11 พ.ค. 2020 เวลา 00:24 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
MCFL
ย้อนเวลาหาอดีต Time machine to Resistivity log EP5
ย้อนกลับไปดู MSFL ที่พัฒนามาก่อนหน้า เราพบปัญหาอยู่ 2 อย่างที่ทิ้งท้ายเอาไว้ สรุปย่อๆนะ อารมณ์ประมาณ์นี้
geometry หรือ รูปร่างหน้าตาของ pad (แผ่นยาง) และ electrode array ถูกสร้างมาจากโรงงาน มันปรับเปลี่ยนไม่ได้ แปลว่า เครื่องมือมันก็จะวัด Rxo ได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมหนึ่งที่ pad มันถูกออกแบบมา (mud cake thickness, Rmc, Rxo, ความลึกของ invaded zone, etc)
การวัดของ MSFL มันเป็นเสี้ยวทรงกลม แต่หลุมเรามันทรงกระบอก มันเลยมีประเด็นความคลาดเคลื่อนจากการวัดเนื่องจากเครื่องวันไม่ได้วัดตามแนวตั้งฉากกับผนังหลุม
(อ่านรายละเอียดจากท้ายของ บทความเดิม MSFL นะครับ ย้อนความหลังมาก เดี๋ยวคนที่อ่านมาแล้วจะเบื่อ)
แล้วเราก็มาถึง microresistivity เครื่องมือสุดท้ายกันแล้ว
Microresistivity
Microlog
Microlaterolog
Proximity log
Microspherericle log
Microcylendricle log
ชื่อเต็มๆคือ MicroCylindrically Focused Log และ มีแค่ Schlumberger เจ้าเดียวที่ทำออกมาขาย (ให้บริการ) เจ้าอื่นมีแค่ MSFL เป็นมาตราฐาน ซึ่งในความเห็นของผมนะ ผมก็ว่า MSFL ก็อ่านค่าได้โอเคแล้วแหละ ไม่ถูกต้องนัก 100% แต่ก็สามารถนำไปใช้ต่อได้ และ เป็นที่ยอมรับกันของนักปิโตรฟิสิกส์ทั่วโลก
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะวิศวกรก็อยากจะเอามาพูดถึงให้จบๆสุดๆกันไป
ก่อนอื่นเลย เรามาดูรูปร่างหน้าตาของเจ้า pad ที่ติดตั้งขั้วไฟฟ้ากันเสียก่อน เจ้า pad เนี้ย แทนที่จะทำด้วยยาง ฝังขั้วไฟฟ้าแบบ microresistivity รุ่นก่อนหน้าทั้ง 4 ชนิด MCFL ใช้ pad ที่ทำด้วยโลหะ นัยว่า เพื่อการสัมผัสที่แน่นแนบ (firm) ขึ้น
ไหนๆก็มี pad ทำด้วยโลหะแล้ว วิศวกรที่ออกแบบ MCFL ก็เลยเอาชุดเครื่องมือที่ใช้วัดความหนาแน่นชั้นหินติดมาบน pad เดียวกันนี้เลย อารมณ์ 2 in 1 (ไปอ่าน LDT Litho Density Tool เพิ่มเติมได้ครับ เครื่องมือและหลักการเดียวกันเดี๊ยะ แต่ขนาดเล็กกว่า ใช้อ่าน ความหนาแน่นของ invaded zone)
หน้าตา pad มันเลยเป็นแบบนี้ครับ ... อ่านต่อ ... https://nongferndaddy.com/mcfl/

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา