28 พ.ค. 2020 เวลา 10:58 • การศึกษา
เมื่อระบบการศึกษา ตัดสินปลาด้วยการปีนต้นไม้!!
และตัดสินคุณภาพของเด็ก ด้วยเกรด!!
อัลเบิร์ต ไอสไตล์ กล่าวไว้ว่า
"คนทุกคนเป็นอัจฉริยะ แต่ถ้าคุณตัดสินปลาด้วยการปีนต้นไม้ มันก็จะใช้ทั้งชีวิตโดยเชื่อว่ามันโง่"
นี่คือถ้อยคำพูดจะคลิปที่เคยเป็นไวรัลเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
คลิปมีชื่อว่า I Sued the school system
พูดถึงการฟ้องร้องระบบการศึกษาที่มีมาตั้งแต่อดีตและไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เท่าทันปัจจุบันสักที
ระบบของการศึกษา นั้นถูกสร้างขึ้นมา ร้อยกว่าปี ผมหมายถึงระบบที่เป็น โรงเรียนที่มีการวัดเกรด มีการสอบ มีการเลื่อนชั้นนะครับ
ร้อยกว่าปีเลยนะครับ ที่เราใช้ระบบการเรียนแบบนี้มาโดยตลอด และไม่ได้เปลี่ยนมันเลย
ถ้าถามว่าระบบนี้มันเกิดมาเพราะอะไร ส่วนหนึ่งผมก็ตอบได้เลยว่า เกิดมาเพราะ ความต้องการผลิตคนเข้าไปสู่ การทำงานนั่นเอง
นั่นหมายความว่า การที่เรามีระบบที่เรียกว่าโรงเรียน จะสามารถสร้างมารตฐานของคนให้เป็นแบบเดียวกัน เพราะเรียนวิชาพื้นฐานมาเหมือน ๆ กัน ดังนั้นมันจึงง่าย ที่ บริษัทต่าง ๆ จะได้พนักงานที่มี ความรู้พื้นฐานใกล้เคียงกัน
เพราะฉะนั้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ระบบโรงเรียนจึงเป็นอะไรที่จำเป็นมากๆ
แต่ก็อย่างว่าล่ะครับนั่นมันตั้งแต่ 100 กว่าปีที่ผ่านมา มาถึงในยุคปัจจุบันหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะโลกในยุคนี้ ที่เราเรียกกันว่า "โลกไร้พรหมแดน"
โลกที่พวกเราจะเข้าถึงอะไรก็ได้ แค่มีมือถือพร้อมอินเตอร์เน็ต เครื่องเดียว
ความแตกต่างของยุคสมัยนี้และยุคสมัยก่อนนั้นสิ่งที่ชัดเจนมากที่สุดนั่นก็เป็นเรื่องของการเข้าถึงข้อมูล
ในอดีตนั้นเราไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้เหมือนอย่างทุกวันนี้ครับ คนจึงไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นความรู้ต่างๆได้ ก็เลยทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างบุคคล ชนชั้น สังคมและก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งต่างๆนานา ข้อมูลความรู้ที่สำคัญถูกเก็บไว้เฉพาะบุคคลเฉพาะกลุ่ม ที่มีสิทธิ์ได้เรียนรู้เท่านั้น
เราจึงจะเห็นได้ว่าในอดีตอาชีพในการประกอบหน้าที่เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพนั้นจึงมีไม่มากนัก
แต่พออินเตอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคน ก็จะเห็นได้ว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทนั้น มีอาชีพใหม่ๆเกิดขึ้นเต็มไปหมด ทั้งการเขียนบล็อกเขียน รีวิว ยูทูปเปอร์ หรือแม้กระทั่งการโฆษณาบนสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ อาชีพเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อนสาเหตุนั้นก็เป็นเพราะว่า โลกเราไม่เคย Connect กันมากขนาดนี้มาก่อน
สมัยก่อนถ้าคุณอยากที่จะเรียนวิชาอย่างเช่น การลงทุน คุณจะต้องวิ่งไปหาคนที่เปิดคอร์สเรียนเฉพาะ และจ่ายเงินเพื่อที่จะให้ได้ไปนั่งเรียนในราคาที่แสนแพง
แต่ในปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ คุณแค่พิมพ์ค้นหาใน Google คุณจะได้ชุดความรู้ที่คุณต้องการทั้งคลิปวีดีโอ บทความให้คุณศึกษาเรียนรู้ได้ตามสบาย อย่างฟรีๆ ดังนั้น มันจึงไม่จำเป็น อีกต่อไปว่า คุณจะต้องเรียนรู้ ในวิชาที่ต้องการ อยู่แต่ภายในโรงเรียน
นี่ คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลง คำว่าโรงเรียนไปอย่างสิ้นเชิง เรากำลังมาถึงยุคที่ เราไม่จำเป็นจะต้องเรียน 19 ปี เพื่อจบมา แล้วมาทำงานในบริษัท
เพราะแบบนี้ ระบบการศึกษาที่มีมาร้อยกว่าปีจึงเริ่มที่จะไม่ตอบโจทย์ อีกต่อไป
แล้วอะไรบ้างหละที่ควรต้องเปลี่ยนแปลงใน
เท่าที่ผมหาข้อมูลมาได้ ผมขอแยกเป็น 5 ข้อดังนี้
1. Lean education
การที่เราจะต้องเรียนถึง 19 ปี เพื่อที่จะมาทำงานในบริษัทอาจจะไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เพราะเรากำลังอยู่ในยุคที่ใครๆ ก็เข้าถึงข้อมูลได้แค่เพียงมี Internet การเรียนรู้จึงไม่จบแค่ในห้องเรียน
แค่คุณหาความรู้ต่างๆเกี่ยวกับ เรื่องที่คุณต้องการและเรียนมันอย่างจริงจัง คุณจะใช้เวลา ไม่ถึง 10 ปีแน่ ๆ (อันนี้คือในแง่ทฤษฎี นะครับ)
ในทางปฏิบัติ เราซอยย่อย ชั้นเรียนตั้งแต่ อนุบาล-มหาวิทยาลัย ซึ่งรวมทั้งสิ้น 19 ปี แต่ถ้าเรามองดูดี ๆ กับระบบในปัจจุบัน เรามีวิชาที่เรียนแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์จริง อยู่เต็มไปหมด
ดังนั้น ถ้าจะ ลด ก็ลด ตรงนี้นี่แหละครับ เอาวิชาที่ไม่จำเป็น หัวข้อที่ไม่จำเป็นออกไป อย่างเช่น หัวข้อจากคณิตศาสตร์ สมการ เป็นต้น
และที่สำคัญก็คือ แบ่งการเรียนขั้นพื้นฐานให้ชัดเจนตั้งแต่เด็ก ๆ พื้นฐานของวิศวะ ไม่จำเป็นต้องให้คนเรียนศิลปะมานั่งเรียน เป็นต้น
ถ้าเราแบ่งหมวดหมู่การเรียนรู้ให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นได้เร็ว การที่ต้องเสียเวลาเรียนวิชาที่ไม่ใช่ นั่นก็จะน้อยลง แต่ที่สำคัญมาก ๆ เลย ต้องมีกระบวนการสำหรับหาว่า เด็กแต่ละคนเหมาะกับหมวดหมู่แบบไหน หรือชอบแบบไหนนั่นเอง
2. ไม่ใช้ไม้บรรทัดวัดผลแค่อันเดียว
เรื่องหนึ่งที่ก็ต้องเปลี่ยน นั่นก็คือ การวัดผล และการเลือกที่จะเรียนรู้ เราไม่ควรให้ ปลา วัดผลโดยการแข่งขันปีนต้นไม้ และไม่ควรให้ลิงวัดผลโดยการแข่งขันว่ายน้ำ เฉกเช่นเดียวกับคน
คนแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีความสามารถความถนัดที่แตกต่างกัน เราก็ควรที่จะให้คนที่ถนัดแบบเดียวกัน เรียนในเรื่องเดียวกัน และวัดผลแบบเดียวกัน ไม่ใช่ใช้ไม้บรรทัด เพียงอันเดียว แล้ววัดผล ทุกอย่าง เราต้องสร้างไม้บรรทัดให้มากขึ้น
หรือจะให้ดี บางทีเราต้องไม่สนใจเรื่องเกรดครับ ถึงแม้เรื่องนี้จะดูยากในสายตา คนไทยอย่างเรา เพราะเรามี วัฒนธรรม แบบนี้มาเนิ่นนาน แต่ถ้ามองดูต่างประเทศ อย่างเช่นประเทศ เยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่ไม่ได้สนใจเรื่องมหาวิทยาลัยดังๆ และเกรดเฉลี่ยสักเท่าไหร่
นอกจากประเทศอย่างเยอรมันแล้ว บริษัทชั้นนำอย่าง Google เอง ก็รับพนักงานแบบไม่สนใจวุฒิการศึกษาแล้วด้วย
เพราะการวัดผลโดยเกรดเฉลี่ยในปัจจุบัน ส่งผลกระทบในด้านลบหลายต่อหลายอย่าง ทั้งการถูกตัดสินว่า "โง่" ในสายตาคนอื่น ทั้ง ๆที่บางทีเราอาจจะแค่ไม่ถนัดในการทำเรื่องนั้น ๆ ก็เท่านั้น
3. รูปแบบการเรียน
ต่อไปนี้โลกเราจะไปไกลกว่านี้อีกเยอะครับ และ ในช่วง Covid นี้เราเห็นแล้วว่า การเรียนในรูปแบบ online มันก็สามารถสร้างประสิทธิภาพได้เช่นกัน ผมเชื่อว่า รูปแบบการเรียนจะเปลี่ยนไปครับ เราจะมีการเรียนแบบ hybrid คือมีทั้ง online และ offline
และบอกได้เลยว่า อนาคต เราจะมี VR classroom ครับ เชื่อเถอะครับว่ามาแน่นอน แต่จะเมื่อไหร่แค่นั้นเอง ต่อไปมนุษย์จะ เคลื่อนไหวน้อยลง อยู่กับบ้านมากขึ้น และมีโลกเสมือนจริง เป็นของตัวเอง เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาถึงขีดสุด มนุษย์เราแทบจะไม่ต้องออกแรงเลยก็ว่าได้
การศึกษาเองก็เช่นกัน จะไม่จำเป็นที่ต้องเข้าเรียนในโรงเรียนเสมอไป บางครั้งการเรียนกับที่บ้าน และเพิ่มเวลาส่วนตัวของครอบครัวให้มากขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่จะสามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้ดี
4. บุคลากร
นี่คือสิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยน
ระบบแบบใหม่ จำเป็นจะต้องมีคนสอนที่มี Growth Mindset พร้อมที่จะเรียนรู้ การสอนแบบใหม่ๆ วิชาที่อาจจะไม่เคยสอนมาก่อน หรือแม้กระทั่ง รูปแบบการสอนที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวคุณครูผู้สอนเอง ก็ต้องเป็นคนที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงในเรื่อง ๆ นี้อย่างจริงจัง และก็ตั้งใจ เพราะมันจะมีผลกระทบต่อ ผู้ถูกสอนเป็นอย่างมาก
ประเด็นนี้เป็น สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการ พยายามที่จะปฏิรูปเป็นอันดับแรก มาตั้งแต่ปี 2559 แล้วครับ ส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาอย่างคุณครู ปรับโครงสร้างหนี้ และ up skill ใหม่ ๆ ให้แก่คุณครู ซึ่งอีกไม่นาน ก็น่าจะเห็น การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วหละครับ
1
5. วิชาที่เปลี่ยนไป
อย่างที่บอกไปแล้วว่า การเรียนรู้ในปัจจุบัน เราเรียนในสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเกินไป และที่สำคัญ ในปัจจุบัน เรากำลังขาดวิชาที่จำเป็นจะต้องเรียนแต่ไม่มีซะด้วย
จริง ๆ คนเขียนอย่างผมก็ไม่อยากทำแบบนี้นะครับ แต่ หัวข้อนี้ คือตอนถัดไป ที่จะนำเสนอ
จึงจะขออุปไว้ก่อนว่าในอนาคต จะวิชาอะไรบ้างที่ควรและไม่ควรเรียน
ทั้ง 5 ข้อนี้ Future ที่ควรจะเกิดขึ้นกับระบบการศึกษา
ซึ่งบางประเทศได้ลงมือทำไปในบางข้อแล้ว อย่าง สิงคโปร์ ที่เพิ่มคุณภาพของผู้สอนไปแล้วได้เป็นอย่างดี มหาวิทยาลัยในอเมริกาบางแห่งก็ได้มีการสอนรูปแบบ hybrid มาตั้งแต่ก่อน covid แล้วด้วย
ทุกอย่างมันต้องค่อยๆเปลี่ยนครับ
ซึ่งแน่นอนว่ามันจะไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ หรอกครับ
และผมเองก็คงเป็นได้แค่คนหนึ่งที่มีหน้าที่เป็นกระบอกเสียง ช่วยเพิ่มความตระหนักในการเปลี่ยนแปลง
หวังว่าเสียงเล็ก ๆ เสียงนี้มันจะดังไปเข้าหู บุคคลที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า กับ วิชาเรียนในอนาคต
ปล. ทั้งหมดทั้งมวลคือความคิดเห็นส่วนตัวโปรดใช้วิจารณญานในการอ่านประกอบ นะครับ
ขอแปะลิงค์ คลิปที่กล่าวถึงให้ดูข้างต้นไปด้วยนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา