19 มิ.ย. 2020 เวลา 09:59 • หุ้น & เศรษฐกิจ
EP.087 - แนะนำกองทุนหุ้นต่างประเทศ
จากในตอนที่ผ่านๆมา ผมได้เริ่มจากการเล่าว่า ผมมีไอเดียในการเลือกตลาดที่จะลงทุนอย่างไร บริษัทแบบไหนที่น่าลงทุน รวมถึง การ Valuation หุ้นว่า เราจะประเมินความถูกแพงของหุ้นได้อย่างไร
แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์มากนัก หรือยังไม่ค่อยมีความมั่นใจในการลงทุนเองในต่างประเทศ ควรจะทำอย่างไรดี
คำแนะนำของผมก็คือ เราควรลงทุนทันที ไม่ควรที่จะรอ อย่าเพิ่งไปกังวลมากเกินไปว่า ตลาดขึ้นมาทำ All time high แล้ว จะไม่กล้าลงทุน ผมคิดว่า ถึงแม้ตลาดจะขึ้นมาสูง แต่เราก็ควรเริ่มลงมือทันที อย่างน้อย อาจจะซื้อติดไม้ติดมือไว้ อาจจะซัก 20-30% ของเงินทั้งหมดที่เราตั้งใจจะเอาไปลงทุนก่อนก็ได้ เพราะถ้าเรามัวแต่รอแล้วตลาดไม่ลงมา เราก็จะไม่ได้เริ่มสักที
การที่เรามี position ไว้ซัก 20-30% ของเงินที่จะลงทุนไว้ก่อน จะทำให้เราตั้งใจศึกษาและติดตาม (เพราะเราลงเงินไปแล้ว จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้) มันเป็นเหมือนการสร้าง commitment ให้กับตัวเองว่า ต้องเริ่มศึกษาได้เเล้วนะ
กรณีที่ตลาดยังขึ้นไปต่อ การที่เรามี position ไว้บ้าง ก็จะทำให้เราได้กำไรบ้างและเป็นกำลังใจให้เราได้ แต่ถ้าตลาดปรับตัวลดลงมา เราก็ยังเหลือเงินสดอีกกว่า 70-80% ไว้ซื้อเพิ่มในราคาที่เหมาะสม ลองสมมุติว่า ถ้าในสถานการณ์แบบตอนเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเกิดขึ้น ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลงจากจุดสูงอยู่ประมาณ 30% นั่นเเสดงว่า
ถ้าเรามี position ไว้ซัก 30% พอร์ตของเราจะเสียหายแค่ประมาณ 10% เท่านั้น ผมคิดว่า ความเสียหายแค่ 10% เป็นจุดที่เราน่าจะยอมรับได้ และ แก้ไขได้ไม่ยากนัก
สรุปก็คือ เริ่มเลย ในปริมาณเงินที่เหมาะสมที่เราจะรับความเสี่ยงได้
จากนั้น เราก็มาคิดกันต่อว่า แล้วจะลงทุนอะไรดีหล่ะ
1
ถ้าหากคุณเป็นนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญระดับนึงแล้ว ผมก็แนะนำว่า ให้ลองเลือกหุ้นที่ตัวเองชอบแล้วลองลงทุนเองดูเลย แต่ว่า ถ้าหากคุณเป็นนักลงทุนที่ยังไม่เชี่ยวชาญ จะทำอย่างไร คำแนะนำของผมคือ ลองเลือกซื้อกองทุนที่คุณคิดว่าน่าสนใจ แล้วลงทุนไปกับกองทุนเหล่านั้นดูก็ได้
1
เพราะฉะนั้นในบทความนี้ ผมจะเล่าถึงวิธีการเลือกกองทุนที่น่าสนใจในมุมมองของผมดูครับ ว่าผมมีวิธีคิดอย่างไร
การเลือกกองทุนในการลงทุนนั้น สำหรับผมก็ไม่ต่างจากการเลือกลงทุนในหุ้นครับ
การลงทุนในหุ้น เราอาจจะวิเคราะห์ว่า CEO เก่งแค่ไหน การวิเคราะห์กองทุน เราก็ต้องพิจารณาดูว่า Fund manager เก่งหรือไม่
การลงทุนในหุ้น เราวิเคราะห์ว่าผลการดำเนินงานในอดีตเป็นอย่างไร การวิเคราะห์กองทุน เราก็อาจจะพิจารณาได้จาก Track record ในอดีตของกองทุนที่ผ่านมา
การลงทุนในหุ้น เราวิเคราะห์ถึงแนวโน้มของการธุรกิจในอนาคต พอเรามาวิเคราะห์กองทุน เราก็ต้องวิเคราะห์แนวโน้มของธุรกิจที่กองทุนไปลงทุนเช่นเดียวกัน
1
ที่ผ่านมา ผมมักจะได้รับคำถามจากเพื่อนๆของผมมาตลอดว่า “กองทุนนี้ดีไหม” “แนะนำหน่อยซื้อกองทุนไหนดี” สิ่งที่ผมจะทำอย่างแรกเลยก็คือ ผมจะเปิดหา Factsheet ของกองทุนนั้นๆ แล้วดูว่า Top 5 หรือ Top 10 holding ของกองทุนนั้นเป็นอย่างไร ถือหุ้นอะไรบ้าง มีแนวโน้มดีไหม เพราะหุ้นกลุ่มนี้ คือหุ้นตัวที่จะชี้เป็นชี้ตายอนาคตของกองทุนแบบมีนัยยะสำคัญ และ บ่งบอกถึงแนวทางในการลงทุนของกองทุนได้ดี
ถ้าหากว่า หุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่ดีในอนาคต ผมก็จะเชื่อมั่นได้ในระดับนึงว่า กองทุนนี้มีโอกาสจะทำกำไรได้ในอนาคตนั่นเอง
ในบทความนี้ ผมจะขอยกตัวอย่างการวิเคราะห์ 3 กองทุนทั้งที่น่าลงทุน และ ไม่น่าลงทุน มาให้พิจารณากันครับ
กองทุนที่ 1 ONE-UGG-RA
อันนี้ง่ายหน่อย เพราะกองทุนนี้ เราสามารถซื้อได้เลยผ่านพอร์ตกองทุนของ One Asset Management ไม่ต้องไปเปิดพอร์ตหุ้นต่างประเทศให้ยุ่งยาก
1
โดยกองทุนนี้ จะนำเงินของเราไปลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund โดยนโยบายของกองทุนนี้ จะเน้นการลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีการเติบโตสูง การเริ่มต้นลงทุนไม่มีขั้นต่ำ สามารถเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ 1 บาทเลย
1
ผมได้ศึกษาดูกองทุนนี้ มีผลตอบเเทนที่ผ่านมาเข้าขั้นดี ผลดำเนินงานของกองทุนกว่า 15 ปี สามารถทำผลตอบแทนได้ 14.40% ต่อปี ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเรามองแค่ 3 ปีล่าสุด ทำผลตอบแทนได้ถึง 24.36% ต่อปีหลังจากหักค่าธรรมเนียมแล้ว (โดยกองทุนมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ประมาณ 2.2791% ต่อปีของเงินลงทุนทั้งหมด)
1
เมื่อมาลองดูที่ Top 10 holding ของกองทุน ถือเป็นสัดส่วนรวมกันถึง 54.9% แสดงว่า เค้าต้องมั่นใจในหุ้นกลุ่มนี้มากเหมือนกัน โดยกองทุนเน้นลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโตสูงและกระจายในหลายๆกลุ่มธุรกิจ
ถ้าวิเคราะห์ให้ละเอียดถึงหุ้นในกลุ่มนี้ เช่น Amazon ผมก็คิดว่าจะโตต่อได้อีกยาว, Facebook & Google ก็เป็นผู้ที่มีสัดส่วน Online Advertising รวมกันถึง 50% ใน USA, Illumina ก็เป็นผู้นำในด้าน Geonomics, NVIDIA ผู้ผลิต GPU เจ้าใหญ่ที่มีความจำเป็นมากสำหรับการทำ AI Machine Learning, Tesla ผู้นำในด้านรถยนต์ EV
1
นอกจากนี้ ผมชอบที่กองทุนไม่ได้เน้นไปที่อเมริกาอย่างเดียว กองทุนลงทุนใน Tencent และ Alibaba ด้วย โดยผมเชื่อว่า 2 ผู้เล่นใหญ่ในจีนนี้ จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเติบโตของประเทศจีนได้ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าหากผมจะลงทุนในหุ้นจีน 2 ตัวแรกที่ผมจะลงทุนก็คือ 2 ตัวนี้แหละ เพราะ นอกจากธุรกิจของเค้าเองแล้ว เค้ายังมีส่วนธุรกิจที่เป็น Venture Capital ของเค้าเองที่ไปลงทุนใน Startup ดีๆในจีนอีกด้วย ซึ่งโดนปกติแล้ว Startup ในจีนถ้าอยากจะเติบโต มักจะต้องรับเงินทุนจาก 1 ใน 2 บริษัทนี้ เพราะทั้งสองบริษัทมี Platform ที่ช่วยเร่งการเติบโตได้ดี
2
นี่คือลักษณะของกองทุนที่ผมชอบ (ก่อนหน้านี้ เวลามีเพื่อนมาถามหากองทุน ผมก็จะแนะนำให้เพื่อนซื้อกองทุนนี้แหละ)
กองทุนที่ 2 ARK ETF
1
ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า ETF คืออะไร
ETF ย่อมาจาก Exchange-Traded Fund ก็คือ กองทุนรวมที่นำหน่วยลงทุนมาซื้อขายได้ในตลาดหุ้นนั่นเอง โดยถ้าจะซื้อกองทุนนี้ ความยากขึ้นมาอีกขั้นก็คือ ต้องมีพอร์ตหุ้นที่สามารถซื้อขายในตลาดอเมริกาได้ก่อนครับ แล้วเราก็เอาพอร์ตนั้นมาซื้อหน่วยลงทุนที่ Listed ในตลาดได้เลย เหมือนซื้อหุ้นตัวนึง
ETF ที่ผมจะเเนะนำเป็น ETF ที่บริหารโดย ARK Invest ซึ่งเค้าจะเน้นลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับ Innovation เป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ARKK ที่ Cathie Wood บริหารนั้น มี Top 10 Holding หลายตัวที่เป็นผู้นำด้าน Innovation ในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น Tesla, Illumina, Square (ผมยอมรับว่า บางตัวผมก็ไม่เคยดูและไม่เข้าใจจริงๆ ต้องศึกษาเพิ่มเติม)
โดยกองทุน ARKK นี้ ทำผลตอบแทนตั้งแต่ก่อตั้งมาเกือบ 6 ปี อยู่ที่ 17.25% ต่อปี และถ้านับเฉพาะ 3 ปีล่าสุด จะอยู่ที่ 24.72% ซึ่งผมคิดว่าผลงานเข้าตาเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ARK Invest ยังออกกองทุน ETF อื่นๆออกมาด้วย เช่น ARKW ซึ่งจะเน้นในการลงทุนหุ้นที่เกี่ยวกับ Next-Generation Internet หรือ ARKF ที่เน้นลงทุนในหุ้น Fintech เป็นหลัก ซึ่งถ้าหากเราสนใจด้านใดเป็นพิเศษ เราก็สามารถที่จะเลือกลงทุนได้ตามที่เราสนใจได้เลย
กองทุนที่ 3 Jitta Wealth สำหรับตลาด USA
กองทุนนี้ ในมุมมองความคิดเห็นส่วนตัวของผมคือ ไม่เเนะนำให้ลงทุนนะครับ
เนื่องจากแนวคิดของกองทุนนี้คือ การนำงบการเงินย้อนหลังมาวิเคราะห์เป็น Jitta Score แล้วเงินไปลงทุนในหุ้นที่มี Jitta Score สูงที่สุด 30 ตัวแรก
สำหรับผมแล้ว ผมไม่เชื่อในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นจากงบการเงินย้อนหลัง เนื่องจาก งบการเงินย้อนหลังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ไม่มีอะไรจะการันตีหรือบอกเราได้เลยว่า บริษัทจะดีได้ในอนาคต สิ่งที่จะบอกการเติบโตและความมั่นคงในอนาคตของบริษัทได้ คือ Competitive Advantage และ Business Model ของบริษัทต่างหาก
ยิ่งในโลกปัจจุบัน ในยุคของ Digital Economy แล้วนั้น มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก การเเข่งขันในการสร้าง Innovation ของธุรกิจมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราจะเห็นได้จากบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน คือ จีน และ อเมริกา เน้นในการลงทุนด้าน Innovation เป็นจำนวนมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้บริษัทมี Competitve Advantage ที่มากกว่าคู่แข่ง
ถ้าว่ากันตาม Logic แล้ว Competitive Advantage คือเหตุ ส่วน งบการเงิน ก็คือ ผล นั่นเอง
1
การวิเคราะห์และซื้อหุ้นโดยดูจากแค่งบการเงินย้อนหลัง ก็เหมือนกับการขับรถโดยมองแค่กระจกหลังเท่านั้น การขับขี่ที่ปลอดภัยควรมองไปข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนกับการที่เรามองว่าธุรกิจในอนาคตจะไปทางไหน อุปสรรคคืออะไร เราควรจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาซึ่งก็ไม่ต่างจากการที่บริษัทจะเลือกว่าจะใช้กลยุทธิ์บริหารธุรกิจอย่างไร
ถึงแม้ว่า Jitta จะบอกว่า ใช้วิธีการวิเคราะห์งบการเงินและแนวทางลงทุนของ Warren Buffett ก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยเชื่อว่าในปัจจุบัน Buffett จะลงทุนในหุ้นโดยการดูแค่งบการเงินย้อนหลังนะครับ สิ่งที่ Buffett เน้นที่สุดในการเลือกการลงทุนก็คือ Sustainable competitive advantage หรือความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนของธุรกิจต่างหาก
ในส่วนของผลตอบแทนการลงทุนของกองทุน Jitta Wealth นั้น ถ้าใครสนใจก็ลองไปหาดูเพิ่มเติมได้ครับ แต่เท่าที่ผมเห็นมา ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ รวมถึง หุ้นที่กองทุนถือ ในความคิดเห็นของผมก็ดูไม่ค่อยจะมีอนาคตเลย
1
ผมให้แนวคิดในการคิดและวิเคราะห์การลงทุนผ่านกองทุนไว้แบบนี้ละกันครับ
ก่อนจบ ผมของออกตัวก่อนว่า ผมเป็นนักลงทุนอิสระ ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆเลยกับกองทุนทั้ง 3 กองที่ยกตัวอย่างมาในบทความนี้ ผมอาจจะวิเคราะห์ผิดหรือถูกก็ได้ ซึ่งก็เหมือนเวลาเราวิเคราะห์หุ้น ก็ต้องให้ผู้อ่านทุกคนเป็นคนพิจารณาเองครับว่าสมเหตุสมผลหรือไม่
ถ้าเพื่อนๆอยากทราบอะไรเพิ่มเติมหรืออยากเสนอเเนะอะไร ก็เข้ามาพูดคุยกันได้ครับ
ติดตามอ่านบทความตอนเก่าๆได้ที่

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา