ในมุมมองของผมนั้น การใช้ P/E หรือ DCF ถ้ามองจากกราฟของ Product life cycle นั้น จะเหมาะกับธุรกิจที่เข้าสู่ช่วง Maturity state แล้วเป็นต้นไปมากกว่า
แต่ว่าธุรกิจส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่ม Mid/Small Cap ของอเมริกา มักจะอยู่ในช่วงของ Introduction state หรือ Growth state เป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้มักจะไม่ค่อยมีกำไร(Earning) ในการใช้คำนวณ P/E หรือ กระแสเงินสด(Free cass flow) ในการใช้คำนวณ DCF นั่นเอง
ทำให้เราจำเป็นต้องมองหาวิธีการ Valuation แบบอื่นเข้ามาใช้ในการประเมินมูลค่าของธุรกิจที่เราจะลงทุน โดยหลักการ Valuation นั้น เเบ่งออกเป็นแบบง่ายๆได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ Top down และ Bottom up
Top down valuation
การทำ Top down valuation นั้น หลักการหลักๆที่ผมใช้ก็คือ การที่หามูลค่าตลาดทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ของบริษัท แล้วประเมินว่า ถ้าหากบริษัทสามารถมี Market share เป็นจำนวนนึงจะมีมูลค่าที่เหมาะสมเท่าไหร่
นอกจากนี้ เรายังอาจจะใช้วิธีการแบบ Relative ก็ได้ เช่น หากหุ้นตัวนั้น เป็นธุรกิจที่จะเข้าไป Disrupt ธุรกิจเดิมที่มีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น Tesla ที่จะทำรถ EV เข้ามาแข่งกับอุตสาหกรรมรถยนต์ดั้งเดิม เราอาจจะลองมองยาวๆดูเพื่อเปรียบเทียบก็ได้ว่า ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ เช่น Toyota มีมูลค่าตลาดอยู่เท่าไหร่ แล้วถ้าหากว่า Tesla จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดในอนาคต ก็จะมีมูลค่าที่สูงกว่า Toyota ก็เป็นได้
1
แต่วิธีการเปรียบเทียบแบบนี้ ต้องระวัง เพราะ Business model ของทั้งสองบริษัทอาจจะไม่ได้เหมือนกัน เช่น Tesla เน้นการทำชิ้นส่วนเอง ส่วน Toyota เน้นสั่งชิ้นส่วนจาก Supplier ฉะนั้น อัตรากำไร NPM ของ Tesla ในระยะยาวก็อาจจะสูงกว่า Toyota ก็เป็นได้เพราะมีกำไรจากส่วนของชิ้นส่วนหรือแบตเตอรี่ที่ผลิตเองด้วย ในยอดขายที่เท่าๆกัน อาจจะทำให้ Tesla มีกำไรที่สูงกว่า Market cap ก็ควรจะสูงกว่าด้วยนั่นเอง
โดย Price ในที่นี้ หมายถึง Market Cap ส่วน EV นั่นก็สามารถคำนวณได้โดยใช้ Market Cap บวกกับเงินสดแล้วหักลบหนี้สินของกิจการออก (อ่านเรื่อง EV ได้ในเว็บไซต์ทั่วๆไปนะครับ)
โดยสรุปแล้วนั้น ในการทำ Valuation หุ้นที่ผมจะลงทุนนั้น ก็จะใช้วิธีการทั้งหมดนี้ในการประเมิน ไม่ได้ใช้วิธีการใดวิธีการนึงเท่านั้น เนื่องจาก การประเมินทั้ง Top down และ Bottom up จะทำให้เราได้เห็นภาพของกิจการได้รอบด้านมากขึ้นนั่นเอง