ 2015)
Hans Zimmer (ซ้าย) James Newton (ขวา) - ตอนที่ร่วมมือกันทำ Soundtrack Batman Dark Knight
2. Create their own Universe (หรือ Franchise)
หนังที่เป็นประเภท Fantasy จำเป็นมากๆที่ต้องมี Theme คงไม่ใช่แค่ ฮีโร่สู่กัวายร้าย หรือ พ่อมดปล่อยเวทมนต์สู้กัน
ไอเดียที่ดีที่สุดคือการสร้างจักรวาลของตัวเองมา แล้วทำหนัง Franchise ขึ้นมาอีกได้เรื่อยๆ ถ้าพูดถึงมาเวล ดิสนีย์ เราคงไม่แปลกใจ แต่อย่างหนังผี Horror film เช่น The Nun, Conjuring, Annabelle หรือที่เพื่อนๆรู้จักกันในชื่อ จักรวาลของเจมส์วานเนี่ย ก็สามารถขายตัว Franchise หนังได้เรื่อยๆเลยละ
James Wan Universe
3. Trailer Video Advertising
แน่นอนว่า Trailer ที่อลังการเนี่ยย ย่อมกระตุ้นต่อมความอยากรู้และความสนใจได้แน่นอน (เราก็คนนึงละ 555)
4. Showing cost and how hard in the making of the film
ยิ่งเห็นว่าหนังเรื่องนี้ลงทุนไปมากเท่าไร หรือไม่ก็ เบื้องหลังเล็กน้อยให้เห็นความทุ่มเทของนักแสดง อาจจะนำไปโปรโมทใน Trailer หรือ ที่หลายๆเรืองชอบใช้คือ ทำเหมือนว่า Behind the scene หลุดออกมา
แค่นี้ก็ดึงดูดความสนใจได้พอสมควรเลยละ
5. Be Smart With Press Junkets
นอกจากสื่อหลักๆที่ใช้โปรโมท หรือ พรีวิว ภาพยนต์แล้ว
การที่จะเข้าผู้ชมได้ง่ายยยยที่สุดคือการโปรโมทผ่านทาง Social media influencer, Blogger, Youtuber ที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็น Journalist แต่มีพลังในการโน้มน้าวมากพอ หรือเป็นบุคคลที่ Popular ในกลุ่มเป้าหมาย
เป็นไงกันบ้างงงเพื่อนๆ ? พอจะเข้าถึงหนังแนว Fantasy ได้มากขึ้นเนอะะะ (เราหวังว่า 555)
หวังว่าเพื่อนๆคงจะสนุกกับการอ่านแบบรวดเร็วเหมือนเดิมน้าาาในหัวข้อใหม่ๆ ที่จบในตอน ฮ๋าาาๆ
 เจอกันบทความหน้าน้าเพื่อนๆ !
โฆษณา