15 มิ.ย. 2020 เวลา 12:26 • ความคิดเห็น
ภาพที่มองไม่เห็น เสียงที่ไม่ได้ยิน...ตีแผ่ด้านมืดของจิตใต้สำนึกของมนุษย์
ไม่มีใครเห็นและไม่มีใครได้ยินถ้าเขาไม่บอกเรา
หนุ่มออฟฟิศไฟแรงที่ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ เขามีเพื่อนสนิท เขามีหัวหน้า เพื่อนร่วมงานและลูกน้องในที่ทำงาน เขามีแฟนที่คบกันมาห้าปี เขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีจิตใจดี คอยเชื่อเหลือผู้อื่น มองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ
วันนี้เขาไปทำงานปกติ เจอเพื่อนร่วมงานและลูกน้องของเขา เขาทักทายและนัดกินข้าวเที่ยงตามปกติ เขาเข้าไปคุยกับหัวหน้าเรื่องงานประชุมใหญ่ที่จะถึงนี้ เขาเป็นตัวหลักที่จะนำเสนองานให้กับกรรมการบริหารและครั้งนี้ถ้าสำเร็จดี เขาน่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง
ในระหว่างกินข้าวเที่ยงอยู่นั้น เพื่อนสนิทของเขาโทรมาปรึกษาว่าโดนที่ทำงานกลั่นแกล้งหักหลังให้ออกจากงาน เขารับฟังและพยายามอธิบายให้เพื่อนเขาใจเย็น เขาบอกเพื่อนว่าคิดเองหรือเปล่าที่โดนกลั่นแกล้ง ถ้าไม่มีหลักฐานหรือพยานชัดเจน เราก็ไม่ควรรีบตัดสินคนอื่นนะ
เพื่อนของเขาโกรธมากที่ไม่เข้าข้างเขา เขาจึงตอบกลับไปว่า “เรื่องแบบนี้มันมีคนกล้าบอกกล้าทำให้เห็นกับตาด้วยหรือ ถ้าเขาสามารถรู้ถึงจิตใต้สำนึกของพวกมันได้ คงไม่โทรมาระบายกับนายหรอก” เขาจึงตัดสายทิ้งไป
เนื่องด้วยจิตใต้สำนึกที่ดีของเขาที่อยากช่วยเพื่อน ทำให้เขาตื่นมาในเช้ารุ่งขึ้นแล้วพบว่ามีตาที่สามหลบอยู่ข้างหลังหัวเขาและมีหูอีก 2 ข้างขนาบอยู่ด้านหลังหัวเขาด้วย เขารู้สึกตกใจมากเขาเห็นกระดาษแปะอยู่ตรงกระจกเขียนว่า "ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อป้องกันตัวเอง"
1
เขาสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาส่องกระจกอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่เห็นตาและหูที่งอกเพิ่มมาแล้ว สงสัยเขาคงตาฝาดไปเท่านั้น เขาหยิบโทรศัพท์แล้วเห็นข้อความที่เพื่อนสนิทส่งมาว่า “ตอนนี้สบายใจขึ้นละ แฟนช่วยปลอบจนเลิกคิดมากแล้ว ขอบใจมาก”
เขาไปทำงานปกติ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดจากการที่เขามีตาและหูเพิ่มขึ้นหลบอยู่หลังหัวเขา คือ การที่เขาเห็นและได้ยินเพื่อนร่วมงานที่สนิทกำลังแอบคุยกับหัวหน้าเพื่อหาวิธีบีบให้เขาลาออก ให้เขาทนอยู่ไม่ได้กับที่นี่ พยายามแย่งผลงานของเขาที่กำลังจะนำเสนออีกไม่กี่วัน
เขาได้ยินหัวหน้าแอบคุยกับกรรมการบริหารว่าเขาเป็นคนที่จะมาแย่งตำแหน่งหัวหน้าไป อยากจะปีนเกลียวขึ้นมา อยากเสนอหน้าเพื่อให้กรรมการเลื่อนตำแหน่งให้เขา
เขาเห็นและได้ยินลูกน้องของเขากำลังนินทาลับหลัง ทุกคำพูดที่เขาได้ยินมีแต่ความก้าวร้าวและล้อเลียนใส่เขาแทบทั้งหมด
เขารีบโทรไปหาเพื่อนสนิทของเขา บอกว่าเขาได้เห็นและได้ยินสิ่งที่คนอื่นๆแอบทำกับเขา เขาอยากระบายและปรึกษาจึงชวนเขาไปกินข้าวตอนเย็น แต่เพื่อนบอกว่าวันนี้เลิกดึก เดี๋ยวนัดกันครั้งหน้า
เขายังรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็นและได้ยินมาตลอดทั้งวัน จนเลิกงานตอนห้าโมงเย็น เขามีนัดกับแฟนของเขาที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง เขานั่งกินข้าวและพูดคุยกับเธอตามปกติ เขาเล่าให้เธอฟังเรื่องที่เกิดวันนี้ เธอเริ่มหน้าเสียและบอกเขาว่ารีบกลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่านะ
เขาถามเธอว่า “เดี๋ยวกินข้าวเย็นเสร็จจะให้ไปส่งที่บ้านมั้ย”
เธอตอบเขาว่า "เดี๋ยวเรากลับบ้านเอง วันนี้ไม่ต้องไปส่งที่บ้านหรอก เกรงใจเธอและเห็นว่าเธอทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน ไหนจะเกิดเรื่องแบบนี้อีก บ้านเธอกับบ้านเราคนละทางกัน เดี๋ยวเราจะแวะไปซื้อของต่ออีกนิดหน่อยด้วย”
ทันใดนั้นหูของเขาได้ยินเพิ่มเติมในน้ำเสียงที่ซ่อนไว้ว่า "ขืนไปส่งที่บ้านก็อดไปนอนกับเพื่อนเธอสิ คืนนี้ฉันจะได้สนุกกันทั้งคืน เธอไม่เคยให้ฉันสนุกแบบนั้นเลย มัวแต่ทำงานจนประสาทกินแบบนี้แน่ๆเลย ฉันจะอยู่กับคนแบบนี้ต่อได้ยังไงเนี่ย"
เขาคงไม่สบายหนักแน่ๆที่ได้ยินแบบนี้
เขาจึงแยกย้ายกับเธอ เขาแอบเดินอยู่ข้างหลังเธอ เขาตามเธอไป เขาเห็นว่าเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เขาได้ยินเสียงเพื่อนสนิทของเขานัดแนะเจอเธอที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
เธอกำลังเดินไปที่โรงแรมแห่งนั้น เขาเห็นเพื่อนแอบอยู่ทางเข้าโรงแรม เขาเห็นทั้งคู่กำลังหัวเราะและสนุกสนานเมื่อเจอหน้ากัน
เขาตกใจและทำอะไรไม่ถูก เขายืนนิ่งรู้สึกหน้าชาไปหมด น้ำตาของเขาเริ่มไหลขณะที่กำลังขับรถกลับบ้าน
เขากลับมาที่บ้าน เขาเสียใจและผิดหวังอย่างที่สุด เขาไม่คิดว่าเรื่องทั้งวันแบบนี้จะเกิดกับเขา
เขานั่งทบทวนตัวเอง เขาไปหยิบมีดเพื่อกรีดตาข้างหลังและตัดหูทั้งสองข้างที่เพิ่มเข้ามา เขาไม่อยากรับรู้ความจริงที่โหดร้ายแบบนี้ เขายอมตาบอดหูหนวกยังดีกว่าต้องรับรู้ว่าคนรอบตัวหักหลังและเสแสร้งเขาขนาดนี้
ทันทีที่เขากรีดตาและหูเหล่านั้น ความเจ็บปวดพร้อมกับเลือดไหลลงมาที่ตัวเขา เขาส่องกระจกอีกครั้งเพื่อดูว่าตาและหูนั้นออกไปหรือยัง เขาเพ่งดูก็พบความจริงว่า มันไม่มีตาและหูที่เพิ่มขึ้นมาอยู่แล้ว มันเป็นแค่จินตนาการที่เขาคิดขึ้นมาเอง
เขาร้องไห้ทรมานด้วยความเจ็บปวด แท้จริงแล้วเขาเห็นและรับรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งแต่แรก แต่เขาพยายามปิดซ่อนและพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามคิดว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด เขาพยายามทำเป็นตาบอดหูหนวกมาโดยตลอด หรือแท้จริงแล้วเขาก็เสแสร้งบอกตัวเองอยู่เดิมว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นทุกๆวันไม่เป็นความจริง
หลายครั้งที่เราพบความจริงว่าโดนหักหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องความรัก บางครั้งมันมักจะสายไปแล้วที่เราจะไหวตัวทันและเราก็กลายเป็นตัวละครหนึ่งในบทที่พวกเขาเขียนขึ้นมา
ในชีวิตจริง เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคนไหนเข้ามาจริงใจกับเราหรือเข้ามาเพื่อหักหลัง เสแสร้งใช้เราเป็นเครื่องมือ เราไม่สามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใต้สำนึกของพวกเขาเหล่านี้ได้ และถึงแม้เรารู้ว่าคนใกล้ชิดเรากำลังจะหักหลักและเสแสร้งเราก็ตาม บางทีเราก็ยอมตาบอดหูหนวกเพื่อที่จะไม่รับรู้สิ่งเหล่านี้และคอยหลอกตัวเอง เสแสร้งตัวเองอยู่ทุกวันไป
2
เรามีสองตาเพื่อดูโลกข้างหน้าแต่เราไม่เคยรู้ว่าข้างหลังเรา มีคนแอบหักหลังคอยทำร้ายเราหรือไม่ เรามีสองหูเพื่อใช้ฟังเสียงคนอื่นที่พูดกับเราอยู่ทุกวัน แต่เรามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่เสแสร้ง น้ำเสียงที่ไพเราะ ฟังแล้วน่ารื่นหูแต่ภายในใจอาจเป็นมีดคมๆที่คอยเฉือนกำลังใจอยู่ก็เป็นได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา