21 มิ.ย. 2020 เวลา 00:15 • ธุรกิจ
Public Speaking คืออะไร ? แล้วฝึกกันได้ไหมน้ะ ?
1
ก่อนอื่นเราเชื่อว่า ทุกคนต้องเคยพูดในที่สาธารณะมากันทุกคนแน่นอน
ไม่ได้หมายความว่าเราไปยืนเม๊าท์กับเพื่อนที่สวนน้ะ ไม่ช่ายยย
แต่คือ การที่เราต้องพูด หรือ พรีเซ้นให้กับบริษัท หรือแบรนด์ของเพื่อนๆ ออกสู่บุคคลภายนอก (ไม่ว่าจะเป็นทีมอื่นๆในบริษัท, เทรนนิ่งกลุ่มลูกค้า)
1
ทีนี้ การที่เราทำความเข้าใจเจ้าสิ่งนี้ให้มากขึ้นเนี่ย จะทำให้ทุกๆการพรีเซ้นของเรา ไม่พลาดดแถมด้วยความมั่นใจ ! ลองมาอ่านในเวอร์ชั่นของเราดูกันน
เราขอแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน (Stage)
1. Prepare (เตรียมพร้อม !)
เตรียมพร้อม หมายความว่า เตรียมเรื่องที่เพื่อนๆจะพูดให้พร้อม สภาพจิตใจต้องพร้อม ความมั่นใจถึงเวลาต้องเรียกมาแล้ว ! ว่าแต่มีอะไรบ้างในขั้นตอนการเตรียมความพร้อมกันนะ ?
- Identify Audience
การรู้จักกลุ่มผู้ฟัง หรือลูกค้าก่อนเนี่ยเป็นเรื่องดี (Audience Persona) เพราะจะทำให้เรา design เรื่องราวของเราออกมาใน presentation ได้ง่าย
ลองมองหาว่า Key หรือ Influence audience คือใคร? ลักษณะอย่างไร ? อาจจะลองนึกมาสัก 1 คน ก็ได้น้ะเพื่อนๆ
- Set a clear objective !
เพื่อให้ผู้ฟังคาดหวังสิ่งที่เค้าจะเรียนรู้ได้มากที่สุด คือการที่เราต้องมีการอธิบายเป้าหมายที่ชัดเจนของการพรีเซ้นนี้ อาจจะแบบ "หลังจากการอบรมคอร์สนี้จำนวน 3 ชั่วโมง ท่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับ ..... ..... ....."
- Draft your OUTLINE first
แน่นอน เพื่อนๆทุกคนคงจะมีความกังวลว่า แล้วชั้นจะเริ่มเขียนอย่างไร จนไปถึง แล้วชั้นจะลืมเรื่องราวที่จะพูดไม๊งะ ?
สิ่งเหล่านี้จะหายไป ถ้าเพื่อนๆมีการกำหนด Key Outline ที่ชัดเจนออกมาตั้งแต่แรก อาจจะคล้ายๆการเขียน Storyboard ของนักวาดการ์ตูนหรือแม้กระทั่งคนทำบทความหรือโฆษณา
เพิ่มเติมจาก Outline มีวิธีการนำความคิดเพื่อนๆง่ายแบบนี้น้ะ
>> Descriptive คือเพื่อนๆต้อง list Key point ออกมาเป็น bullet point
>> Problem Solution แบบนี้จะเหมาะกับการพรีเซ้นเชิงขายสินค้ามากๆ เพราะเพื่อนๆต้องรู้ถึง ปัญหาของเหล่าผู้ฟัง และ วิธีแก้ ที่สินค้าเพื่อนๆสามารถทำได้
>> Chronological ฟังดูยากแต่ให้เพื่อนๆนึกถึงเส้น Timeline เอาไว้นะ การร่างแบบนี้จะเหมาะสำหรับพรีเซ้นที่เพื่อนๆต้องการ การลำดับเหตุการณ์และเพื่อนำความคิดของผู้ฟัง
อันนี้คือตัวอย่างของ Informative Outline (เหมาะกับDescriptive)
- Let me tell you a Story :)
ถ้าคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ลองนึกดูว่าถ้าเราจะต้องเล่าเรื่อ นิทาน จะทำให้ยังไงให้น่าสนใจน้า ? ทำอย่างไรเรื่องราวของเราจะ inspire ผู้ฟังได้ ?
- อย่าลืมมองเรื่องเวลาของการนำเสนอด้วยนะ ! และเตรียมตัวให้พร้อม
>> พยายามหลีกเลี่ยงการรับประธานของเผ็ด หรือเครื่องดื่มเย็นๆ เพราะเสียงจะแห้ง
>> Warm-up เสียงก่อนนะเพื่อนๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ เหมือนนักร้องเค้าต้องมีการ warm-up ไล่โน้ตเป็น Step เพื่อขยายและบริหารกล่องเสียง
>> ถ้าเพื่อนๆต้องพรีเซ้นในช่วงเย็นหรือค่ำ ควรจะระวังการใช้เสียงในปริมาณมากระหว่างวันนะ
- Presentation Space !
ไม่ใช่อวกาศนะแง แต่คือ สถานที่ที่เราต้องทำการนำเสนอ !! เป็นอย่างไร ผู้เข้าประชุมนั่งกันแบบไหน ? มีกี่ที่ ? มีสิ่งที่เป็นจุดเด่นไม๊ เช่น มีที่นั่งผู้บริหารแยกมา 3 ที่เป็นต้น ? ลักษณะการนั่งเปนแบบไหน Cocktail, learning, หรือนั่งซ้อนกันเป็นแนวยาว ?
- อาการกังวล หรือ Panic เป็นเรื่องปกติ โอบกอดมันซะเพื่อนๆ !
ไม่แปลกเลยที่เราจะสั่น หรือมีอาการกระวนกระวายย นอนไม่หลับ
อันนี้ปกติมากจ้าา เราก็เป็นนะ พรีเซ้นบ่อยๆแล้ว ก็ยังมีอาการเหล่านี้ ส่วนมากเราจะตื่นเต้นกับพวกคำถามที่จะถูกส่งมาจากผู้ประชุม ก็....หายใจเข้าลึกๆ เราทำได้หน่าาา !!
- เราจะลดอาการ Panic อย่างไร ?
ก็ทำการ Rehearsal หรือฝึกซ้อมเสมือนจริง โดยถ้ามีเพื่อนร่วมงานมาฟังด้วยและให้ feedback จะดีเลิศมากกก เราทำทุกครั้งเลย และมันลดความกังวลได้ดีมากกกก
2. Open Presentation ! หรือ การเปิดการนำเสนอ
การเริ่มต้นนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยละ เพราะการที่คนจะฟังต่อหรือว่าหลุดเนี่ย ก็อยู่กับตรงนี้เลยย
- Credibility
ผู้ฟังหลายๆคน จะรู้สึกเชื่อมั่นว่าผู้พูดเนี่ย มี credit หรือ ประสบการณ์เพียงพอที่จะมาถ่ายทอดให้พวกเค้าฟังแล้วไม่เสียเวลา อย่าลืมกล่าวถึงตัวเองกันก่อนนะ !
- การเริ่มต้น ไม่จำเป็นต้องพูดว่า "สวัสดีครับ ยินดีต้อบรับสู่....."
เราจะบอกว่า มีวิธีที่ทำให้น่าสนใจมากกว่านี้ แบบที่ TED Talk ชอบใช้คืออ
การเริ่มต้นด้วย คำถาม Open-end question เพื่อทำให้เค้าเริ่มคิดหาคำตอบ (แต่อาจจะหาไม่ได้ 55555)
หรือ เป็นการเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องสักเรื่อง ภาพสักภาพให้เค้าได้นึกตามกัน
- Agenda Introducing before TIME
เพื่อนๆอย่าลืมว่า Agenda คือสิ่งสำคัญมาก ที่จะทำให้ผู้เข้าฟังเนี่ยเค้าได้เข้าใจก่อนว่า วันนี้เราจะพูดอะไรบ้าง ? คาดหวังอะไรได้ ? โดยเราจะมีการย้ำ Agenda อีกทีในการเริ่มต้นพรีเซ้นนี้ละ แต่ไม่ต้องพูดเยอะแล้วนะ
- your FIRST word
เพื่อนๆระวังการเริ่มต้นด้วยคำที่สุดแสนจะน่าเบื่อในตอนแรกนะ เช่น "Thank you everyone for join my meeting" "ขอบคุณมากที่สละเวลามาในวันนี้...เราจะมาเริ่มกันที่...." ระวังว่ามันจะเป็นการเริ่มต้นที่สุดแสนดน่าเบื่อของผู้ฟังเอาน้าาา
ระวังเรื่องคำพูดที่แสดงถึงการย้ำคิดย้ำทำ... ที่เกิดจากความกังวลของเรา
3. During Presentation ขยับมาในส่วนของ ระหว่างการพรีเซ้น !
- Dynamic of Voice
แน่นอนว่า พอเราพรีเซ้นไปสักพัก อาจจะเริ่มมีคน......ง่วงงง หาววว
เพราะงั้นการที่เรามีระดับการใช้ของเสียง หรือ อารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเนี่ย มันจะทำให้การพรีเซ้นของเราไม่เรียบเป็นเส้นตรง = = "
- ระวังการใช้คำแก้เขิลอย่าง "เอ่อ" "Well" "You know"
เราก็เป็นนะ ติดคำว่า Umm, Err, sooo on, and then then thenn
ต่อมาเราเพิ่งมารู้ว่ามันเสียบุคคลิกมากๆ เราสามารถใช้ได้ในขณะที่เนรากำลังคิด แต่ระหว่างพรีเซ้น จริงๆแล้วการที่เรา pause หรือ เว้นระยะการพูดด้วยความเงียบบ้าง ก็ไม่เลวนะ :)
- Body Language ภาษากาย
สิ่งที่เราต้องการก็คือ emotional connect จากประโยคที่เราพูด ความรู้สึก ให้เข้ากับท่าทางของเรา รวมถึงการอธิบายตัวเลขต่างๆ ว่ามีจำนวนที่เยอะหรือน้อย การที่เราผายมือกว้าง หรือ แคบ ก็ช่วยไกด์ผู้ฟังได้เหมือนกัน
- Props and Visual Aids
อะไรที่จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่ายขึ้น อ่าาาฮ้าาา แน่นอนว่าคือการมีเครื่องมือช่วยเช่น
>> กราฟ และ แผนภูมิต่างๆ
>> อุปกรณ์การสาธิตต่างๆ
>> การใช้ Presentation Slides ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งไม่ควรมีแต่ข้อความอย่างเดียว
และต้องจำไว้ว่า Props อะไรต่างๆที่เราจะเลือกมาใช้ หรือโชว์เนี่ย ต้องสร้างสิ่งที่เป็นแง่บวก และมีความหมายกับผู้ฟัง
4. Close ! หรือ ช่วงท้ายของการพูด !
- Q&A !
ตรงนี้เป็นส่วนที่เราตื่นเต้นมากที่สุด คือออ การถามคำถามมม ลุ้นทุกครั้งเลย
เพื่อนๆจำเป็นที่จะต้องมีการเตรียมตัวสำหรับคำถามก่อนด้วยนะ
ถ้าเพื่อนๆกลัวว่า ผู้ชมจะถามคำถามที่ไม่ค่อย make sense ขึ้นมา เราแนะนำว่า เพื่อนๆควรจะไกด์สั้นๆด้วยการ set FAQ ขึ้นมา แล้วทำการตอบสั้นๆ ตรงนี้จะทำให้เค้าพอรู้ว่า คำถามเบสิคเหล่านี้ ได้ถูกถามออกไปเยอะแล้ว
ทำให้เค้ารู้สึกว่า เวลา 10-15 นาที ในส่วนQ&A ตอนท้ายนี่ เวลาเป็นสิ่งสำคัญ
- ตอนจบ ก็เหมือนกับ การจุดพลุ !
ทำอย่างไงที่จะทำให้การจบการนำเสนอของเราเป็นที่น่าจดจำน้ะ ?
>> Title close ถ้าจะให้ดี อย่าลืมคิดสโลแกนเล็กวำหรับสรุปในตอนท้าย
>> Short sum-up 3 Keys ลองพยายามสรุปสั้นๆจากการนำเสนอทั้งหมด ไปใน 3 Keypoints จำไว้ว่า สั้น ง่าย ได้ใจความ คือการสรุปที่ดีที่สุด
>> Inspiration takeaway ตรงตัวเลย เราอาจจะปิดท้ายด้วยสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เค้าได้
- Feedback
อย่าลืมเปิดช่องให้กับผู้ฟังในการให้ feedback เราด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็น positive หรือ constructive
ส่วนใหญ่การให้ feedback จะเกิดขึ้นเป็นการสนทนาเล็กๆ หลังจากการจบการนำเสนอของเรา
อย่าลืม เปิดใจรับ negative feedback น้ะ เพราะนี่ละคือการที่เราจะเอามาซ่อมส่วนที่เราต้องปรับปรุงในครั้งต่อไป เพราะงั้นเปิดใจและกอดมันซะ :)
จบแว้ววว ตรงนี้เราคิดว่าเพื่อนๆน่าจะรู้จักกับ Public Speaking ได้ดีขึ้นเน้อะ อย่างน้อยเราก็รู้ละว่า ขั้นตอนมันมีอะไร ที่จะทำให้การพูดแบบนี้ เป็นเรื่องง่ายย :)
เดี๋ยวตอนต่อไป เราจะมาเขียนหัวข้อสั้นๆ เกี่ยวกับความรู้สึกกังวล และวิธีการจัดการกับ Panic & Anxiety ในขณะที่พรีเซ้นอยู่ ก็น่าจะอ่านสนุกอยู่เหมือนกัน ^^
1
โฆษณา