Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Wild Chronicles
•
ติดตาม
13 พ.ค. 2020 เวลา 09:31 • ประวัติศาสตร์
*** นาซี และการสังหารหมู่ชาวยิว ***
จากหลายกรณีที่ผ่านมา ผมพบว่ายังมีคนไม่รู้เรื่องการสังหารหมู่ชาวยิวของนาซีอีกมาก และไม่รู้ว่ามันต่างจากการสังหารหมู่อื่นๆ อย่างไร ดังนั้นผมเลยหยิบงานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาวยิวของตัวเองมาลงใหม่หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะครับ (งานเขียนนี้มาจากหนังสือเรื่อง "โลหิตอิสราเอล" ในบท "กันดารวิถี" ซึ่งพูดถึงการสังหารหมู่ดังกล่าว)
ระหว่างปี 1941-1945 เป็นบทตอนอันโหดร้ายของประวัติศาสตร์ชาวยิว เพราะได้เกิดเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกเขาครั้งใหญ่ เรียกว่าฮอโลคอสต์ (Holocaust แปลว่าการล้างชาติ) เหตุการณ์นี้สังหารชาวยิวกว่า 6 ล้านคน การกระทำดังกล่าวดำเนินไปโดยพรรคนาซี ของประเทศเยอรมัน
...แต่ทำไมพฤติการณ์อันโหดร้ายนี้จึงเกิดขึ้นในโลกได้ล่ะ? สัญลักษณ์นาซีน่ากลัวขนาดนั้นเทียวหรือ? การใช้สัญลักษณ์นี้อยู่บ่อยๆ เป็นเรื่องผิดถูกอย่างไร? เราคงต้องไปหาคำตอบกัน
เรื่องนี้ต้องอธิบายไปถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เยอรมันตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวบ้านลำบากยากจน ขาดความหวังในการดำรงชีวิต
ขณะนั้นมีศิลปินคนหนึ่งชื่อ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ รู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับสภาพเลวร้ายของประเทศ เขาเชื่อว่าในการสร้างชาติขึ้นใหม่นั้น ประการแรกจะต้องสร้างความภูมิใจแก่คนในชาติ ประการที่สองจะต้องทำให้คนในชาติมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน
เพื่อตอบโจทย์ทั้งสองข้อ ฮิตเลอร์ได้หยิบเอาสิ่งที่อยู่ในใจของปวงชนขึ้นมาสร้างเป็นเรื่องราวขึ้น เขาบอกแก่ผู้คนว่าทุกคนควรภูมิใจในตัวเอง เพราะชนชาติเยอรมันนั้นเป็นชาวอารยัน
เขาบอกว่า ชาวอารยันเป็นชนชาติที่ล้ำเลิศที่สุด มีสติปัญญา และกำลังกายสูงส่งกว่าชนชาติอื่นๆ (ชาวอารยันคือพวกแขกขาวอาศัยอยู่มากในอินเดียเหนือ อิหร่าน และบางส่วนของยุโรป)
นอกจากนั้นการต่อสู้ระหว่างเชื้อชาติ เพื่อให้ยีนส์ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่รอดนั้นมีอยู่จริง (เป็นการนำทฤษฎีวิวัฒนาการของของชาลส์ ดาร์วินมาใช้อธิบายอย่างผิดๆ) ความคิดนี้ได้รับการยืนยันจากยุคล่าอาณานิคม ที่ฝรั่งอารยันเดินเรือไปยึดเมืองขึ้นทั่วโลก และทำลาย หรือจับเอาเผ่าอื่นๆ เป็นทาสของตน
อีกประการหนึ่งฮิตเลอร์โทษว่าความเลวร้ายทั้งปวงที่เยอรมันประสบอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นมีสาเหตุมาจาก “ยิว”
ตอนนั้นยิวแบ่งเป็นหลายกลุ่ม มีหลักๆ สี่พวกได้แก่
1. ยิวออร์โธดอกซ์ (หัวอนุรักษ์) เคร่งศาสนา เน้นรักษาขนบธรรมเนียมยิว
2. ยิวสายกลาง หัวก้าวหน้า เน้นผสมกลมกลืนไปกับคนในประเทศที่ตนอาศัยอยู่ อาจจะเคร่งศาสนาหรือไม่ก็ได้
3
3. ยิวไซออนนิสต์ หัวก้าวหน้า มักไม่เคร่งหรือไม่เอาศาสนา หัวรุนแรง ชาตินิยมจัด มุ่งจะตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมาในปาเลสไตน์ให้ได้
4. ยิวคอมมิวนิสต์ เกลียดศาสนา เกลียดชาติ เกลียดความเป็นยิว ไม่ชอบอะไรที่ชนชั้นปกครองเอามาเป็นข้ออ้างกดขี่ชนชั้นแรงงาน
ตอนนั้นมียิวประมาณ 12 ล้านคน มีประมาณ 3 ล้านคนอยู่ในรัสเซีย 6 ล้านอยู่ในยุโรปประเทศอื่นๆ 2 ล้านคนอยู่ในอเมริกา อีก 1 ล้านกระจายไปทั่วโลก ยิวที่ตกอยู่ในรัสเซียจะเป็นคอมมิวนิสต์มาก ที่เหลือจะมีแนวคิดปนๆ กัน
ในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น ยิวไซออนนิสต์กระทำตนเป็นนกสองหัว เข้าข้างทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรและมหาอำนาจกลาง และเมื่อเห็นชัดว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะชนะก็เข้าข้างเต็มที่ เพื่อต่อรองเอาผลประโยชน์สูงสุด
ส่วนยิวคอมมิวนิสต์ทำการเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไปยังชาติอื่นๆ พวกนี้ดุกว่ายิวไซออนนิสต์อีก ถึงกับแบนศาสนา ทำลายคัมภีร์โบราณของตนเอง จับผู้นำยิวที่ไม่เห็นด้วยคุมขัง เมื่อแพร่มาเยอรมันก็ลามปามจะให้ชนชั้นกรรมาชีพในเยอรมันปฏิวัติด้วย เป็นความวุ่นวายสับสนทำให้คนเยอรมันรังเกียจ
ฮิตเลอร์ยึดเอาพฤติกรรมนกสองหัวของยิวไซออนนิสต์ และการรุกรานทางลัทธิการเมืองของยิวคอมมิวนิสต์เป็นก้อนเดียวกัน บอกว่า “ยิวหักหลังเยอรมัน”
เขาไม่มองว่ายิวสายกลาง (ซึ่งเป็นยิวส่วนใหญ่ในเยอรมัน) ที่เคยออกไปรบปกป้องประเทศในสงครามโลกนั้นก็มีมาก ใบปลิวของยิวเยอรมันใบนี้เขียนว่า “ยิว 12,000 คน ตายเพื่อปกป้องปิตุภูมิ” มันมีขึ้นเพื่อต่อต้านกระแสเกลียดยิวที่คุกรุ่นในเยอรมันยุคนั้น
1
แม้อุดมการณ์ของฮิตเลอร์จะมีช่องโหว่อันไร้เหตุผลนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเอามาพูดให้คนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งฟังแล้วหลายคนกลับเชื่อ เพราะมันฟังแล้วสบายใจ มันง่ายที่จะเชื่อ เพราะมันยืนยันความเชื่อเก่าที่ฝังรากลึกว่ายิวเลว ยิวชั่ว ที่เชื่อต่อๆ มาตั้งแต่ยุคกลาง
...ความเชื่อของฮิตเลอร์ได้ปลดปล่อยพวกเยอรมันที่กำลังบอบช้ำจากความรู้สึกผิดที่รบแพ้ (ทำให้เชื่อว่าไม่ได้รบแพ้เพราะฝีมือ แต่เพราะถูกหักหลัง) นอกจากนั้นยังเสริมกำลังใจ สร้างความเชื่อมั่น ชี้ให้เห็นความหวังที่จะสร้างชาติพันธุ์ให้เจริญก้าวหน้ากลับมาอีก
คนเยอรมันจำนวนมากถูกอกถูกใจฮิตเลอร์ยิ่งนัก จึงสนับสนุนฮิตเลอร์และพรรคการเมืองของเขาชื่อพรรคนาซี จนฮิตเลอร์สามารถขึ้นมาปกครองบ้านเมือง (ตราสวัสติกะที่เห็นเป็นสัญลักษณ์ของพรรคนาซี และเป็นธงชาติเยอรมันชั่วระยะหนึ่ง)
แม้ความคิดเหยียดชาติของฮิตเลอร์จะชั่วร้าย แต่ก็สร้างพลังขึ้นมาก พลังคือพลัง มันทำให้เยอรมันฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นมหาอำนาจที่มาท้าทายฝ่ายตะวันตกอีกครั้ง
ในช่วงแรกของการขึ้นสู่อำนาจนั้น พรรคนาซียังไม่มีความคิดว่าจะต้องจัดการกับ “ปัญหายิว” ไปทางใดทางหนึ่งเด็ดขาด เพียงคิดว่าต้องการสร้างสังคมอันบริสุทธิ์ของชนชาติอารยันอันล้ำเลิศขึ้น
พวกเขามองว่าศัตรูที่จะขัดขวางสังคมนี้มีอยู่สามประเภท คือ
1. “ศัตรูทางการเมือง” ได้แก่ พวกที่เชื่อในลัทธิการเมืองอื่นๆ เช่น กลุ่มคอมมิวนิสต์ หรือกลุ่มคลั่งศาสนา
2. “ศัตรูทางศีลธรรม” ได้แก่ พวกที่ดำรงชีวิตผิดจากจารีตของสังคม เช่น กลุ่มอาชญากร หรือกะเทย
3. “ศัตรูทางสายเลือด” ได้แก่ พวกที่ไม่ใช่ชาวอารยัน เช่น ชาวยิปซี ชาวยิว
ศัตรูสองพวกแรกนั้นยังสามารถจับเข้าค่ายล้างสมองให้กลับมาเป็นประชาชนเยอรมันที่ดีได้ แต่ศัตรูประเภทที่สามจัดว่าหมดทางเยียวยา เพราะถึงอย่างไรก็แก้ยีนส์ในตัวมิได้ จำเป็นต้องกำจัดทิ้งเสีย (ภาพแนบนี้คือชาวยิปซีในยุคนั้น)
ตอนแรกรัฐบาลนาซียังทำเพียงกดดันให้ยิวอพยพออกจากเยอรมันเอง โดยริดรอนสิทธิในการทำธุรกิจและการศึกษา ต่อมาก็รุกหนักขึ้นเรื่อยๆ โดยออกกฎห้ามการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ
ภาพแนบคือแผนภูมิที่ใช้แบ่งชาวเยอรมันบริสุทธิ์จากยิว ตามภาพนี้วงกลมสีขาวคือเยอรมัน วงกลมสีดำคือยิว
ทางซ้ายสุดหมายถึงผู้เป็น “เยอรมันบริสุทธิ์” จะต้องมีปู่ย่าตายายเป็นเยอรมันสิ้น; ทางขวาสุดสองแถว หมายถึงผู้เป็น “ยิว” คือมีปู่ย่าตายายทั้งหมดหรือสามในสี่เป็นยิว; แถวกลางคือผู้มีปู่ย่าตายายหนึ่งในสี่ หรือสองในสี่เป็นยิว พวกนี้จัดเป็น “กลุ่มเลือดผสม” รัฐบาลนาซีใช้เกณฑ์เหล่านี้ในการให้สิทธิประชาชนต่างๆ กันไป
1
ขณะที่การเหยียดผิวกำลังส่อเค้าว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชาวยิวที่ร่ำรวยก็พากันหาช่องทางอพยพออกไปแต่เนิ่นๆ ส่วนที่หลงเหลืออยู่ในเยอรมันมักเป็นพวกยากจนไร้ทางเลือก
พรรคนาซียังวางแผนจะบังคับอพยพยิวที่เหลือออกจากยุโรปให้หมด โดยมีตัวเลือกว่าจะเอาไปปล่อยอาณานิคมของเยอรมันในแอฟริกา หรือจะขออังกฤษจับไปปล่อยปาเลสไตน์ หรือออสเตรเลีย หรือจะไปปล่อยที่มาดากัสการ์ ฯลฯ (ในจำนวนนี้มาดากัสการ์น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะอยู่ห่างไกลความเจริญ ไกลหูไกลตา)
หากไม่ทันที่นาซีจะทำการอย่างใด นโยบายการแผ่ขยายอำนาจอย่างดุเดือดของเขาก็ขัดแย้งกับมหาอำนาจเก่าจนเกิดสงครามโลก
สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้นเพราะฮิตเลอร์บุกโปแลนด์ เมื่อยึดโปแลนด์ได้แล้วเขากลับพบว่ามีภาระต้องจัดการกับประชากรยิวสามล้านคนที่นั่น
ความเกลียดชังเห็นยิวเป็นศัตรู... ความกลัวยิวโปแลนด์จะลุกฮือขึ้นต่อต้าน... ความระแวงว่าหากปล่อยยิวไปประเทศอื่นมันจะกลับมาแก้แค้น... ทำให้พวกผู้นำนาซีตัดสินใจว่า ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่จะแก้ปัญหายิวนอกจาก “ฆ่าพวกมันให้หมด”
ด้วยเหตุนี้กระบวนการสังหารยิวจึงถือกำเนิดขึ้น ท่ามกลางนโยบายที่เรียกว่า “การตัดสินใจสุดท้าย” (หมายถึงการตัดสินใจสุดท้ายในการตอบคำถามเกี่ยวกับยิว)
มีคำกล่าวของโจเซฟ เกิบเบลส์ ผู้นำฝ่ายพลเรือนของนาซีที่ว่า “การทำลายล้างพวกยิวเป็นสิ่งที่จำเป็น เราไม่อาจปล่อยให้อารมณ์ความสงสารมาบิดเบือนสิ่งนี้ได้ เราควรสงสารชาวเยอรมันด้วยกันมากกว่า เพราะหากชาวเยอรมัน 160,000 คน ต้องพลีชีพในสมรภูมิตะวันออก ผู้ที่ชักใยเหตุการณ์นี้ (หมายถึงพวกยิว) ก็ต้องรับผิดชอบด้วยชีวิต!”
และคำกล่าวไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ผู้บัญชาการทหารของนาซี ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบสำคัญต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ว่า “เรามีหน้าที่ต้องฆ่าคนที่อยากฆ่าเรา” และ “มาถึงคำถามที่ว่า 'เราจำต้องฆ่าเด็กกับผู้หญิงด้วยหรือเปล่า?' [...] นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก เป็นงานที่ยากลำบาก มันคือการฆ่า หรือปล่อยให้พวกรอดมันกลับมาล้างแค้นลูกหลานของเรานั่นเอง” (ภาพแนบคือ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์)
นโยบายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวนั้นเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมากแม้ในหมู่พรรคนาซี โดยฝ่ายต่อต้านชูประเด็นว่าไม่ควรฆ่ายิวทั้งหมด เพราะสิ้นเปลืองทรัพยากร ทั้งยิวยังมีประโยชน์ในฐานะแรงงานทาส
แต่ในที่สุดฝ่ายสนับสนุนนโยบายก็ชนะด้วยเหตุผลว่ายิวเป็นเนื้อร้าย เก็บไว้ก็เหมือนเก็บหอกข้างแคร่ ชอบที่จะกำจัดให้หมดมิให้มาสร้างภัยพิบัติได้
เราอาจเข้าใจแรงบันดาลใจของนโยบาย “การตัดสินใจสุดท้าย” นี้ จากอุดมการณ์นาซี ที่มองความขัดแย้งในโลกเป็นสงครามระหว่างเชื้อชาติ จึงควรกำจัดสายพันธุ์ที่ต่ำต้อย เพื่อชำระยีนส์ของมนุษย์ให้บริสุทธิ์แข็งแรง (การทำลายทางชาติพันธุ์นั้นไม่ได้เกิดกับยิวอย่างเดียว พวกสลาฟและยิปซีที่ถูกมองเป็นสายพันธุ์เลวก็ถูกกวาดล้างไปหลายล้านคน)
เยอรมันนั้นเป็นชาติที่ชอบคิดชอบทำอะไรอย่างเป็นระบบ เรียนหนังสือก็เป็นระบบ สร้างรถก็เป็นระบบ เล่นฟุตบอลก็เป็นระบบ
แม้ยามประชาชาติถูกปลุกปั่นจนวิปริต พรรคนาซีก็ยังคิดการทำชั่วอย่างมีระบบ ระบบฆ่ายิวนั้นมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง แรกสุดนาซีได้ตั้งทหารขึ้นหน่วยหนึ่งชื่อ ไอน์ซาร์ดกรุปเปน (แปลว่าหน่วยปฏิบัติการ) ให้มีหน้าที่สังหารศัตรูของชาติเป็นหลัก สมาชิกส่วนใหญ่ของหน่วยนี้มาจากพวก SS (SS คือกองกำลังกึ่งทหารที่มีชื่อเสียงในความโหดเหี้ยม ถูกรัฐบาลนาซีล้างสมองมาอย่างดี สามารถฆ่าคนเพื่อรัฐบาลได้ไม่กระพริบตา)
หน่วยไอน์ซาร์ดกรุปเปนจะกระจัดกระจายไปตามหมู่บ้านต่างๆ ที่นาซีบุกถึง แล้วจับชาวยิวหรือยิปซีที่นั่นฆ่าเสีย ขั้นตอนการสังหารเริ่มจากไอน์ซาร์ดกรุปเปนจี้ยิวพาไปในที่โล่งกว้าง ...ที่นั่นจะมีหลุมใหญ่ขุดเตรียมอยู่แล้ว หรือจะมีการบังคับให้ชาวยิวกลุ่มนั้นแหละขุดหลุมขึ้น...
เมื่อขุดหลุมเสร็จ พวกไอน์ซาร์ดกรุปเปนจะยึดของมีค่าจากเหยื่อ โดยอาจจะให้เหยื่อแก้ผ้า พร้อมตรวจสอบให้แน่ใจว่ามิได้แอบซ่อนของใดๆ ไว้อีก
...จากนั้นก็มีอยู่สองแบบ คือให้ชาวยิวไปยืนเรียงอยู่ปากหลุมแล้วยิงให้ตกลงไป หรือให้นอนอัดๆ กันในหลุมค่อยยิง ...ทำเช่นนี้โดยไม่ละเว้นผู้หญิงหรือเด็ก
วิธีการสังหารยิวดังกล่าวมีประสิทธิภาพต่ำ และสิ้นเปลืองทรัพยากร ที่แน่ๆ คือเปลืองกระสุน เปลืองเวลา นอกจากนั้นถึงพวกไอน์ซาร์ดกรุปเปนจะโหดร้ายแค่ไหนก็ยังเป็นมนุษย์ ยามต้องมาทำหน้าที่ที่กระทบต่อศีลธรรมอย่างการสังหารผู้หญิงหรือเด็กบริสุทธิ์ หลายคนก็จิตตก คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บป่วยไม่อาจทำหน้าที่ต่อได้
ภาพแนบ: เด็กวัยรุ่นยืนตรงหน้าซากศพของครอบครัวก่อนจะถูกทหารเยอรมันข้างหลังยิงตาย
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ดร.อัลเบิร์ต วิดมันน์ นักเคมีมือเอกแห่งกองกำลัง SS จึงรับหน้าที่วิจัยหาวิธีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม วิดมันน์เริ่มจากจับคนป่วยวิกลจริตจากโรงพยาบาลมายี่สิบห้าคน (พวกนาซีมักฆ่าคนบ้า เพราะเป็นจุดด่างพร้อยต่อการธำรงเผ่าพันธุ์อารยันบริสุทธิ์) เอาไปมัดไว้ในป่า จึงระเบิดสังหาร
ปรากฏว่าวิธีดังกล่าวไม่ดี เพราะสิ้นเปลืองและยากที่จะฆ่าคนให้ตายหมดได้ด้วยระเบิดลูกเดียว...
วิดมันน์จึงเสนอไอเดียที่สองได้แก่การฆ่าคนด้วยก๊าซพิษ โดยเลือกก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์จากไอเสียรถยนต์ต่อเข้าไปในห้องปิดตายที่มีคนบ้าถูกมัดขังไว้
ผลการทดลองคือคนบ้าสำลักควัน จากนั้นเกิดอาการเซื่องซึม เคลิบเคลิ้ม หายใจติดขัด สิ้นสติและตายหมดในเวลาประมาณสามสิบนาที นับว่าต้นทุนต่ำมีประสิทธิภาพมาก
เพื่อต่อยอดไอเดียนี้ พวกนาซีได้จัดให้สร้าง “รถก๊าซ” ยาว 4.5 - 5.8 เมตร ให้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์สำหรับใส่คน แล้วต่อท่อไอเสียจากรถเข้าไปในตู้นั้น รถก๊าซแต่ละคันสามารถยัดนักโทษได้คราวละ 80-150 คน ขึ้นกับความยาวรถ
ขั้นตอนคือพวกไอน์ซาร์ดกรุปเปนจะจับชาวยิวมาอัดไว้ในรถก๊าซ >> รมควันให้ตายขณะขับไปยังหลุมเป้าหมาย >> เมื่อถึงหลุมจึงโยนศพลงฝังอย่างสะดวก
วิธีนี้แม้ดีกว่าการไล่ยิงตรงๆ แต่ก็ยังมีข้อเสียอีก คือ:
1. “ช้า” ...กว่าพวกยิวจะตายหมดก็ต้องใช้เวลายี่สิบสามสิบนาทีทีเดียว...
2. “เสียงดัง” พวกยิวทราบว่าจะต้องตายมักกรีดร้องทุรนทุรายขอชีวิต ทำให้พลทหารขับรถนั้นเดือดร้อนรำคาญใจ จิตตกทำงานไม่ได้อีก
...ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป...
ในที่สุดนาซีก็สามารถคิดวิธีกำจัดยิวที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่ารถก๊าซออก มันคือการตั้ง “ค่าย” สำหรับสังหารยิวโดยเฉพาะ
ขั้นตอนคือ ชาวยิวตามสลัมหรือค่ายกักกันต่างๆ จะถูกจับยัดใส่ตู้รถไฟขนมายังค่ายเหล่านี้โดยหลอกให้เข้าใจว่าเป็นเพียงค่ายกักกันแห่งหนึ่งเท่านั้น ...เมื่อถึงจุดหมายพวกเขาจะถูกสั่งให้ “ถอดเสื้อผ้า” เพื่อ “อาบน้ำ” ในบางแห่งจะมีการแจกสบู่และผ้าเช็ดตัวให้ตายใจ
ภาพแนบ: ทหารนาซีบังคับให้ผู้หญิงยิวแก้ผ้า
...จากนั้นพวกยิวจะถูกกวาดต้อนไปยังห้องใหญ่ซึ่งมีป้ายเขียนว่า “ห้องอาบน้ำ” พวกเขามักจะดีใจกัน เพราะตอนอยู่ตู้รถไฟนั้น ได้รับความร้อนทรมานมานานร่างกายกำลังขาดน้ำอย่างแรง
...และแล้วห้องจะถูกปิดล็อค
...ผู้คุมจะปล่อยก๊าซพิษออกมาใส่พวกยิวที่กำลังเปลือยกายนั้น
นาซีใช้ก๊าซหลายประเภท ทั้งไฮโดรเจนไซยาไนด์ หรือซาริน ล้วนมีประสิทธิภาพทำให้คนตายอย่างรวดเร็วด้วยระบบหายใจล้มเหลว
...เหยื่อที่อยู่ใกล้จุดปล่อยก๊าซจะตายทันที เหยื่อที่อยู่ไกลจุดปล่อยก๊าซจะต้องทรมานเป็นพิเศษ พวกเขาจะดิ้นรนกรีดร้อง เอาตัวรอด
...และตายหมดในยี่สิบนาที...
จากนั้นทหารเยอรมันจะบังคับให้นักโทษยิวอีกกลุ่มเข้ามาตัดผมศพเหยื่อผู้หญิง และหาฟันทองคำ หรือวัตถุมีค่าอื่นๆ ที่มีซ่อนในศพไปใช้
นักโทษยิวกลุ่มดังกล่าวจะต้องทำความสะอาดคราบเลือด และสิ่งสกปรกจากคนตายเพื่อให้ห้องรมก๊าซมีความสะอาดอยู่เสมอ จึงนำศพเหยื่อไปฝังหรือเข้าเตาเผา แน่นอนว่าหากไม่ปฏิบัติตามย่อมถูกสังหารด้วย
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยวิธีรมก๊าซนี้มีประสิทธิภาพมาก สามารถฆ่าได้คราวละ 800-1,200 คนต่อการรมหนึ่งครั้ง ค่ายหนึ่งสามารถรมได้ถึงห้าครั้งต่อวัน
...สงครามโลกครั้งที่สองจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายนาซี ฮิตเลอร์และเหล่าผู้นำสำคัญล้วนล้มตายชดใช้กรรมกันเกือบหมด แต่ก่อนจะสิ้นสงครามนาซีก็สามารถสังหารคนไปมากกว่าสองล้านคนด้วยระบบค่ายสังหาร
...ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใดในประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นระบบเท่านี้อีกแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในเรื่องนี้คือ ขณะที่พวกนาซีกำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนอื่นนั้น ...พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดี...
ในยุคนาซีนั้น ประชาชนเยอรมันส่วนใหญ่พอทราบว่ารัฐบาลกำลังกำจัดพวกยิวอยู่ แต่ไม่ทราบวิธีการโดยละเอียด ต่างคนต่างเมินเฉยกับเรื่องดังกล่าวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทหาร พวกเขาคิดว่าการกวาดล้างยิวเป็นสิ่งดี
แต่พวกเขาไม่ทราบว่าฝ่ายปฏิบัติการที่ทำหน้าที่นี้จริงๆ ต้องเจออะไรบ้าง
...แน่นอนว่าทหารบางคนซาดิสต์สนุกสนานกับการสังหารเหยื่อ แต่นั่นย่อมเป็นส่วนน้อย ทหารส่วนใหญ่จิตใจปกติย่อมอึดอัดคับข้องกับภารกิจที่ชั่วร้ายอย่างการฆ่าคนบริสุทธิ์โดยไม่เลือกเด็กสตรี หลายคนทำแล้วก็จิตตก เจ็บป่วย ไม่อาจทำงานต่อ
ท่ามกลางความโหดร้ายนี้ ผู้บัญชาการอย่างฮิมม์เลอร์ยังปรารถนาให้ทหารของเขาคงความ “เป็นคนดี” (อุดมการณ์แห่งชนชาติอันสูงส่งย่อมรวมถึงการมีใจสูงด้วย) จึงพยายามปรับทัศนคติว่า การทนรับความรู้สึกผิดนั้นคือความ “เสียสละ” เพราะการกวาดล้างยิวเป็นสิ่งที่ “ใครสักคน” ต้องทำเพื่อ “ส่วนรวม”
มีหลักฐานการยื่นทางเลือกให้เหล่าทหารสามารถหลีกเลี่ยงภารกิจประเภทนี้ได้ อย่างไรก็ตามทหารที่เลือกหลีกเลี่ยงกลับมีเพียงน้อยนิด
...ไม่ใช่เพราะพวกเขาซาดิสต์ แต่เพราะหากไม่ทำเพื่อนของเขาก็ต้องมารับเคราะห์ทำแทน...
...และอาจถูกมองว่า “อ่อนแอ”...
...และการฆ่าชาวยิวคือการปกป้องชาวเยอรมัน...
...ในลักษณะนี้เหล่าทหารต่างถูกความกดดันจากกลุ่มบีบบังคับให้ต้องทำงานอันชั่วร้าย
...แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรมดังกล่าว... มีบันทึกจากชาวยิวหลายกลุ่มระบุว่าพวกเขารอดชีวิตมาได้ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากทหารเยอรมันที่ไม่ทราบแม้แต่ชื่อ
ชาวยิวกลุ่มหนึ่งให้การว่า ขณะที่พวกเขาทนทรมานในค่ายแรงงานนั้น มีทหารเยอรมันคนหนึ่งได้แอบเอาอาหารและน้ำมาให้โดยไม่หวังผลตอบแทน
ชาวยิวอีกกลุ่มให้การว่า พวกเขาเคยต้องหลบอยู่ในบ้านเพื่อหนีการกวาดล้าง ตอนนั้นทหารคนหนึ่งได้ค้นพบที่ซ่อนพวกเขาแล้ว ทั้งสองฝ่ายจ้องกันตาค้างไม่พูดอะไร แต่แทนที่ทหารคนนั้นจะเข้าจับกุม กลับตะโกนแจ้งเพื่อนว่า “ตรงนี้ไม่มีอะไร!” จึงเดินจากไป ทำให้พวกเขารอดมาได้
อีกบันทึกบอกว่าตอนที่นาซีจะเข้ามาจับคนจากสลัมยิวไปเข้าค่ายสังหาร มีทหารเยอรมันคนหนึ่งขับรถบรรทุกมาก่นด่าขับไล่พวกยิวให้ขึ้นไปอัดบนรถบรรทุกของตนเท่าที่ขึ้นได้
...ทุกคนต่างหวาดกลัวกันมาก แต่แทนที่ทหารนั้นจะเอาพวกเขาไปยังรถไฟ กลับเอาไปหลบซ่อนไว้ในที่ลับก่อนจะปล่อยตัว ทำให้เหล่าชาวยิวทราบภายหลังว่าการก่นด่านั้นคือการ “แกล้งทำ” เพื่อช่วยชีวิตโดยไม่ให้ผิดสังเกต
เพราะอะไรสิ่งชั่วร้ายอย่างการสังหารคนบริสุทธิ์เป็นล้านๆ ด้วยความผิดเพียงเพราะมีสายเลือดต่างกัน จึงเป็นสิ่งที่คนเยอรมันยอมรับได้? เพราะอะไรสิ่งนี้จึงปรากฏซ้ำๆ อยู่หลายครั้งในหลายประเทศ?
ประวัติศาสตร์บอกเราว่ามันล้วนเกิดขึ้นจากผู้มีอำนาจมาปลุกปั่นประชาชนให้เป็นไป...
ผู้มีอำนาจแต่ละคนก็จะพูดไปคนละอย่าง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาต่างพูดในเรื่องเดียวกัน
...นั่นคือเรื่องที่คนอยากฟัง...
คำพูดของพวกเขามีไม่กี่เรื่อง เช่น...
...มันมีบางชนชั้น มีคนบางกลุ่มที่กดขี่พวกคุณอยู่ ถ้ากำจัดคนเหล่านี้ได้ ชีวิตคุณจะดีขึ้น
...มันมีคนต่างชาติที่มาคุกคามชาติของคุณ ถ้ากำจัดพวกมันได้ คุณจะปลอดภัย
...มันมีคนต่างศาสนาที่มาทำลายศาสนาของคุณ ถ้ากำจัดมันเสีย คุณจะได้ขึ้นสวรรค์
ความลำบากของคนนั้นมีได้หลายสาเหตุ แต่มันเป็นเรื่องง่ายที่จะโทษว่าสาเหตุนั้นมาจากคนอื่น ...มันฟังแล้วสบายใจกว่า...
คำพูดเหล่านี้มักมีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่มักถูกบิดเบือนเหมารวมเพื่อให้เข้าใจง่าย เช่นบิดเบือนว่าชาวยิวมันก็เลวทั้งหมดนั่นแหละ ความยากจนในโลกล้วนมาจากชนชั้นกลางนั่นแหละ ทั้งหมดเป็นการเอาความโลภ ความโกรธ และความกลัว มาล่อให้คนคล้อยตาม
ผู้มีอำนาจย่อมปลุกปั่นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคม เมื่อเปลี่ยนแปลงได้แล้วก็ไม่แน่ว่าสังคมจะก้าวหน้าหรือถอยหลัง ผลประโยชน์อาจตกมาสู่ประชาชนหรือไม่ก็ได้ แต่ย่อมตกสู่ผู้มีอำนาจแน่นอน
ดังนั้นบทเรียนจากประวัติศาสตร์เรื่องนี้สอนเราว่า:
...อย่ายกมโนธรรมให้แก่ผู้อื่น...
...อย่ายกอำนาจการตัดสินใจให้แก่ผู้อื่น...
...อย่าให้ผู้อื่นมาตัดสินความถูกต้องแทนคุณ...
ยามที่สังคมสับสนวุ่นวาย ฝักฝ่ายต่างๆ ชิงความเป็นใหญ่ ย่อมมีคำชวนเชื่อหลากหลายมาโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกข้าง
ในยามนั้นจงตัดสินเรื่องราวต่างๆ ด้วยใจเป็นกลาง อย่าเอนเอียงไปตามกระแสของโลก
...ทหารนาซีที่สังหารชาวยิวแล้วรู้สึกสนุกนั้นคือคนบ้า
...ทหารนาซีที่สังหารชาวยิวแล้วรู้สึกผิดนั้นคือคนอ่อนแอ
...ทหารนาซีที่ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือชาวยิวโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จึงเป็นผู้ที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง
เขาผู้นั้นไม่หวั่นไหวต่อความบ้าคลั่งของคนรอบข้าง ใช้คุณธรรมพื้นฐานเป็นเครื่องชี้นำ สร้างสิ่งดีงามขึ้นในโลก
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา
https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat
ได้เลยจ้า
1
16 บันทึก
15
2
12
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
งาน พ.ค. 2020
16
15
2
12
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย