19 มิ.ย. 2020 เวลา 19:31 • การศึกษา
ไหนๆใครเป็นคนไร้ศาสนา ยกมือขึ้นหน่อย!!
ดูคลิปข่าวมา เขาบอกว่า ผู้ที่ประกาศตนเป็นคนไร้ศาสนามีเพิ่มขึ้น ตอนนี้ถึง1,200ล้านคนทั่วโลก มากกว่าคนนับถือศาสนาฮินดูซึ่งเป็นศาสนาอันดับ3ของโลกเสียอีก...และในประเทศไทยแม้คนส่วนใหญ่93%จะนับถือพุทธ แต่นักวิเคราะห์คาดว่า ในจำนวนนี้น่าจะมีถึง 20% ที่ตกลงปลงใจเป็นคนไร้ศาสนาแต่ยังไม่แสดงออกมาชัดเจน..
ส่วนใหญ่ คนไร้ศาสนา ที่เพิ่มขึ้น จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น วัยทำงาน เป็นผู้ใหญ่ตอนต้นไปถึงกลางๆ เป็นคนมีการศึกษา เป็นนักคิด นักเขียน มีความเป็นตัวของตัวเอง ...55+ ในBlockdit นี่ คงมีไม่น้อยนะ..เนี่ย..
สำหรับเพื่อนๆที่ผ่านมาอ่านพอดี แล้วเผอิญว่า เพื่อนเป็นคนไร้ศาสนา อยากบอกว่า ติดตามเพจผมได้นะ (^^งานขาย ก็มาแหละ) เพจนี้นำเสนอ ในแนวฝึกจิต จะไม่ได้ยกอภินิหาร บาปบุญอะไร ไม่ทำให้เพื่อนๆอ่านแล้วรู้สึกรำคาญแน่นอน ผมเข้าใจว่า เพื่อนๆคงเบื่อกับกรอบธรรมเนียม เบื่อพฤติกรรมของนักบวช เบื่อส่วนเปลือกอะไรหลายๆอย่างของศาสนาใช่มั้ย ..ผมก็เป็นนะ...
พวกเรา คือ ผลผลิตของความล้มเหลวในหลักสูตรการสอนพุทธศาสนา ของกระทรวงศึกษาธิการ.. ล้มเหลวพอๆกันกับ หลักสูตรภาษาอังกฤษเลย
ความจริงพุทธศาสตร์ แก่นของมันคือ เรื่องจิต ไม่ว่าจะมีศาสนาหรือไม่มี แต่เพื่อนๆมีจิตอยู่ภายในแน่นอน ดังนั้น ก็ศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพของจิตได้ มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเพื่อนนะ
เพื่อนๆอาจบอกว่า "จิตฉันเข้มแข็งอยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าห่วงเลย" "จิตฉันก็ปกติดี" "รู้ไหมว่า...กว่าจะมีวันนี้ได้ ฉันนี่ผ่านความทุกข์มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว" "..ฉันทำงานเก่ง ฉันหาเงินได้ ฉันคิดเองได้ ..ไม่ต้องมีใครมาสอนฉัน ฉันสอนตัวเองได้.."
จริเหรอเพื่อน..? เพื่อนๆยังมีความอยาก ในสิ่งที่เพื่อนก็รู้ว่าไม่ควรอยู่ไหม?
เช่น อยากดื่มกาแฟ ถ้าไม่ดื่มจะทำงานได้ไม่ดี ,อยากดูดบุหรี่, อยากซื้อกระเป๋า รองเท้า ทั้งที่ก็รู้ว่าตอนนี้ไม่จำเป็น , อยากซื้อครีม ทั้งที่ๆพึ่งซื้อไปเมื่อวาน..ฯลฯ
พอเกิดความอยากทีไร ก็ห้ามใจไม่ได้ด้วยนะ.. สุดท้ายก็ทำตามความอยากทุกที พอรู้ตัว แล้วก็บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ครั้งต่อไป ค่อยลด ละ เลิก เริ่มใหม่ละกันนะ..
ถ้าเพื่อนๆเป็นแบบตัวอย่างข้างต้นอยู่ แล้วรู้สึกว่า ควรเปลี่ยนตัวเองสักที ควรฝึกควบคุมตนเองให้ได้มากกว่านี้.. เพื่อนๆหันมาศึกษาทางพุทธ นี่คือใช่เลยนะ!! เพราะ ศัตรูที่สำคัญที่สุด ที่พระพุทธเจ้าให้ขจัดเสียให้สิ้น ก็คือ "ตัณหา" นั่นก็คือเจ้า"ความอยาก" นี่แหละ..
ดังนั้นพระพุทธเจ้า จึงได้เขียนหลักธรรมไว้มากมายให้เราได้ศึกษาขวนขวาย นำไปปฏิบัติ เพื่อชนะ เจ้า"ความอยาก" ซึ่งทางเพจนี้ ก็ตั้งใจจะนำเสนอบทความดีๆให้เพื่อนๆได้ อ่านกันเรื่อยๆนะ กดติดตามไว้นะ(55+งานขาย มาอีกแหละ)
วันนี้ เพื่อป็นการปูพื้นจิตให้เพื่อนๆเข้าใจศาสตร์แห่งพุทธมากขึ้น ขอนำเสนอเรื่องของปัญญา
ปัญญามีที่มาจาก 3ทาง จำได้ไหมเพื่อน เราเคยเรียนกันสมัยประถม-มัธยม
1.สุตมยปัญญา - การฟัง การอ่าน
2.จินตมยปัญญา -การคิด วิเคราะห์
3.ภาวนามยปัญญา -การภาวนา
สองตัวแรก "สุต.."กับ "จิน.." เนี่ย เราคงคุ้นเคยกันดี มันอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่ตัวสุดท้ายนี่สิ เคยสงสัยไหมว่า ตัว"ภาวนามย"เนี่ย..มันคืออีหยังหว่า?
ครูประถมของผมบอกว่า "ภาวนามยปัญญา" คือ ปัญญาที่ได้จากการสวดมนต์..เอิ่ม ,ครูมัธยมบอกว่า เป็นปัญญาที่ได้จากนั่งสมาธิ.. เอิ่ม. แม้แต่ปัจจุบันนี้ เซิจเนทดูความหมายของคำนี้จากหลายเพจ ก็อธิบายพอเข้าใจนะแต่ค่อนข้างนามธรรม แบบกลางๆ จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็นภาพเลย...
จริงๆแล้ว ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่ได้จากการฝึกจิต จน"เห็นความเป็นจริง" นั่นคือ เห็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ,เห็นความไม่มีตัวตน, เห็นธาตุ, เห็นขันธ์ หรือ เห็นปฏิจจสมุปบาท ไปเลย..นั่นเอง (ถ้าเห็นได้อ่ะนะ!!)
ย้ำนะ ใช้คำว่า "เห็น" ย้ำอีกที คำว่า"เห็น" นะ "เห็นความจริง" ไม่ใช่ รู้ความจริง.. คือ รู้ความจริงเนี่ย ใครๆก็รู้ แค่เคยอ่านมา เคยฟังมา สุตต-จินต มาก็รู้ เช่น รู้แล้วว่าสรรพสิ่งไม่เที่ยง รู้ว่าเป็นทุกข์ ..นี่คือรู้ระดับสมองเท่านั้น มันไม่ได้เห็นที่จิต...
แบบไหนล่ะที่ว่า"เห็น" ง่ายๆก็คือ มันไม่ผ่านสมองไง ถ้าผ่านสมองก็คือ คิด นั่นคือไม่ใช่.. เห็นที่ว่านี่คือ ตรงเข้าที่จิตเลย งงมะ..55
เพื่อนๆเคยมะ แบบ เคยไปงานศพ แล้วเห็นโลงศพตั้งอยู่ เพื่อนๆรู้สึกสลดใจ แล้วจู่ๆก็รู้สึกว่า ชีวิตนี้มันไม่แน่นอนจริงๆ...เป็นความรู้สึกแวบเดียว ยิงปร๊าดเข้ามาในจิต ทำให้เพื่อนรู้สึกสลด...นิ่งสตั๊นไปชั่วขณะ ..นั่นแหละจิตเห็นความไม่เที่ยง..เห็นไตรลักษณ์
หรือ เพื่อนๆเคยส่องกระจก แล้วเห็นเส้นผมเริ่มร่วง บางลง แล้ว ก็รู้สึกแวบเดียวขึ้นมา ยิงปร๊าดตรงเข้ามาในจิตเลย เฮ้อ..ร่างกายร่วงโรย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์จริงๆ ..แวบเดียวต่อ กลับรู้สึกถึงความตายขึ้นมา ความตายที่เราต้องเจอ รู้สึกสลดใจ...เป็นต้น
นี่คือตัวอย่างของคำว่า"เห็น" มันเป็นสิ่งที่บังคับไม่ได้ด้วยนะ..มันจะมาเอง..จิตเห็นเอง จิตรู้สึกเอง..นั่นหมายถึง เราจะต้องสะสมความรู้ทางธรรมมาในระดับหนึ่งด้วย สุตต กับ จินต และต้องมีความสงบในระดับหนึ่งด้วยการ ภาวนา เพื่อให้จิตสงบ มีสมาธิ พอที่จะเห็น...ถ้าจิตยังฟุ้งซ่าน คิดนู้นคิดนี่ไปเรื่อย ไม่ได้หยุดพักเลย..จะมีเวลาสงบ หันมารู้ มาเห็นความจริงได้อย่างไร
คำว่า "เห็นธรรม" มันจะอารมณ์แบบนี้นะ รู้ไว้เป็นภาคทฤษฎี คือ จิตจะเห็นเอง ไม่มีใครสั่งจิตได้ มันไม่ได้จะเห็นกันได้ทุกคน แต่ละคนมีวิถีของตัวเอง เฝ้าฝึกปฎิบัติไปจนถึงวันที่เหตุปัจจัยถึงพร้อม จิตก็จะเริ่มเห็นเอง แต่ก็จะเห็นได้เพียงแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นความคิด จินต ก็จะเริ่มเข้ามาแทนที่ ชักนำให้คิดนู้นนี่ไปตามธรรมชาติ
ถ้าเพื่อนๆเคย"เห็น"โดยที่ยังไม่ได้ฝึกจิต จริงจังอะไร แสดงว่า มีฐานธรรมมาดี อาจจะฝักใฝ่มาในวัยเด็กมาก่อน..หรืออาจตั้งแต่อดีตชาติ long time ago ไรงี้ (ครูอาจารย์บอกมาแบบนี้)
หนึ่งในวิธีการฝึกภาวนา เพื่อให้จิตสงบ ก็คือ การสวดมนต์,การนั่งสมาธิ ดังนั้นครูสมัยประถม-มัธยม ของผม ก็ไม่ผิดนะที่จะตอบแบบนั้น แค่ตอบไม่ครอบคลุมทั้งหมดเท่านั้นเอง (วิธีการฝึกภาวนา มีหลายแบบ ไว้จะนำเสนอในบทความถัดๆไป)
สุดท้ายนี้ ไม่อยากให้เพื่อนๆเป็นน้ำเต็มแก้วนะ อยากให้เปิดใจ และอย่าลืมว่า ปัญญาที่เรามีกันอยู่ มันแค่มาจาก2ส่วน(สุตต-จินต)มันยังมีอีกส่วนหนึ่ง ให้เพื่อนๆได้แสวงหา ก็คือ "ภาวนามยปัญญา" ซึ่งเป็นปัญญาที่ควรได้มา.. เป็นปัญญาที่จะทำให้เราเห็นความจริงของชีวิต..ด้วยจิตที่บริสุทธิ์..
..เราจะได้ไม่กดดันตัวเองในการทำงานจนเกินไป ทั้งที่ไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะยังมีชีวิตอยู่ไหม,
..เราจะได้ปล่อยวางร่างกายที่เสื่อมโทรมลงไปทุกวัน ทุกครั้งที่เราส่องกระจก,
..เราจะได้ไม่หลงใหลรูปลักษณ์ภายนอกของใคร จนเป็นเหตุให้เราถูกหลอกจากคนไม่หวังดี
ที่ยกมานี่คือ "ปัญญา"จากภาวนาเท่านั้น ถึงจะทำให้จิตเห็นความจริง มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งตามสิ่งที่มันควรเป็น จนสามารถจัดการ ลด ละ ปล่อยวาง เรื่องต่างๆให้เหมาะสมตามครรลองได้...นี่คือ ความฉลาดที่เพื่อนๆจะได้รับ จากภาวนามยปัญญา...ไม่เสียหลายแน่ ถ้าเพื่อนๆหันมาฝึกภาวนากัน..
ใครต้องการความรู้เพิ่ม ตามลิงค์เลยจ้า ยาวนะ เหมาะกับคนชอบอ่าน
อันนี้ไว้คลิปข่าว เกี่ยวกับเรื่อง"คนไร้ศาสนา"
📱ช่องทางติดต่อ..แนะนำ,ติชม,พูดคุย..😀
มาเป็นเพื่อนกันที่..Line Open Chat
"จิตสอนธรรม" 👇 คลิกลิงค์ด้านล่างนี้เลยจ้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา