30 พ.ค. 2020 เวลา 14:17 • ประวัติศาสตร์
“ฐานทัพอเมริกาในไทย” เรื่องราวที่(เคย)ลับสุดยอดของรัฐบาลไทยและอเมริกา
“การโฆษณาบิดเบือนของคอมมิวนิสต์ที่เป็นการหมิ่นประมาทต่อไทย ก็คือ กล่าวหาว่าไทยถูกต่างชาติยึดครองและถูกใช้เป็นฐานทัพในการรุกราน ทุกคนก็ย่อมจะเห็นแล้วว่าไม่มีที่ใดเลยในผืนแผ่นดินไทยที่จะเรียกได้ว่ามีสถานะเป็นการยึดครอง และชาติไทยมีความเป็นเอกราชสมบูรณ์ในทุกวิถีทางและจะคงอยู่ตลอดไปชั่วกาลนาน...”
การออกอากาศวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2508
ท่ามกลางห้วงเวลาที่ฐานทัพอเมริกาถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยแล้ว 6 แห่ง และมีทหารอเมริกันประจำอยู่กว่า 10,000 นาย
ทุกท่านครับ ณ ที่นี้ ผมขอนำเสนอเรื่องราวที่(เคย)เป็นความลับสุดยอดในอดีต...
ความสัมพันธ์ของสองชาติที่แน่นแฟ้นดั่งลูกพี่ลูกน้อง...
ปฏิบัติการทางทหารที่ถูกปิดเป็นความลับ...
การบิดเบือน...
การต่อสู้ของสื่อมวลชน...
การรั่วไหลของเอกสารลับครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา...
การกังขาต่ออำนาจอธิปไตยของไทย...
ผมกำลังจะนำพาทุกท่านไปสู่สมรภูมิสำคัญ
สมรภูมิที่มีอาวุธ คือ ข้อมูลข่าวสาร...
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าเรื่องราวที่(เคย)เป็นความลับนี้ให้ฟัง...
ไทยกับอเมริกาถึงแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ยาวนานเท่าชาติตะวันตกชาติอื่น (เพราะอเมริกาก็เพิ่งตั้งประเทศได้ไม่นาน) แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเอามากๆ โดยเฉพาะกับไทยด้วยแล้ว ถือได้ว่าอเมริกามีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นมากกว่าชาติตะวันตกชาติอื่นๆเลยทีเดียวครับ
โดยความสัมพันธ์มันเริ่มมาจาก ในสมัย ร.2 ที่มีพ่อค้าและมิชชันนารีอเมริกันเดินทางมาค้าขายและเผยแผ่ศาสนากับไทยครั้งแรก
แล้วในสมัยร.3ทั้งสองประเทศก็เริ่มมีการทำสนธิสัญญาทางการค้าต่อกันฉบับแรก
สมัยร.5 ประธานาธิบดียูลิซิส เอส แกรนด์ของอเมริกาถึงกับเดินทางมาเยือนไทย...
อีกทั้งไทยยังมีการจ้างที่ปรึกษาด้านกฎหมายอเมริกันอย่าง ดร.ฟรานซิส บี แซร์ มาช่วยแก้สนธิสัญญาเบาว์ริงที่เสียเปรียบต่อชาติตะวันตกอื่นๆ
เห็นมั้ยครับ ว่าความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกาถือได้ว่าซี้ปึ้กกันในระดับหนึ่งทีเดียว
แต่แล้วความสัมพันธ์ก็เริ่มมีปัญหาในช่วงสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เนื่องจากไทยมีปัญหากับฝรั่งเศส (ไทยต้องการดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่เสียไปในสมัยร.5 คืนจากฝรั่งเศส)
บวกกับในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยไปเข้าร่วมกับญี่ปุ่น ทำให้จากเพื่อนซี้ต้องกลายมาเป็นเพื่อนที่แตกหักกันกับอเมริกา...
แต่แล้ว ก็มีเหล่าฮีโร่ที่ช่วยประเทศไทยและเชื่อมความสัมพันธ์ที่แตกหักกับอเมริกา ให้ค่อยๆต่อติดกลับมาเหมือนเดิม ฮีโร่เหล่านั้น คือ ขบวนการเสรีไทยนั่นเองครับ
1
ขบวนการเสรีไทยนี่แหละครับที่เป็นผู้ช่วยหน่วย O.S.S ของอเมริกาในการชี้เป้าให้เครื่องบินทิ้งระเบิดฐานทัพของกองทัพญี่ปุ่น และปฏิบัติการใต้ดินช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรในการต่อต้านญี่ปุ่นต่างๆนานา
จากเพื่อนที่เคยแตกหัก ก็กลับมาดีกันเหมือนเดิม ถึงขนาดเมื่อจบสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาพยายามโน้มน้าวชาติอื่นๆให้มองว่าไทยถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมกับญี่ปุ่น จนทำให้ไทยไม่ต้องตกอยู่ในฐานะเป็นประเทศผู้แพ้สงครามในที่สุด
ยังไม่พอ อเมริกาได้ใช้เส้นตัวเองนำไทยให้เข้าเป็นสมาชิกของ UN อีกด้วย (เรียกได้ว่าดันสุดๆเลยล่ะครับ)
ภาพจาก Wikiwand (ขบวนการเสรีไทย)
จนเข้าในสมัยของสงครามเย็นที่เป็นการต่อสู้กันทางด้านการเผยแพร่อุดมการณ์ของโลกเสรีที่นำโดยอเมริกาและโลกคอมมิวนิสต์ที่นำโดยโซเวียต
ในช่วงแรกนั้นอเมริกาได้ทุ่มความสนใจไปที่ยุโรปเป็นส่วนใหญ่ครับ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ “แผนการมาร์แชล” เพื่อช่วยเหลือประเทศในยุโรปที่บอบช้ำจากสงคราม แล้วต่อมาก็ประกาศ “วาทะทรูแมน” ที่เป็นการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย จนในที่สุดถึงกับต้องใช้กำลังทางทหารเข้าช่วยโดยการตั้ง NATO ขึ้นมา เรียกได้ว่าเซฟประเทศในแถบยุโรปแบบสุดๆเลยล่ะครับ
1
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญ คือ พรรคคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง เอาชนะพรรคก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็ค ในสงครามกลางเมือง ทำให้ประเทศจีนถูกเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์โดยสมบูรณ์ ใน พ.ศ.2492 (ค.ศ.1949)
เหตุนี้ล่ะครับ ทำให้พี่กันเริ่มหวั่นๆแล้วล่ะว่า คอมมิวนิสต์จะแพร่จากจีนไปสู่ประเทศในเอเชีย เหมือนดั่ง ทฤษฎีโดมิโน (ที่หากประเทศใดประเทศหนึ่งกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศข้างเคียงก็จะกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วยเหมือนการล้มของโดมิโน)
ดังนั้น อเมริกาจึงเริ่มเข้ามาใส่ใจการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในเอเชียอย่างจริงจัง แล้วเริ่มหันซ้ายหันขวาว่า “ประเทศไหนที่เหมาะจะเป็นศูนย์กลางการต่อต้านพวกคอมมี่ในเอเชียกันนะ?...”
แล้วอเมริกาก็มองเห็นประเทศที่เป็นทั้งมหามิตร ประเทศที่มีความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ประเทศที่ตัวเองเคยช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้
ไทยแลนด์ของเรานั่นเองครับ...
ภาพจาก Wikiwand (ทฤษฎีโดมิโน)
อเมริกาจึงเลือกไทยเป็นหัวหอกหลักในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังสร้างกองกำลังร่วมกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค คือ องค์การ SEATO
ในตอนแรกอเมริกาเพียงส่งกำลังทหารเข้ามาในนามของ SEATO ยังไม่ได้มีการมาตั้งฐานทัพของตนเองในภูมิภาคนี้
แต่แล้วความตึงเครียดจึงก่อเกิดขึ้นแบบที่อเมริกาไม่เคยคาดคิดมาก่อน นั่นคือ การที่ฝรั่งเศสรบแพ้เวียดนามในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 ทำให้เวียดนามถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
คราวนี้แหละครับ เวียดนามเหนือพยายามแพร่แนวคิดคอมมิวนิสต์เข้าสู่เวียดนามใต้ บวกกับสถานการณ์คอมมิวนิสต์ในลาวเริ่มเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทำให้อเมริกาเริ่มหวั่นวิตกอย่างหนักแล้วว่ามันกำลังจะเป็นไปตามทฤษฎีโดมิโน
ดังนั้น อเมริกาจึงกระโดดลงไปเล่นเกมในเวียดนามด้วยตัวเอง เพื่อช่วยเวียดนามใต้รบต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งเกิดเป็นสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 ขึ้น หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ สงครามเวียดนามนั่นเองครับ...
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว อเมริกาจำเป็นต้องมีฐานทัพในภูมิภาคเพื่อลำเลียงกำลังพล เสบียง เครื่องบิน ไปทำสงครามในเวียดนาม แน่นอนว่าไม่มีประเทศไหนที่เหมาะไปกว่าประเทศไทยแล้วครับสำหรับอเมริกา
ในที่สุดรัฐบาลทั้งสองประเทศจึงออก “แถลงร่วมถนัด-รัสก์” เมื่อ พ.ศ.2505 (ค.ศ.1962) โดยมีผลคือ อเมริกาสามารถช่วยเหลือไทยได้ทันทีเมื่อถูกรุกราน โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจาก SEATO และอเมริกาสามารถมาตั้งฐานทัพในประเทศไทยได้
แน่นอนครับว่า แถลงร่วมนี้เป็นความลับระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ...
ภาพจาก ResearchGates (เส้นขนานที่ 17 องศา แบ่งเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้)
ในช่วงเวลาที่อเมริกาได้นำไทยเข้าไปพัวพันในสงครามอินโดจีน ปฏิบัติการณ์ต่างๆจะดำเนินไปอย่างลึกลับ ปิดบังซ่อนเร้นจากการรับรู้ของสาธารณชน
เริ่มตั้งแต่การเข้าไปแทรกแซงในลาว ทั้งการส่งทหารไปร่วมรบ ส่งเสบียง ส่งเครื่องบินลาดตระเวน และให้อเมริกาใช้ดินแดนไทยในการฝึกกองกำลังฝ่ายขวาของลาวอีกด้วย!!
โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการรักษาความลับนี้สุดๆเลยล่ะครับ เพราะไทยถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และมีการขอร้องรัฐบาลอเมริกาไม่ให้เปิดเผยรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น
ซึ่งตัวของอเมริกาเองจะเป็นผู้รับผิดชอบเงินเดือนกองกำลังพิเศษของไทยทั้งหมด โดยจ่ายผ่านหน่วยสืบราชการลับ (CIA)
มีการเล่าว่า ทหารไทยที่ไปรบในลาวจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นชื่อลาวที่ไม่มีใครรู้จักพร้อมถือบัตรประชาชนลาว โดยฐานบัญชาการของกองกำลังจะอยู่ที่ถ.หมากแข้ง จ.อุดรธานี ซึ่งแต่งเป็นสำนักงานธรรมดาเพื่อไม่ให้สะดุดตาแก่คนภายนอก
1
แน่นอนครับว่า การเข้าไปแทรกแซงในเวียดนามก็ย่อมเป็นความลับเหมือนที่แทรกแซงลาว...
1
เมื่อสงครามเริ่มตึงเครียดขึ้น อเมริกาจึงเริ่มสร้างฐานทัพของตัวเองในไทยขึ้นมาครับ โดยเริ่มที่ดอนเมืองเป็นที่แรก เพื่อเป็นฐานสนับสนุนการเงิน บุคลากรและการขนส่ง
และแห่งที่สองได้ถูกสร้างขึ้นตามกันมาติดๆ คือ ที่ตาคลี จ.นครสวรรค์ เพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการเครื่องบิน F-100 และ F-105
จากนั้นเป็นการสร้างฐานทัพที่โคราชและนครพนม เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการเครื่องบินขับไล่
และฐานทัพที่ถือว่าสำคัญที่สุดของอเมริกา ก็ได้ถูกสร้างขึ้นที่ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติการทางทหารในไทยของอเมริกาเลยทีเดียวครับ ฐานทัพอุดรธานีนี้จะประสานงานโดยตรงกับฐานที่อยู่ในเวียดนามใต้ อีกทั้งเป็นฐานหลักที่ใช้ลำเลียงเครื่องบินไปเวียดนาม เพราะใช้เวลาในการบินไม่ถึง 40 นาที
จากนั้นก็มีการสร้างฐานทัพที่อู่ตะเภาขึ้น เพื่อใช้รองรับเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 แล้วจึงสร้างฐานทัพที่อุบลราชธานี และสุดท้ายคือฐานทัพที่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่นครับ รวมๆแล้วมีฐานทัพของอเมริกาในไทยทั้งหมด 8 แห่ง (ไม่รวมสถานีวิทยุและเรดาร์)
ฐานทัพอเมริกาในไทย
โดยมีตัวเลขเกี่ยวกับจำนวนเที่ยวบินที่ออกจากฐานทัพในไทยไปทิ้งระเบิดที่เวียดนามอยู่ระหว่าง 125-215 เที่ยวต่อวัน!! น่าตกใจจริงๆนะครับ...
และเมื่ออเมริกามีฐานทัพที่ไทยแล้ว จึงทำให้มีทหารอเมริกันมาประจำอยู่ในไทย โดยตัวเลขสูงสุดที่ปรากฏ คือ 48,000 นาย
แน่นอนครับว่า ผมย้ำอยู่เสมอ เรื่องราวทั้งหมดนี้ในตอนนั้นเป็นความลับสุดยอด โดยการตกลงกันก่อสร้างฐานทัพต่างๆระหว่างอเมริกากับไทยนั้น ไม่มีการตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรครับ รัฐบาลทั้งสองตกลงกันทางวาจาเท่านั้น! เหตุผลก็เพื่อปกปิดเรื่องราวทั้งหมดนี่แหละครับ เพื่อจะได้ไม่มีหลักฐานในการตำหนิเอาผิดรัฐบาลได้ แถมยังสะดวกและสบายใจต่อทั้งฝ่ายอเมริกาและฝ่ายไทย
บวกกับการปกปิดซ่อนเร้นฐานทัพเหล่านี้ โดยการที่ทุกฐานทัพอเมริกาต้องชักธงชาติไทยเท่านั้น และการปฏิบัติการต่างๆจะต้องทำในนามของผู้บังคับบัญชาที่เป็นทหารไทย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ฐานทัพอเมริกา” ในแผ่นดินไทย เป็นเพียงแค่การที่อเมริกามาใช้อุปกรณ์เครื่องมือในฐานทัพของไทยที่อเมริกาเป็นคนสร้างเท่านั้น! (แยบยลจริงๆครับ)
5
อีกทั้งรัฐบาลไทยไม่เคยแถลงการณ์หรือยอมรับว่าฐานทัพที่อยู่ในไทยถูกใช้เป็นฐานให้เครื่องบินอเมริกาไปทิ้งบอมบ์ที่ลาวและเวียดนาม แม้ว่าจะเห็นทหาร GI เดินเตร่ในไทยมากขนาดไหนหรือเห็นเครื่องบินรบบินบนน่านฟ้าเป็นร้อยๆเที่ยวก็ตาม
รัฐบาลทั้งสองประเทศได้พยายามอย่างสุดความสามารถในการปิดบัง บิดเบือนข้อมูลว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ฐานทัพอเมริกา” ในไทย เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องของความมั่นคง อธิปไตยของชาติ และกฎหมายระหว่างประเทศ โดยหากพูดเป็นหลักการแล้ว ก็เหมือนไทยละเมิดอำนาจอธิปไตยของตัวเองด้วยการยกอำนาจอธิปไตยให้อเมริกาไปนั่นแหละครับ เพราะอเมริกามีสิทธิ์ในดินแดนไทย และก็เหมือนอเมริกาทำตัวเป็นจักรวรรดินิยมซะเอง ทั้งที่ในตอนแรกตัวเองเป็นฝ่ายที่ต่อต้านจักรวรรดินิยม
2
แต่ก็อย่างที่คนเขาชอบพูดกันครับว่า ความลับไม่มีในโลก ถึงจะลับแค่ไหน ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องเผยออกมาอยู่ดี โดยผู้ที่มีบทบาทในการเร่งเวลาของการเผยความลับนี้ คือ สื่อมวลชนอเมริกานั่นเองครับ...
ทหารอเมริกันในเมืองโคราช
สื่อมวลชนของอเมริกา แต่เดิมนั้นก็ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลเหมือนสื่อมวลชนในหลายๆประเทศ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปครับ เมื่อนักข่าวภาคสนามจำนวนหนึ่งได้ไปทำข่าวในสงครามเวียดนาม พวกเขาได้ไปสัมผัสความเป็นจริงและความโหดร้ายของสงครามด้วยตนเองว่า รัฐบาลของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่? การกระทำนี้เหมือนนำพาคนอเมริกันมาตายอย่างเปล่าประโยชน์ ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มต่อต้านสงครามเวียดนามมากขึ้น พร้อมทั้งโจมตีรัฐบาลอย่างหนักหน่วง ตั้งแต่ พ.ศ.2508 (ค.ศ.1965) เป็นต้นมา
โดยสื่อมวลชนอเมริกาเริ่มที่จะขุดคุ้ยและลงข่าวเกี่ยวกับฐานทัพและปฏิบัติการของอเมริกาในไทย...
นิตยสาร Time ได้เสนอรายงานการสู้รบระหว่างอเมริกากับเวียดนามเหนือ และมีการพาดพิงถึงไทยว่า มีเครื่องบินทิ้งระเบิดบินไปจากสนามบินของไทย พร้อมลงรูปแผนที่และแสดงที่ตั้งของสนามบินดังกล่าวด้วย!!
1
ต่อมานิตยสาร Newsweek ก็ได้ออกมาผสมโรง ตีพิมพ์แผนที่สนามบินในไทยที่อเมริกาใช้ไปทิ้งระเบิด
รวมทั้งสำนักข่าวAP ก็เสนอข่าวว่า เครื่องบินอเมริกาที่ไปทิ้งบอมบ์ที่เวียดนามเหนือและลาว ได้มีการบินไปจากไทยเช่นกัน
และ The New York Times ก็ได้เปิดเผยจำนวนทหารอเมริกันที่อยู่ในไทยกว่า 20,000 นาย และบอกว่าอเมริกาได้สร้างฐานทัพในไทยหลายแห่ง
รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างออกมาบ่ายเบี่ยงความจริงและบิดเบือนข้อมูลหนักกว่าเดิม มีการแก้ต่าง อาทิ “ข่าว Time ไม่เป็นความจริง นิตยสารฉบับนี้มักลงข่าวเกี่ยวกับไทยอย่างผิดๆอยู่เสมอ” หรือ “ผู้เขียนบทความของ Newsweek เป็นคนที่มีจินตนาการสูงมาก ต้องชมว่าเขาเล่านิทานได้ดีทีเดียว”
1
ทางรัฐบาลไทยเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้แล้ว ก็ได้บอกพี่ใหญ่อย่างอเมริกาให้ช่วยดูแลกำชับสื่อของตัวเองหน่อย แต่ทางอเมริกากลับตอบมาว่า ในตอนนี้รัฐบาลไม่มีอำนาจอะไรในการควบคุมสื่อ เพราะสื่อมวลชนอเมริกามีเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารอย่างมาก
ซึ่งจากคำตอบสร้างความหงุดหงิดหัวเสียให้กับรัฐบาลไทยพอสมควรเลยล่ะครับ ทั้งยังมาบ่นกับสื่อไทยอยู่บ่อยๆว่า สื่ออเมริกาใช้เสรีภาพอย่างไร้ขอบเขต แต่ขาดความรับผิดชอบ!!
ผลที่ตามคือ เกิดเหตุการณ์เผ็ดร้อนที่สื่อไทยได้โจมตีสื่ออเมริกาครับ!! ว่า “Time พูดมากปากพล่อย ไม่ได้คำนึงถึงผลเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่คิดหน้าคิดหลัง ไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งถ้าสมมติว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเปิดเผยได้เสมอ”
1
จากการโจมตีนี้แหละครับที่เป็นการแสดงให้เห็นว่า สื่อไทยในสมัยนั้นยอมรับผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติตามรัฐบาล จนยอมที่จะจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของตัวเอง (แต่ในภายหลังก็เริ่มที่จะแสดงจุดยืนของตนเอง และเริ่มเสนอข่าวไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล)
การโจมตีและขุดคุ้ยของสื่ออเมริกาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆครับ อีกทั้งมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น คือ นักบินอเมริกันนายหนึ่งเกิดเครื่องบินตกขณะกำลังบินไปทำภารกิจที่ฮานอย เมื่อนักข่าวเห็นก็พากันไปสัมภาษณ์จนนักบินนายนี้ยอมรับว่าเครื่องบินของเขาได้บินมาจากฐานทัพที่ตาคลี นครสวรรค์ ในประเทศไทย!!
คราวนี้แหละครับ ความวุ่นวายจึงบังเกิดหนักขึ้นไปอีก นักข่าวอเมริกันกรูกันเดินทางเข้ามาที่ไทย แล้วพากันขุดคุ้ยเรื่องของฐานทัพลึกลับนี้ และในที่สุดสิ่งที่นักข่าวเหล่านี้ได้พบก็คือ ฐานทัพอู่ตะเภา ที่ถือว่าเป็นฐานทัพเครืองบินทิ้งระเบิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น!
ทั้งยังมีผู้สื่อข่าวรายงานว่า “ประเทศไทยเต็มไปด้วยกองกำลังอากาศของอเมริกา นี่มันเหมือนฐานทัพอากาศมากกว่าจะเป็นประเทศ!!” หรือมีการตั้งคำถามว่า “ประเทศไทยเป็นอาณานิคมของอเมริกาไปแล้วใช่หรือไม่!?”
จากการค้นพบของนักข่าวอเมริกันทำให้เป็นการสร้างความกดดันให้กับรัฐบาลทั้งสองประเทศจนกระทั่ง ต้องเปิดเผยความจริงออกมาทีละเล็กละน้อย โดยรัฐบาลไทยได้ออกมาพูดว่า “เราไม่เคยปิดบัง แต่รายละเอียดบางอย่างต้องสงวนไว้เพื่อประโยชน์ทางการทหาร”
แต่ถึงแม้รัฐบาลทั้งสองประเทศจะปิดบังข้อมูลอะไรไว้อีก ก็ไม่สามารถควบคุมได้แล้วล่ะครับ เมื่อเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในอเมริกาที่จะเป็นตัวกระชากความลับทั้งหมดที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ซ่อนเร้นเอาไว้ เหตุการณ์นั้น คือ “การรั่วไหลของเอกสารเพนตากอน” ซึ่งเป็นการรั่วไหลของเอกสารลับครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา!!
ภาพจาก The Pop History Dig (พาดหัวข่าวของThe New York Times เกี่ยวกับเอกสารเพนตากอน)
เอกสารเพนตากอน เป็นเอกสารของกระทรวงกลาโหมอเมริกาครับ โดยเอกสารนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทของอเมริกาในสงครามอินโดจีน ซึ่งมีจำนวนกว่า 7,000 หน้า โดยเอกสารลับนี้รั่วไหลมาจากเจ้าหน้าที่ของกลาโหมเอง!!
โดยเจ้าหน้าที่คนนี้ชื่อ แดเนียล เอลส์เบิร์ก ซึ่งแดเนียลคนนี้เนี่ย พอทำงานในกลาโหมไปเรื่อยๆ แล้วได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง เขาเลยเริ่มไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามในเวียดนามของอเมริกาครับ เขาคิดว่าการที่อเมริกาทำสงครามในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์!! ดังนั้นเขาจึงคิดว่าสังคมอเมริกันควรที่จะได้รับรู้ว่าอเมริกากำลังทำอะไรอยู่ แดเนียลจึงทำการลักลอบเอกสารนี้อย่างลับๆส่งไปให้นักข่าวของ The New York Times แล้วพิมพ์เอกสารนี้ออกสู่สายตาคนอเมริกันและคนทั้งโลกในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2514 (ค.ศ.1971)
ซึ่งเมื่อเอกสารรั่วไหลออกมาได้วันเดียว รัฐบาลอเมริกาได้ขอให้ยุติการพิมพ์เอกสาร แต่หนังสือพิมพ์ได้ปฏิเสธ พร้อมบอกว่า “คนอเมริกันควรมีสิทธิที่จะรู้ทุกอย่างว่ารัฐบาลของพวกเขากำลังทำอะไร”
ในที่สุดก็มีการฟ้อง The New York Times ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายในการให้ความลับแก่ศัตรู ทุกท่านลองทายกันดูครับ ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในชั้นศาล...
และแล้ว....ผู้ชนะคือ The New York Times นั่นเองครับ!! เพราะศาลชี้แจงว่า “สื่อมีไว้เพื่อรับใช้ผู้ถูกปกครองไม่ใช่ผู้ปกครอง และเสรีภาพของสื่อมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลเก็บซ่อนข้อมูลที่เป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลจากการรับรู้ของสังคม!!” (สุดยอดจริงๆครับ)
3
ดังนั้น เอกสารเพนตากอนจึงสามารถตีพิมพ์ได้ต่อไป ซึ่งเอกสารชุดนี้นี่แหละครับที่เป็นข้อมูลสำคัญในการเปิดเผยความจริงอันโหดร้ายหลายเรื่องเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม แน่นอนว่ารวมถึงเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยกับอเมริกา ปฏิบัติการลับและฐานทัพอเมริกาที่ปิดบังบิดเบือนมาโดยตลอด เป็นอันว่าเรื่องราวทุกอย่างก็ได้กระจ่างแจ้งต่อสาธารณชนทั่วโลกในที่สุดครับ
และจากการพยายามปิดบัง บิดเบือนความลับของรัฐบาลทั้งสองประเทศ ทำให้เครดิตความเชื่อใจจากประชาชนตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด...
การรั่วไหลของเอกสารเพนตากอนได้เปิดเผยทุกอย่าง...
การรับรู้นี้ทำให้ไทยต้องบาดหมางกับประเทศเพื่อนบ้านไปอีกหลายสิบปี...
ถูกตีตราว่า “เป็นลูกไล่อเมริกา” หรือ “ขี้ข้าอเมริกา”
และการรับรู้นี้แหละครับที่เป็นหนึ่งในชนวนสำคัญ ที่นำไปสู่เหตุการณ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยอย่าง เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516
และในอเมริกาเอง ได้นำไปสู่การประท้วงต่อต้านการทำสงครามเวียดนามของรัฐบาล ทำให้รัฐบาลอเมริกาต้องยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้เพราะโดนมวลชนต่อต้าน แล้วตัดสินใจถอนกำลังทหารออกจากภูมิภาคนี้ไปในที่สุด
และนี่ คือเรื่องราวทั้งหมดที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้(เคย)ปิดบังร่วมกัน...
ภาพจาก The New York Times (การต่อต้านสงครามของมวลชนอเมริกัน)
อ้างอิง
ประจักษ์ ก้องกีรติ. ก่อนจะถึง 14 ตุลาฯ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2545).
ทิพยวรรณ หอมกระหลบ. ไทยกับความช่วยเหลือของต่างประเทศ : การศึกษาเฉพาะกรณีความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา พ.ศ.2493-2519. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฆ, 2534).
Randolph, R. Sean. The United States and Thailand : Alliance Dynamics 1950-1985. Berkeley : Institute of East Asia Studies, University of California, 1986.
Sheehan, Neil, Hedrick Smith, E.W.Kenworthy, and Fox Butterfield. The Pentagon papers. New York, Bantam Books, 1971.
2

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา