23 มิ.ย. 2020 เวลา 18:30 • การศึกษา
"ทำความดี ละเว้นความชั่ว
ทำจิตใจให้ผ่องใส"
คือหัวใจของพระพุทธศาสนา
เป็นวลีที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก
ตอนเรียนวิชาพระพุทธศาสนา
2
ไม่รู้ว่า จะมีใครเป็นเหมือนผมไหม
เพราะวลีนี้แหละ ที่ทำให้รู้สึกว่า
พุทธศาสนาไม่เห็นจะมีอะไรเลย
ก็ทำดี ละเว้นชั่ว แค่นั้นเอง
ยี่งกำกับลงท้ายว่า หัวใจ ของศาสนาด้วย
โอย จบบรรลุแร่ะ ง่ายจริงๆ
ประกอบกับ ผู้ใหญ่พาเข้าวัดทำบุญ สาธุไปตามธรรมเนียมประเพณี ไม่ได้พบเห็นการปฏิบัติที่แท้จริงใดๆ.. เติบโตมากับเรื่องเล่าที่ว่า..ทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก.. พอมีโอกาสได้ฟังพระเทศน์ ก็จะมีแต่ให้ทำดี จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นเปรต (ออ ตอนเด็กๆมีละครเรื่อง เปรตวัดสุทัศน์ มาฉายด้วย ทำให้เห็นภาพชัดเจน)
พอผ่านวัยเด็ก สู่วัยรุ่น เข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย ความสนใจในศาสนาก็ยิ่งน้อยลง เพราะเรื่องราวทางโลกก็โถมเข้ามาตามวัย สุดท้ายพอเติบโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็จะไปจับแต่ในเรื่อง ทำบุญ ทำทาน ทำความดี อะไรทำนองนั้น เพราะ ถูกหลอมมาว่า "ให้ทำดี ละเว้นชั่ว" ซึ่งการทำบุญ ทำทาน ก็คือการทำความดีไง จบไหมล่ะ และเราก็เข้าใจว่า นี่แหละ..หัวใจพุทธศาสนา
จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ หันไปทางไหน ก็เจอแต่คนชวนทำบุญ สายบุญกันทั้งนั้น บ้างก็ทำด้วยใจ บ้างก็หลงลึกไปในบุญ บ้างก็ทำเพราะมีประโยชน์แอบแฝง บ้างก็เป็นธุรกิจ มีทุกรูปแบบสนุกสนานกันไป
แต่เคยฉุกคิดกับคำนี้ไหม...คำที่ว่า..
"บุญจากการภาวนา คือ บุญบารมีขั้นสูงที่สุด"
เขาบอกว่า สูงที่สุดเลยนะเพื่อน
ไม่นึกแปลกใจบ้างเหรอว่าทำไม ท่านถึงยกให้เป็นบุญที่สูงที่สุด สูงกว่า การทำทาน รักษาศีล เสียอีก ทั้งที่ไม่ได้ออกแรงไปช่วยใครเลย ไม่ได้เสียสละให้ทานใครด้วย..
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า พุทธศาสตร์มุ่งให้มาทางนี้นะ คือให้มาทางสายปฏิบัติภาวนา แต่ไม่รู้ว่าสังคมที่เราอยู่ หลอมเรามาอีท่าไหน กลายเป็นสะดุด หยุดอยู่แค่ สายทำบุญ ทำทาน มาไม่ถึง การเป็นผู้ปฏิบัติภาวนา สักที
ทุกวันนี้ สายทำบุญ ก็เลยมีมากกว่า สายปฏิบัติ.. มีแต่ชวนทำบุญ ไม่ค่อยมีชวนปฏิบัติเลย
มาๆวันนี้ เรามาเริ่มทำความเข้าใจแก่นแท้ของพุทธศาสตร์กันใหม่
แก่นแท้จริงๆ ของพุทธศาสตร์
คือ.. "ทำลายอวิชชา"
อวิชชา คือ "ความไม่รู้"
คือ การไม่รู้ อริยสัจ4 นั่นเอง..
ไม่รู้ "ทุกข์"
ไม่รู้ "สมุทัย"
ไม่รู้ "นิโรธ"
ไม่รู้ "มรรค"
ไม่รู้ "ความเป็นจริง" แห่งกฏไตรลักษณ์
ไม่รู้ ความจริงว่า "เราไม่มีตัวตน"
โอว!!"เราไม่มีตัวตน"
"ไม่มีตัวตน"คือยังไงล่ะเนี่ย!?
"จะไม่มีตัวตนได้ไง ก็ฉันนี่ไง!! ฉันที่กำลังนั่งอ่านบทความที่แกเขียน..นี่ไงตัวฉัน"
ใช่แล้ว..เพื่อน..เพื่อนก็ไม่มีตัวตนไง ถูกแล้ว
ผม ที่เป็นคนเขียนก็ไม่มีตัวตนเช่นกัน 55+
"นี่มันไปกันใหญ่แล้ว บ้าบอชัดๆ"
ใจเย็นเพื่อนๆ เอางี้ เรามาวิเคราะห์กัน
เพื่อนบอกว่า ตัวฉันกำลังนั่งอ่านบทความบ้าๆนี้อยู่ใช่ไหม...คำว่า"ตัวฉัน"ของเพื่อนๆคืออะไร.?
คือ ร่างกาย,คือ มือที่ถือโทรศัพท์อยู่,คือ ตาที่จ้องมองตัวอักษรนี้อยู่ จริงไหม..เนี่ย!!ภาษาธรรม เขาเรียกว่า"รูปขันธ์"
แล้วจู่ๆ เจ้า"รูปขันธ์"หรือ เจ้าร่างกาย มันจะมาหยิบโทรศัพท์อ่านบทความนี้เองเหรอ?.
ก็ไม่ใช่ ถูกไหม... เพราะ มันมีจิตสั่งให้ร่างกายทำงาน ถูกป่ะ ที่เขาพูดว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"ไง เพราะฉะนั้น คำว่า "ตัวฉัน" เนี่ย ไม่ใช่ร่างกายแน่นอน..
มาดูที่ จิตใจ กันบ้าง ..จิตคือ"ตัวฉัน"เหรอ..
มันก็น่าจะใช่นะ..ก็จิตฉันไง ที่บงการนู้นนั่นนี่ สั่งให้ทำนู้นทำนี่ ..เดี๋ยวนะๆ ถ้าจิตคือฉัน แล้วทำไมฉันห้ามใจตัวเองไม่ได้เลย .. เช่น คิดจะไม่โกรธ สุดท้ายก็โกรธ ,ไม่อยากเสียใจ แต่ก็เศร้าน้ำตาไหล, ไม่อยากรู้สึกเหงา ก็เหงาอยู่ดี
ตกลงจิตมันเป็นตัวฉันรึเปล่าเนี่ย..?
มาลงลึกไปที่จิตอีก.. ใครอ่านถึงตรงนี้ ติดตามถึงบรรทัดนี้ได้ แสดงว่า จิตอยากอ่านให้จบใช่ป่ะ? ถ้ารำคาญ จิตคงสั่งให้เลิกอ่านไปแล้ว...ตรงนี้เขาเรียกว่า จิตปรุงแต่งความอยาก ก็คือ"สังขารขันธ์"
แล้วทำไม จิตถึงปรุงแต่ง ให้อยากอ่านต่อให้จบล่ะ...เพราะ เคยอ่านบทความคล้ายๆกันมาก่อน จึงอยากอ่านต่อ จะได้รู้ว่าเขียนเหมือนกันไหม.. หรือ เพราะมีความรู้มาก่อน หรือ สนใจด้านนี้พอดี หรือมีประสบการณ์เดิมมาก่อน เนี่ยเขาเรียกว่า มี "สัญญาขันธ์" คือ ความจำได้หมายรู้ของเดิม ที่เป็นตัวกระตุ้นให้จิตปรุงแต่ง กระตุ้นให้เจ้า"สังขารขันธ์"ทำงาน..
อ่านถึงตรงนี้แล้วรู้สึกโอเคไหม เข้าใจดี หรือ อ่านแล้วงงไปกันใหญ่..หรือ อ่านไปก็ด่าผมไป รู้สึกหงุดหงิด รำคาญ โมโห เขียนบ้าอะไรของมัน เนี่ย!!เขาเรียก "เวทนาขันธ์"
สรุป จิตที่ว่า เป็นตัวฉัน ตอนนี้เนี่ย มันทำงานเห็นชัดเจนอยู่3ตัวเลยนะ แล้วตัวไหนอ่ะ ที่เป็น "ตัวฉัน" ของเพื่อนๆล่ะ?
เพื่อนคงตอบว่า..
"ก็เป็นตัวฉัน ทั้ง3อันนั้นแหละ!! จบๆไป
55+โอเคเพื่อน เพื่อนว่าไง ผมก็ว่างั้นก็ได้
งั้นมาสรุปการวิเคราะห์กันสักนิด
สรุปว่า..
ณ จุดๆนี้ เพื่อนรับรู้ชัดเจนแล้วใช่ไหม ว่า
- ร่างกายไม่ใช่ตัวฉัน แน่ๆล่ะ อันนี้ชัดเจน
- จิตเป็นตัวฉัน รึเปล่า? อันนี้ไม่รู้แน่ชัด แต่ที่รู้แน่ๆมันไม่ได้มีจิตเดียวที่ทำงานนะ มันมีตั้ง 3 จิต ที่ทำงานร่วมกัน แน่ะ...
ทั้งหมดที่คุยมา นี่แหละ
คือ ส่วนหนึ่งของการภาวนาให้เกิดปัญญา
มันคือ การพิจารณากายและจิตตน โดยวิเคราะห์ไปทีล่ะส่วนๆแบบที่เราคุยกันข้างต้นนั่นแหละ..
ทั้งนี้ "การฝึกสมาธิ"ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่ผู้ภาวนาจะต้องทำด้วย ซึ่งจะทำให้พิจารณาเห็นธรรมได้ดียิ่งขึ้น.. ก็ที่เราเห็นเขานั่งสมาธิ,สวดมนต์,เดินจงกลม นั่นแหละ คือ การทำให้จิตสงบ แล้วเอาจิตที่สงบนั่น มาดูการทำงานของกายใจ ให้เห็นความเป็นจริง ลำพังแค่จิตสงบนิ่งอย่างเดียวนั่นยังไม่ถือเป็นการภาวนานะ
สุดท้ายนี้ ความจริงแล้ว จิตทั้งหมดนั่น
"เวทนา สัญญา สังขาร"
ล้วนแล้วก็ไม่ใช่ตัวเรานะเพื่อน..แต่เพื่อนๆยังไม่เห็นจุดนี้ ก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติ
(เพราะ ผมก็ไม่เห็นเหมือนกัน..55+ เพื่อนกัน)
แหม..ถ้าเห็นได้แจ่มแจ้ง นี่คือ ระดับอรหันต์เลยนะ..ตอนนี้แค่รับรู้ ไปตามองค์ความรู้แห่งธรรม ว่า "จิตไม่ใช่เรา" เพื่อเป็นฐานความคิดในการปฏิบัติก็พอ.
แค่เพื่อนๆเริ่มเข้าใจ ว่า กายไม่ใช่เรา เริ่มเห็นจิตแยกส่วนการทำงาน เริ่มแยกรูป แยกขันธ์ได้ นี่คือ เก่งมากแล้ว แสดงเป็นผู้มีฐานปัญญามาดีนะ ..ไม่แน่ว่า อาจเคยเป็นผู้ปฏิบัติแต่ชาติปางก่อน (ครู อาจารย์ ท่านเล่ามาแบบนี้).. แต่เพจนี้ ตามเจตนารมณ์ที่แจ้งไว้ ก็คงไม่ได้ไปโฟกัสในจุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม ถือว่า เป็นสิ่งดีแล้ว ที่ใจเพื่อนๆเปิดรับธรรม
ที่เหลือ ก็ต้องศึกษาปฏิบัติต่อไป เมื่อความรู้ ศีล สมาธิ ปัญญาถึงพร้อม ก็จะเริ่มเห็นความจริง เริ่มจางคลายความเป็นเรา และทำลายอวิชชาออกไปเอง..
นี่แหละ คือ แก่นแท้ ของพุทธศาสตร์
นี่แหละ คือ ความหมายของวลีที่ว่า
"บุญจากการภาวนา คือบุญบารมีขั้นสูงที่สุด"
ใครต้องการอ่านเรื่อง "อวิชชา"เพิ่ม
ไปตามลิงค์ด้านล่างนี้เน้อ
ใครอยากฟังคลิปดีๆ ก็จิ้มไป
คลิปนี้ดีนะ แต่เชื่อไหมว่า ผมใช้เวลาฟังคลิปนี้กว่าจะจบได้เนี่ย ประมาณ6-7คืนเลย..(เป็นคนชอบฟังคลิปก่อนนอน) เพื่อนๆลองดู เดี๋ยวเพื่อนจะเข้าใจเอง แค่ฟังเสียงคนในคลิปพูดประโยคแรก เพื่อนก็จะรู้แร่ะ ว่า ทำไม ใช้เวลาฟังถึง7คืน..
📱ช่องทางติดต่อ..แนะนำ,ติชม,พูดคุย..😀
มาเป็นเพื่อนกันที่..Line Open Chat
"จิตสอนธรรม" 👇 คลิกลิงค์ด้านล่างนี้เลยจ้า

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา