15 พ.ค. 2020 เวลา 09:07 • ประวัติศาสตร์
*** People's Crusade ***
มหาสงครามครูเสดซึ่งชาวคริสต์ และมุสลิมห้ำหั่นช่วงชิงดินแดนแห่งพันธสัญญา "เยรูซาเล็ม" กันในระยะเวลากว่า 200 ปีนั้น มิได้เริ่มต้นขึ้นโดยกองทัพอัศวิน หากแต่เป็นขบวนอันมหึมาของเด็ก สตรี คนชรา และชาวนาผู้ยากไร้ ...นี่เป็นเรื่องราวของคลื่นมหาชนที่ออกเดินทางไกลไปเพื่อภารกิจ "ผดุงคุณธรรม" ...หากเสียดายที่พวกเขาอยู่ในยุคซึ่ง "คุณธรรม" นั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง...
People's Crusade หรือ "สงครามครูเสดของมวลชน" แม้มีชื่ออันดูเที่ยงธรรม หากมันเป็นตอนอันดำมืดที่สุดตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชนชาติฝรั่ง
เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปี 1095 ที่เมืองแคลร์มงต์ประเทศฝรั่งเศส พระสันตะปาปาเออร์เบินที่สอง เรียกบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งปวงของยุโรปมาชุมนุมกัน
ที่นั่นเออร์เบินประกาศว่า "พอแล้วกับการที่ชาวคริสต์เข่นฆ่าแย่งชิงกันเอง เราควรร่วมแรงกันยึดดินแดนแห่งพันธสัญญาคืนมา เพื่อผดุงความถูกต้องแทนพระเจ้า!"
ดินแดนแห่งพันธสัญญาหรืออาณาจักรอิสราเอลโบราณ (มีศูนย์กลางที่เมืองเยรูซาเล็ม) คือที่ๆ พระเยซูประสูติ นับเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาคริสต์ หากถูกมุสลิมยึดไปกว่า 400 ปีก่อนหน้านั้นแล้ว
เออร์เบินกล่าวว่า "พระเจ้าได้สั่ง (ผ่านฉัน) ให้พวกเราทุกคนทำสงครามศักดิ์สิทธิ์นี้! คำสั่งนี้ครอบคลุมทั้งขุนนางผู้สูงศักดิ์ จนถึงชาวนาที่ต่ำต้อย ทุกๆ คนที่เข้าร่วมจะได้รับการชำระล้างบาปทั้งหมด โจรร้ายจะกลายเป็นอัศวินผู้กล้า พร้อมการันตีว่าตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน!"
ในยุคที่ศาสนายังเป็นหัวข้อสำคัญสูงสุดของชีวิตมนุษย์นั้น คำประกาศดังกล่าวโดนใจมหาชนมาก เพราะมันเป็นครั้งแรกที่มีการบอกว่า "บาปทั้งหมดสามารถรีเซ็ตได้" จากพระสันตะปาปาซึ่งทรงอาญาสิทธิ์สวรรค์
มีคนตะโกนว่า "Deus Vult!" หรือ "เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า!" และทุกคนก็ตะโกนตามๆ กันเป็นเสียงกึกก้องทั่วบริเวณ สร้างความฮึกเหิมเหลือประมาณ
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ "สงครามศักดิ์สิทธิ์ครูเสด" ที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์มนุษยชาติไปตลอดกาล...
แต่ดินแดนแห่งพันธสัญญาตกเป็นของมุสลิมมาสี่ร้อยปีแล้ว ที่ผ่านมาผู้ปกครองมุสลิมปล่อยให้ชาวคริสต์เดินทางไปแสวงบุญโดยอิสระ ศาสนจักรก็ไม่เคยสนใจทวงคืนมาก่อน เหตุใดจึงพึ่งคิดก่อสงครามใหญ่ครั้งนี้เล่า?
เหตุผลคือก่อนหน้านั้นมีสารจากจักรพรรดิอเล็กเซียสแห่งอาณาจักรไบแซนไทน์ส่งมาขอความช่วยเหลือเออร์เบิน บอกว่าบัดนี้พวกมุสลิมเติร์กบุกมายึดดินแดนไบแซนไทน์ในอนาโตเลียได้แทบทั้งสิ้น แม้พระสันตะปาปาส่งกองทัพมาขับไล่พวกมุสลิมแล้วไซร้ อเล็กเซียสจะสนับสนุน
แต่โบราณคริสตจักรแตกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายคาทอลิกของโรมันมีอำนาจในยุโรปตะวันตก และฝ่ายออร์ทอดอกซ์ของไบแซนไทน์มีอำนาจในยุโรปตะวันออก ทั้งสองชิงความชอบธรรมกันเรื่อยๆ บัดนี้การที่ไบแซนไทน์รบมุสลิมไม่ไหวมาสวามิภักดิ์ จึงเป็นการการันตีว่าพวกครูเสดจะมีพันธมิตรที่เข้มแข็งในการบุกตีตะวันออกกลาง และเป็นโอกาสที่คาทอลิกจะแผ่อิทธิพลครอบงำออร์ทอดอกซ์ด้วย
อย่างไรก็ตามเหตุผลหลักของเออร์เบินไม่ใช่เรื่องนั้น... เหตุผลหลักคือเออร์เบินกำลังลำบาก...
เขาทะเลาะกับจักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิตั้งสันตะปาปาอีกคนชื่อคลีเมนท์ที่สามมาแข่งความชอบธรรมกับเขา เออร์เบินถูกขับไล่ แม้อยู่โรมก็อยู่ไม่ได้ ต้องระเห็ดมาฝรั่งเศส บรรดาเจ้านายยุโรปก็ยังมึนๆ ว่าจะเชื่อพระสันตะปาปาคนไหนดี
การประกาศ "ภารกิจอันยิ่งใหญ่" และการ "ไถ่บาป" แก่ทุกคนที่ทำตามจึงเป็นการสร้าง "คุณธรรม" ชุดใหม่ ที่ให้ความชอบธรรมแก่เออร์เบินเหนืออำนาจรัฐทั้งปวง
กระแส "สงครามศักดิ์สิทธิ์" จุดติดลุกลามไปทั่วยุโรป ขณะนั้นเองได้มีบาทหลวงคนหนึ่งชื่อ Peter the Hermit หรือ "ปีเตอร์นักพรต" มาเกาะกระแส
ปีเตอร์ เดอะ เฮอร์มิตเดินทางไปทั่ว พบปะคนทุกชนชั้น เขาใช้โวหารอันแยบคายโน้มน้าวให้มหาชนโกรธแค้นที่มุสลิมกดขี่ชาวคริสต์ในดินแดนแห่งพันธสัญญา (ซึ่งมุสลิมไม่ได้ทำขนาดนั้น และปีเตอร์ก็ไม่เคยไปที่นั่น)
ปีเตอร์ยังบอกว่าตนคือสุดยอดตัวแทนที่พระเจ้าส่งมาพาคนไปทำสงครามครูเสด การตามตนมานั้นเป็นโอกาสทองในการขึ้นสวรรค์นะจ๊ะ ...คนก็เชื่อกันมาก
ปีเตอร์รวบรวมผู้ติดตามที่ยอมทิ้งทุกอย่างไปทำภารกิจกับเขาได้ถึง 40,000 คน ซึ่งถือว่าเยอะมากๆ สำหรับยุคกลาง
กลุ่มลูกค้าหลักของปีเตอร์เป็นคนชั้นล่าง ได้แก่ชาวนาจนๆ และอัศวินระดับต่ำ ส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์สู้รบ ไม่มีอาวุธ ไม่รู้ว่าดินแดนแห่งพันธสัญญาอยู่ที่ไหน ...แต่พลังใจเต็มเปี่ยม
ขณะที่เออร์เบินนัดแนะให้ทุกคนรวมกันออกเดินทางในเดือนสิงหาคม 1096 แต่พวกของปีเตอร์นั้นใจร้อนอยากรีบขึ้นสวรรค์เร็วๆ แล้ว ก็ออกเดินทางไปตั้งแต่เมษา
กำหนดการของเออร์เบินนั้นมีเหตุผล คือในยุคที่ไม่มีตู้เย็นนั้น การเก็บอาหารทำได้ยาก เขาเลือกออกเดินทางในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อทำการ resupply ง่ายๆ
แต่พวกของปีเตอร์ไม่รู้ว่าเป้าหมายอยู่ไกลแค่ไหน ปีเตอร์ก็จัดการแย่ ทำให้คนส่วนใหญ่เตรียมเสบียงไปไม่พอ
ในความเป็นจริงแล้วดินแดนแห่งพันธสัญญามันไกลมาก ให้ดูว่าเริ่มออกจากฝรั่งเศส เป้าหมายอยู่ที่เยรูซาเล็มตรงสุดเส้นแดงมุมขวาล่าง ...เดินล้วนๆ...
พวกครูเสดมวลชนเสบียงหมดตั้งแต่ยังเดินทางไปไม่เท่าไร ยิ่งในฤดูใบไม้ผลิ resupply ยาก จะบากหน้ากลับบ้านก็ไม่ได้แล้ว...
ขุนพลของปีเตอร์ชื่อวอลเตอร์ ซานส์ อวัวร์ นำคนล่วงหน้าไปก่อน พวกเขาไปถึงเบลเกรดซึ่งตอนนั้นเป็นเมืองหน้าด่านของไบแซนไทน์
เขาประกาศแก่นายด่านว่า "กองทัพครูเสดมาถึงแล้ว!" นั่นทำให้นายด่านเบลเกรดงุนงงมาก เพราะตามที่นัดกันทัพครูเสดไม่ควรมาถึงก่อนฤดูใบไม้ร่วง
แถมพวกของวอลเตอร์ก็ดูสกปรกๆ กรังๆ ไม่เหมือนทหาร นายด่านเบลเกรดจึงไม่ยอมให้เข้าเมือง
วอลเตอร์เดินทางมาเหนื่อย... เข้าเมืองไม่ได้... หิวก็หิว... เลยนำคนปล้นสะดมเขตชนบทของเบลเกรด แ-่งเลย!
พวกครูเสดอาจคิดว่าตัวเองกำลังทำภารกิจสำคัญของสวรรค์ จะระงับความหิวบ้างคงไม่ผิด แต่ฝ่ายไบแซนไทน์ไม่คิดแบบนั้นจึงส่งทหารมาปราบ ซึ่งก็เอาชนะกลุ่มครูเสดได้โดยง่าย
ฝ่ายไบแซนไทน์ตรวจสอบความจริง รู้ว่าพวกนี้กากๆ และใจร้อน แต่เจตนาดี จะมาช่วยเรา ดังนั้นหลังจากจับพวกครูเสดแก้ผ้าหยามสั่งสอน แล้วยังคงส่งตัวไปช่วยรบที่เมืองคอนสแตนติโนเปิล (เมืองหลวงของไบแซนไทน์) นั่นเอง
ข้างฝ่ายปีเตอร์ได้นำทัพหลักมาถึงฮังการี กษัตริย์ฮังการีไม่ไว้วางใจพวกเขา แต่ยังคงยอมให้ปีเตอร์ผ่านทาง โดยมีข้อแม้ว่าห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด
ปรากฏระหว่างผ่านทางสมาชิกในขบวนปีเตอร์คนนึงไปทะเลาะกับชาวฮังการีในตลาด มีคนเข้าร่วมวงเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ปีเตอร์ไม่มีปัญญาห้ามปรามได้
ลงท้ายอำนาจโกรธปนหิวทำให้พวกครูเสดแปรสภาพเป็นม๊อบหิวโหย ฉวยโอกาสปล้นฆ่าชาวฮังการี (ซึ่งเป็นคริสต์) ตายไปสี่พันคนเศษ แล้วรีบหนีข้ามพรมแดนเข้าไบแซนไทน์ก่อนที่ทัพฮังการีจะตามมาทัน
ก่อนจะกล่าวถึงปีเตอร์ต่อไป จะเอ่ยถึงชาวเยอรมันอีกกลุ่มหนึ่งที่ฟังคำสอนของปีเตอร์แล้วนำทัพแยกเดินทางไปอีกสาย กลุ่มนี้นำโดยเคาท์เอมิโคแห่งไลนินเจน เขามีนิมิตเพิ่มจากของปีเตอร์ว่าพระเจ้าสั่งให้เขาเดินทางไปดินแดนแห่งพันธสัญญา เพื่อรับตำแหน่งมหากษัตริย์
แต่พอไปได้สักหน่อยก็เริ่มขี้เกียจ มองดูชาวยิวแถวนั้นจึงค่อยคิดว่าพวกนี้มันก็นอกศาสนานี่หว่า ...อย่ากระนั้นเลยฆ่ามันก่อนนี่แหละง่ายดี ไม่ต้องไปถึงตะวันออกกลาง
เอมิโคถืออาญาสิทธิ์สวรรค์นำพวกปล้นฆ่าข่มขืนชุมชนยิวที่อยู่รวมกับฝรั่งยุโรปโดยสันติมานานแล้ว พอปล้นได้เงินมากก็ติดใจ ไล่กวาดล้างยิวไปเรื่อยๆ จนถึงฮังการี
ทหารฮังการีมีประสบการณ์จากคราวปีเตอร์แล้ว จึงไม่ยอมให้เอมิโคเข้าเมือง กลายเป็นตอนนี้เอมิโคบุกตีเมืองของชาวคริสต์ฮังการีต่อ
ที่ฮังการีนั้นเอมิโคถูกโจมตีตอบโต้จนพ่ายแพ้แทบไม่เหลือทหาร ตัวเขาต้องเผ่นหนีกลับเยอรมัน และใช้ชีวิตที่เหลือกับความอับอายจากการถูกหาว่าหนีภารกิจครูเสด
กลับมาที่กลุ่มปีเตอร์ ตอนนี้ปีเตอร์เริ่มไม่มีอำนาจควบคุมฝูงม๊อบอีกแล้ว...
พอข้ามเข้าพรมแดนไบแซนไทน์ พวกม๊อบครูเสดก็ปล้นฆ่าชาวไบแซนไทน์ (ที่ตอนแรกจะมาช่วย) ไปเรื่อยๆ ปีเตอร์ห้ามปรามมิได้
พวกไบแซนไทน์ทนไม่ไหว จึงส่งทหารมาปราบ ...พวกม๊อบครูเสดเก่งกับชาวบ้าน แต่กากกับทหารจริง ในที่สุดจึงพ่ายแพ้ง่ายดาย คนตายไปหนึ่งในสี่ (แปลว่าตอนนี้เหลือ 30,000 คนแล้ว) ส่วนปีเตอร์หนีไปหลบในป่าเขา
มีม๊อบที่เหลือรอดไปลากปีเตอร์ให้กลับมานำ เพราะไม่งั้นก็ไม่มีใครนำอีก ปีเตอร์จำใจไปดินแดนแห่งพันธสัญญาต่อ พวกเขาอดอยาก เหนื่อยล้า ขอทานกินไปเรื่อยๆ
ในที่สุดพวกเขาก็ลากสังขารมาถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิล...
ที่นี่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกยุคกลาง พวกม๊อบครูเสดตื่นตะลึงด้วยไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน...
พระเจ้าอเล็กเซียสยังคงต้อนรับกลุ่มของปีเตอร์ ให้มารวมกับกลุ่มของวอลเตอร์ที่ถูกจับมาก่อนหน้านั้น เขาชมเชยว่าพวกปีเตอร์มีเจตนาดี (แม้การกระทำจะเลว) และแนะนำว่าให้อยู่รอทัพครูเสดหลักที่จะระดมตามมาในฤดูใบไม้ร่วง
แต่พอเลี้ยงอิ่มแล้วแล้วพวกปีเตอร์กลับเกิดกำลังใจขึ้นมาอีก พวกเขาอยู่คอนสแตนติโนเปิลไม่นานก็อาสาบุกข้ามไปคาบสมุทรอนาโตเลียซึ่งเป็นเขตเติร์ก จะได้ชิงชัยอย่างมีความหมายสักที
และพอพวกม๊อบได้ข้ามไปก็เข้าสูตรเดิม คือปล้นฆ่าชาวบ้านหากินไปเรื่อยๆ ...อนึ่งชาวบ้านในอนาโตเลียนั้นส่วนใหญ่นับถือคริสต์นะครับ แค่ถูกพวกเติร์กยึดเป็นเมืองขึ้นเฉยๆ
ตรงนี้ฝูงม๊อบซึ่งไม่ได้เชื่อฟังปีเตอร์มานานแล้วนั้นแตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งนำโดยวอลเตอร์ อีกกลุ่มนำโดยอัศวินชื่อเรนัลด์
เรนัลด์เป็นคนเข้มแข็ง พวกเยอรมันและอิตาลีในม๊อบนับถือเขามาก
แต่เขาเดินทัพผิดพลาดไปบุกตีเมืองเติร์กในจุดที่ขาดทรัพยากรน้ำ แล้วถูกพวกเติร์กล้อมเมืองคืน หลังถูกล้อมจนขาดน้ำต้องกินเลือดม้า และฉี่ตัวเองอยู่ไม่กี่วัน ฝ่ายครูเสดก็ยอมแพ้
ทหารเติร์กบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาย ซึ่งบางคนยอมตาย แต่เรนัลด์รีบเปลี่ยนศาสนาเป็นคนแรกๆ แถมยังอาสาจะนำทัพเติร์กไปปราบพวกครูเสดมวลชนที่เหลือด้วย!
พวกเติร์กส่งข่าวลวงไปหากลุ่มครูเสดที่เหลือบอกว่าเรนัลด์ได้รับชัยชนะ ให้ตามมาปล้มชิงสมบัติด้วยกัน พวกครูเสดฟังก็ลังเล ส่วนปีเตอร์ตอนนั้นหลบไปขอกำลังเสริมจากไบแซนไทน์ แล้วทำท่าไม่ยอมกลับมาอีก
ม๊อบที่เหลือโต้เถียงกัน ในที่สุดฝ่ายที่โลภอยากปล้นชิงถือเสียงข้างมาก พวกเขาจึงออกเดินทัพ พอไปถึงจุดสำคัญที่พวกเติร์กดักรออยู่ ก็ถูกลอบโจมตี!
พวกม๊อบครูเสดไม่เคยเก่งกับทหารอยู่แล้ว ปกติสู้ตรงๆ ยังสู้ไม่ได้ พอมาเจอการใช้กลยุทธจึงละลายแทบทั้งทัพ...
สรุปว่าคน 40,000 คนที่ปีเตอร์พามาตกระกำลำบากนั้นต้องพบจุดจบแทบทั้งสิ้น... ส่วนตัวปีเตอร์หลบอยู่ในคอนสแตนติโนเปิล ...เขายังต้องหนีอีกหลายครั้งในชีวิตของเขา
ครูเสดของมวลชนเหมือนทำความดีพลีชีพเพื่อศาสนา แต่พวกเขาได้สังหารชาวฮังการีไปหลายพันคน, สังหารชาวยิวไปอีกหลายพันคน, สังหารชาวคริสต์ด้วยกันไปนับหมื่น, ปล้นฆ่าจนเศรษฐกิจของไบแซนไทน์ และยุโรปตะวันออกพังพินาศ และพาพวกตัวเองไปตายเกือบสิ้นทัพ ...ทั้งหมดนี้แทบไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายมุสลิมเลย
งานของพวกครูเสดมวลชนนั้นมิได้สูญเปล่าทีเดียว กล่าวคือตอนแรกพวกเติร์กทราบข่าวครูเสดของพระสันตะปาปาก็พยายามเตรียมการรับมือ แต่พอเจอ "ความกาก" ของพวกครูเสดมวลชนที่นำหน้ามาก่อน พวกเขาก็เกิดความประมาท ลดการระวัง หันไปป้องกันด้านอื่น (เพราะมุสลิมก็รบกันเองเหมือนกัน)
เรื่องนี้ทำให้พอทัพครูเสดของพระสันตะปาปามาถึงจริง ฝ่ายมุสลิมกลับตั้งรับไม่ดี จนเสียเยรูซาเล็มไปในสงครามครูเสดครั้งที่หนึ่ง
ต่อมาฝ่ายมุสลิมเกิดวีรบุรุษชื่อซาลาดินมาตีเยรูซาเล็มคืนในสงครามครูเสดครั้งที่สอง จากนั้นมุสลิมกับคริสต์ก็ต่อสู้ช่วงชิงดินแดนแห่งพันธสัญญาอีกหลายครั้ง จบลงที่มุสลิมเป็นฝ่ายชนะสงครามครูเสด
สงครามนี้ทำให้อาณาจักรไบแซนไทน์ที่เคยยิ่งใหญ่ต้องอ่อนแอลงมาก จนพวกมุสลิมสามารถยึดครองอาณาจักรไบแซนไทน์ เถลิงอำนาจเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก และทำให้พวกฝรั่งใช้เส้นทางสายไหมไม่ได้ ต้องดิ้นรนหาทางออกการค้าทางทะเล นำสู่ยุคล่าอาณานิคม ซึ่งกลับทำให้ฝรั่งเจริญขึ้น...
ประวัติศาสตร์ก็ดำเนินต่อไป... แต่กลับมาที่เรื่องครูเสดมวลชน พวกเราเรียนรู้อะไรจากสิ่งนี้บ้าง?
ในปัจจุบัน (ปี 2018) เกิดเหตุชาวฮอนดูรัส และชาวอเมริกากลางชาติอื่นๆ ทนความลำบากยากจนในประเทศตัวเองไม่ไหว ก็รวมตัวกันเป็นม๊อบใหญ่ ออกเดินทางไปขออาศัยอยู่ที่อเมริกาดื้อๆ
มีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มบอกว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องถูกต้อง บอกว่าพวกเขาจะสามารถข้ามพรมแดนไปได้ง่าย และว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่จะได้ชีวิตที่ดีขึ้น
พวกเขาเดินทางยาวไกล ประสบความลำบากอดอยากมากมาย ถูกคนภายนอกรังแก และรังแกกันเอง มีทั้งปล้นชิงลักพาตัว...
และพอรู้แน่ชัดว่าอเมริกาไม่ยอมให้เข้า ก็ถอยกลับไปไม่ได้ เพราะลงทุนลงแรงไปเยอะแล้ว ...จึงอ้างมนุษยธรรม เรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ มาช่วย
บาปหนักที่สุดของเออร์เบินไม่ใช่การเล่นการเมือง แต่เป็นการบอกคนในสังคมว่า มันมี "คุณธรรม" ชุดหนึ่งที่อยู่เหนือกฎหมายทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ขอเพียงทำตามคุณธรรมชุดนี้ จะได้รับการล้างบาป พร้อมรับรางวัลอันยิ่งใหญ่
ตอนที่มวลชนครูเสดประกอบกรรมทำชั่วต่างๆ นั้น พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นคนดี
ประวัติศาสตร์สอนเราว่า "ความดี" นั้นเป็นเรื่องอันตรายกว่า "ความเลว" เสียอีก เพราะแต่ละคนมองความดีไม่เหมือนกัน คนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี ยกกฎหมู่เหนือกฎหมายนั้นสามารถทำเรื่องผิดได้โดยอ้างความดีในหัวตัวเองมากลบเกลื่อน ...และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาน่ากลัวอย่างยิ่ง
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat ได้เลยจ้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา