Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Storyteller
•
ติดตาม
26 มิ.ย. 2020 เวลา 12:25 • ประวัติศาสตร์
“การต่อต้านญี่ปุ่นของไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2” Ep.1 ปฏิบัติการของขบวนการ 3 สาย
“รัฐบาลไทยและรัฐบาลญี่ปุ่นเห็นพ้องกันว่า การสถาปนาระเบียบใหม่ในเอเชียตะวันออก เป็นทางเดียวที่จะประสิทธิความไพบูลย์ในวงศ์เขตนี้ และเป็นเงื่อนไขอันจำเป็นที่จะยังสันติภาพแห่งโลกให้คืนดีและมั่นคงแข็งแรง...”
เช้าวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 ญี่ปุ่นได้ทำการบุกถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์ของสหรัฐอเมริกา
วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1941 ญี่ปุ่นได้ทำการยกพลขึ้นบกที่ไทย
วันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.1941 รัฐบาลไทยลงนามสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่น
และวันที่ 25 มกราคม ค.ศ.1942 รัฐบาลไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร
เป็นอันเปิดฉากการสร้างวงศ์ไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพาร่วมกับญี่ปุ่น
แต่ทว่า การตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจของประชาชนส่วนใหญ่หรือแค่ของรัฐบาลกันแน่?
ทุกท่านครับ ณ ที่นี้ ผมจะนำพาทุกท่านไปพบกับเรื่องราวการต่อต้านรัฐบาลไทยและญี่ปุ่นของคนไทยกลุ่มหนึ่ง...
เรื่องราวของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น...
เรื่องราวปฏิบัติการภายใต้จมูกของกองทัพญี่ปุ่น...
เรื่องราวของขบวนการ 3 สาย ที่ได้ก่อกำเนิดขึ้นมา...
และเรื่องราวปฏิบัติการลับของขบวนการเหล่านั้น...
การแทรกซึม...
2
การหลบหนี...
การปลอมแปลง...
การจารกรรม...
และนี่ คือเรื่องราว “การต่อต้านญี่ปุ่นของไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2” Ep.1 ปฏิบัติการของขบวนการ 3 สาย
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
ก่อนอื่นผมขอเล่าถึงเรื่องราวของญี่ปุ่นก่อนที่จะยกพลขึ้นบกที่ไทยก่อนนะครับ...
โดยก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางฝั่งแปซิฟิกนั้น ญี่ปุ่นต้องการที่จะขยายจักรวรรดิของตัวเองในเอเชียครับ
1
ไม่ว่าจะเป็นการบุกยึดเกาหลีและเข้ายึดแมนจูเรียของจีน จากนั้นก็ตั้งแมนจูเรียเป็นประเทศที่ชื่อว่าแมนจูกัวเพื่อเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารของญี่ปุ่นเอง
1
จนในที่สุดใน ค.ศ.1937 ญี่ปุ่นก็ตัดสินใจบุกจีนครับ เกิดเป็นสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ขึ้น
โดยญี่ปุ่นต้องการบุกยึดจีนทั้งประเทศให้เป็นอาณานิคมของตัวเอง (เป็นฝันที่ใหญ่มาก!) แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศและความกว้างใหญ่ไพศาลของจีน สงครามจึงยืดเยื้อสุดๆ ญี่ปุ่นก็ไม่สามารถจบเกมกับจีนได้ซักที อีกทั้งทรัพยากรของตัวเองก็เริ่มที่จะหมดลง
1
ไม่เพียงเท่านั้นญี่ปุ่นยังโดนสหรัฐอเมริกาค่ำบาตรซ้ำไปอีกจากการรุกรานจีน ปัญหามันอยู่ที่น้ำมันกว่า 70% ของญี่ปุ่นเนี่ย ล้วนนำเข้าจากอเมริกาทั้งนั้นครับ...
ดังนั้น ญี่ปุ่นที่ไม่มีทางเลือกจึงตัดสินใจว่าต้องบุกยึดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเอาทรัพยากรจากแถบนั้นมาป้อนให้กับกองทัพที่อยู่จีน
แต่การที่จะทำแบบนั้นได้อย่างราบรื่น คือการต้องตัดกำลังของมหาอำนาจแปซิฟิกอย่างอเมริกาซะก่อน
แล้วในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 ญี่ปุ่นก็ส่งกองบินไปทิ้งระเบิดที่เพิร์ล ฮาเบอร์ของอเมริกาโดยไม่บอกไม่กล่าว เข้าทำลายกองเรือแปซิฟิกของอเมริกาให้สิ้นฤทธิ์ไปซักพัก เพื่อตัวของญี่ปุ่นจะได้มีเวลาบุกยึดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หมดก่อนที่อเมริกาจะฟื้นตัว
และเมื่อถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์แล้ว วันต่อมาคือวันที่ 8 ธันวาคม ญี่ปุ่นก็เปิดฉากยกพลขึ้นบกที่ไทยทันที และต้องการเปลี่ยนไทยเป็นศูนย์บัญชาการหลักของญี่ปุ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากไทยนั้นตั้งอยู่ตรงกลางภูมิภาคพอดิบพอดีนั่นเองครับ...
2
ภาพจาก Japan Info (เหตุการณ์เพิร์ล ฮาเบอร์)
ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกที่ไทยนั้น ญี่ปุ่นได้มีการแจ้งมาที่รัฐบาลไทยก่อน โดยบอกว่า “กองทัพญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกที่ไทยในวันที่ 8 ธันวาคม เวลาตี 2 โดยขอไทยอย่าต่อต้านขัดขืน ญี่ปุ่นแค่ต้องการให้ไทยเป็นจุดพักและทางผ่านให้ญี่ปุ่นไปตีพม่าเท่านั้นเอง”
แต่เนื่องจากการตัดสินใจและการสื่อสารที่ล่าช้า ทำให้ยังไม่มีการตกลงอะไรที่ป็นชิ้นเป็นอัน แต่ญี่ปุ่นก็ไม่รอครับ เพราะรีบสุดๆ ทำการยกพลขึ้นบกที่ไทยในเวลาตี 2 ของวันที่ 8 ทันที
ผลคือ ก็มีการปะทะกันระหว่างทหารไทยและญี่ปุ่นสิครับทีนี้! เลยทำให้มีคนไทยเสียชีวิต 78 คน!
ทางฝ่ายรัฐบาลไทยที่นำโดยจอมพลป. พิบูลสงคราม ก็คอยดูท่าทีของอังกฤษครับว่า “จะเอายังไง”
เพราะก่อนหน้านี้มีข้อความจากวินสตัน เชอร์ชิล ที่ส่งให้ไทยมาว่า “ถ้าไทยถูกโจมตี ขอให้ป้องกันตนเอง การโจมตีไทยถือเป็นการโจมตีอังกฤษด้วย”
จอมพลป. จึงไขว้เขวครับว่า “ตกลงอังกฤษ เอ็งจะส่งกองทัพมาช่วยไทยหรือเปล่า?”
และเมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก แล้วเกิดการปะทะกับทหารไทย ทางอังกฤษก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจซักเท่าไหร่ครับ ยังคงปล่อยให้ไทยเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นโดยลำพัง
จอมพลป. คิดไว้แล้วครับว่าหากจะบวกกับกองทัพญี่ปุ่นในช่วงที่กำลังพีคสุดๆ ไทยคงเละแน่นอน จึงตัดสินใจบอกให้ทหารไทยหยุดยิงแล้วปล่อยให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านไปอย่างง่ายดาย...
1
และเวลาต่อมา จากการที่ญี่ปุ่นได้ยึดเอาทั้งอินโดจีน และอาณานิคมอังกฤษในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้รัฐบาลไทยเริ่มเอียงไปทางญี่ปุ่นมากขึ้น
ดังนั้น ในวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.1941 จึงมีการทำสัญญาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนข้อตกลงจากแค่ให้ญี่ปุ่นผ่านประเทศ เปลี่ยนมาเป็นให้ไทยร่วมรบด้วยกันกับญี่ปุ่น
โดยไทยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ญี่ปุ่นต้องให้ดินแดนที่ไทยเคยเสียให้ฝรั่งเศสทั้งหมด คืนให้กับไทย...
และเมื่อรัฐบาลของจอมพลป. เริ่มแน่ใจว่าญี่ปุ่นต้องชนะแน่นอน (เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นพีคสุดๆครับ รบที่ไหนก็ชนะ) รัฐบาลจอมพลป. จึงได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ.1942
เป็นอันว่าไทยได้ก้าวขาข้างนึงเข้าไปในเขตแดนของฝ่ายอักษะเรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่า ยังคงมีขาอีกข้างที่ไม่ยอมก้าวตามเข้าไป...
ภาพจาก ww2incolor (ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ไทย)
ขาอีกข้างที่ว่า คือ เหล่ากลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลแล้วทำการตั้งเป็นขบวนการขึ้นมานั่นเองครับ
ซึ่งมีทั้งหมด 3 ขบวนการ คือ ขบวนการที่อยู่ในไทย ขบวนการที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา และขบวนการที่อยู่ในอังกฤษ (ทั้ง 3 ขบวนการมีการแยกปฏิบัติการกัน ซึ่งแต่ละขบวนการจะไม่รู้ข้อมูลที่อีกฝ่ายรู้ เพราะในตอนแรกยังไม่มีการแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกัน)
1
โดยการปฏิบัติการของแต่ละขบวนการจะมีช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกัน แต่ผมจะขอเล่าไปทีละขบวนการนะครับ โดยเริ่มที่ขบวนการที่อยู่ในสหรัฐอเมริกากันก่อน...
เมื่อรัฐบาลไทยได้เข้าร่วมกับญี่ปุ่น กลุ่มคนไทยที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาไม่ว่าจะเป็นทูต นักเรียนนักศึกษา ก็พากันลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน
1
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เป็นอัคราชทูตไทยประจำวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ได้มีการประกาศผ่านวิทยุกระจายเสียงครับว่า “สถานทูตไทยในอเมริกาไม่ได้รู้เรื่องหรือเห็นชอบด้วยที่รัฐบาลไทยไปเข้าร่วมกับญี่ปุ่น”
ว่าแล้วม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชก็ทำการรวบรวมกลุ่มคนไทยในอเมริกานั่นแหละครับ จัดตั้งกลุ่ม “ไทยอิสระ” ขึ้นมา พร้อมทั้งส่งมณี สานะเสน ไปอังกฤษ เพื่อรวบรวมกลุ่มคนไทยก่อตั้ง “ไทยอิระ” ในอังกฤษขึ้นมาด้วย
โดยฝ่ายอเมริกาก็หนุนไทยอิสระที่อยู่ในอเมริกาเต็มที่เลยล่ะครับ และเมื่อรัฐบาลไทยประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่อเมริกาก็ยังไม่ได้ประกาศสงครามกับไทยอย่างเป็นทางการครับ เพราะไทยอิสระได้มีการเจรจาประนีประนอมกับฝ่ายอเมริกา
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้มีการส่งกลุ่มนักเรียนของไทยอิสระซึ่งตั้งเป็นกองทหารไทยอิสระ ให้เข้าไปช่วยในหน่วย O.S.S. ของอเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองที่ทำงานในเรื่องประเทศที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองโดยเฉพาะ
โดยอเมริกาได้ให้ นิคอล สมิท เป็นผู้ฝึกกองทหารไทยอิสระทั้งเรื่องแผนที่ การเดินเรือ การสื่อสาร การกระโดดร่ม จนจบหลักสูตรภายในเวลา 4 เดือน
แล้วหน่วย O.S.S. ก็ทำการส่งกองทหารไทยอิสระไปปฏิบัติงาน โดยแบ่งเป็น 2 สายคือ จุงกิง ประเทศจีน และบริเวณเขตแดนของพม่า
โดยหน่วย O.S.S นั้น มีเป้าหมายคือ การส่งกองทหารไทยอิสระแทรกซึมเข้าไปในไทย แล้วทำการจารกรรมข้อมูลของกองทัพญี่ปุ่น เรียกง่ายๆคือ เป็นสปายนั่นแหละครับ
ซึ่งงานนี้ถือว่าเสี่ยงตายมากๆสำหรับกองทหารไทยอิสระ แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงการแทรกซึมนี้ ผมขอไปเล่าถึงขบวนการสายที่ 2 ก่อน คือ ขบวนการที่อยู่ในอังกฤษ...
ภาพจาก The WW2 Podcast (หน่วย O.S.S. ของสหรัฐอเมริกา)
อย่างที่เล่าไปครับว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชได้ส่ง มณี สานะเสน มาอังกฤษเพื่อรวบรวมกลุ่มคนไทยแล้วจัดตั้งไทยอิสระสาขาอังกฤษขึ้นเพื่อให้ทั้ง 2 ประเทศที่เป็นแกนนำสัมพันธมิตรเห็นว่า “จริงๆแล้วไทยไม่ได้อยากเข้าร่วมกับญี่ปุ่นนะ แต่จริงๆแล้วไทยต้องการเข้าร่วมกับสัมพันธมิตรต่างหาก”
1
และแล้วก็มีการตั้งกลุ่มไทยอิสระขึ้นในอังกฤษ แต่อังกฤษไม่เหมือนกับอเมริกาครับ อังกฤษไม่ได้ไว้ใจไทยเลยซักนิด!
กลุ่มไทยอิสระในอังกฤษ ก็มีการส่งสมาชิกเข้าไปเป็นอาสาสมัครในกองทัพอังกฤษเช่นกัน โดยส่งไป 50 คน แต่อังกฤษเลือก 37 คน
และอย่างที่พูดไปครับ อังกฤษไม่เหมือนอเมริกา อังกฤษได้ส่งทหารของไทยอิสระให้ไปอยู่หน่วยโยธา ซึ่งเป็นหน่วยที่ไม่ค่อยมีเกียรติสำหรับทหารซักเท่าไหร่ครับ เพราะต้องทำงานขุดมันฝรั่ง ล้างส้วม หรือเป็นยาม ซึ่งต่างกับไทยอิสระที่อยู่ในหน่วย O.S.S. ลิบลับเลยนะครับ...
1
แต่กลุ่มไทยอิสระในอังกฤษก็ไม่ได้โต้ตอบหรือโต้เถียงอะไร เพียงแค่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานของตัวเองต่อไป
และอย่างที่เขาว่าครับ “น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน” ในที่สุดอังกฤษก็เริ่มใจอ่อน เพราะเห็นแก่ความตั้งใจจริงของไทยอิสระ จึงรับรองกลุ่มไทยอิสระในอังกฤษอย่างเป็นทางการ แล้วส่งสมาชิกของไทยอิสระไปอินเดียเพื่อฝึกกับหน่วย Force 136 ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองลับของอังกฤษในเอเชียตะวันออก
หน่วย Force 136 ได้มีการฝึกไทยอิสระในเรื่องแผนที่ การสืบหาข่าวกรอง การกระโดดร่ม และการรบแบบกองโจร
ระหว่างนั้นเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อหน่วยข่าวกรองของอังกฤษได้รับข้อมูลจากชายคนหนึ่งที่ถูกจีนกักตัวไว้ โดยชายคนนั้นชื่อว่า จำกัด พลางกูร ซึ่งจำกัดได้บอกว่า ตัวของเขาเป็นผู้แทนของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในไทยที่ถูกส่งมาเพื่อเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร!
คราวนี้แหละครับ อังกฤษจึงรู้ว่ามีขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านญี่ปุ่นในไทยเหมือนกัน จึงได้ตัดสินใจส่งไทยอิสระเข้าไปแทรกซึมในไทยเพื่อติดต่อกับขบวนการที่ว่านั้น...
กลุ่มไทยอิสระในอังกฤษ
คราวนี้ผมจะมาเล่าถึงขบวนการสายที่ 3 ครับ คือ ขบวนการที่อยู่ในไทย...
1
โดยหัวหอกหลักในตอนเริ่มแรก คือ ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีและเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ โดยปรีดีมีการกระทบกระทั่งกันกับฝ่ายจอมพลป. มาตั้งแต่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก ปรีดีบอกว่า “การที่ไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่นไม่ใช่การแก้ปัญหา ไทยควรที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรและต่อต้านญี่ปุ่นตั้งแต่แรก!”
และเมื่อรัฐบาลจอมพลป. ได้ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายของปรีดีจึงคิดที่จะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นโดยหนีไปทางพม่าแล้วเข้าสู่อินเดีย แต่แผนนี้ต้องล้มเลิกไปครับเพราะญี่ปุ่นเริ่มบุกพม่าซะก่อน...
ปรีดีนั้นได้ยินวิทยุกระจายเสียงที่มาจากม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช แล้วจึงรู้เลยว่ามีกลุ่มคนที่คิดเหมือนกันกับเขาอยู่ต่างประเทศ ปรีดีจึงพยายามหาทางติดต่อกับกลุ่มคนเหล่านั้น...
ทั้งมีการพยายามติดต่อกับรัฐบาลเจียง ไคเช็กของจีน หรือไม่ก็ทางฝ่ายสัมพันธมิตร แต่สุดท้ายก็เหลวทุกที ไม่สามารถส่งข้อมูลไปยังกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นในต่างประเทศได้ซักครั้งเพราะญี่ปุ่นจับตามองรัดกุมมาก! อีกทั้งกลุ่มของปรีดียังอ่อนแอเกินไป...
แต่แล้วกลุ่มของปรีดีก็ได้พบกับขบวนการกู้ชาติที่อยู่ทางภาคอีสานที่นำโดยชายชื่อ จำกัด พลางกูร ซึ่งเป็นขบวนการที่ต่อต้านญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ขบวนการกู้ชาติจึงทำการเข้าร่วมกลุ่มกับปรีดี ทำให้เกิดเป็นขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นอย่างเต็มรูปแบบที่นำโดยปรีดี ขึ้นในที่สุดครับ
นอกจากจะมีขบวนการใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่นของพลเรือนแล้ว ก็ยังมีขบวนการที่เป็นของตำรวจด้วยเช่นกัน
โดย พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ก็ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไทยที่ไปเข้าข้างญี่ปุ่น จึงได้ก่อตั้ง “สันติบาลใต้ดิน” ขึ้นมา โดยสันติบาลใต้ดินตอนแรกยังไม่ได้มีการติดต่อกับขบวนการของปรีดี เพราะกลัวว่าเรื่องจะรั่วไหล แต่สันติบาลใต้ดินนี่แหละครับที่จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงกลุ่มไทยอิสระและขบวนการของปรีดีเข้าด้วยกัน...
1
กลับมาที่ขบวนการของปรีดีครับ เมื่อมีการรวมกลุ่มกับขบวนการกู้ชาติแล้ว ปรีดีก็ได้มีการส่งผู้แทนหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อไปติดต่อกับจีนและฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อเจรจาว่า
“การประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรของรัฐบาลจอมพลป.นั้นเป็นโมฆะ เนื่องจากปรีดีที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ได้ลงนามเห็นชอบด้วย”
1
“ขอให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษและอเมริกายังคงเป็นเหมือนเดิม และขอให้ทั้งสองประเทศรับรองรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น”
ว่าแล้วปรีดีก็ส่งคณะผู้แทนนำโดยจำกัด พลางกูร ทำการหลบหนีออกนอกประเทศ แล้วไปที่จุงกิง ประเทศจีน
ซึ่งการหลบหนีครั้งนี้สามารถเล็ดลอดสายตาทหารญี่ปุ่นไปได้ แล้วจำกัด พลางกูรก็เดินทางถึงจีนวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ.1943 แต่โดนจีนกักตัวไว้เพราะกลัวว่าจะเป็นสปายของญี่ปุ่น
และแล้วอังกฤษก็รู้ข่าวการกักตัวจำกัด พลางกูร พร้อมได้รับข้อมูลเป้าหมายการมาที่จีนของจำกัด ว่าตัวของเขาเป็นคนของขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในไทยที่ส่งมาเพื่อเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรพร้อมส่งข่าวให้กลุ่มไทยอิสระที่อยู่ในต่างประเทศให้รับรู้
แต่กว่าที่จะเข้าใจกันได้ จำกัดก็ป่วยและเสียชีวิตลงก่อน ทำให้การเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตรล้มเหลว
แต่จำกัด ก็ได้ทำให้กลุ่มไทยอิสระสายอังกฤษได้รู้ว่ามีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย...
ภาพจาก Sarakadee (จำกัด พลางกูร)
เมื่ออังกฤษรู้ว่ามีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในไทย จึงตัดสินใจส่งกลุ่มไทยอิสระแทรกซึมเข้าไปในไทยครับ โดยจะส่งผ่านเรือดำน้ำแล้วขึ้นบกที่พังงา แต่ทว่าข้อความที่อังกฤษส่งผ่านจีนเพื่อเอาไปให้ปรีดีนั้นล่าช้า จึงทำให้ไม่มีคนมารับขึ้นบก
อังกฤษจึงเปลี่ยนแผนครับ โดยการให้กลุ่มไทยอิสระ ทำการโดดร่มซะเลย! โดยการโดดร่มนี้เป็นการโดดร่มแบบสุ่มครับทุกท่าน! โดยพื้นที่กระโดดจะอยู่บริเวณสุโขทัย
ผลจากการกระโดดร่ม คือ จุดตกของกลุ่มไทยอิสระที่แทรกซึมนั้นอยู่ที่ตำบลวังน้ำข้าว และพอเข้ามาในไทยได้แล้ว กลุ่มไทยอิสระสายอังกฤษที่กระโดดร่มนี้ ก็ต้องตามหาและพยายามติดต่อกับขบวนการของปรีดีให้ได้! กลางดงของทหารญี่ปุ่นนี่แหละครับ...
และแล้วผ่านไป 3 วัน กลุ่มไทยอิสระก็ถูกตำรวจจับกุมได้ครับ! โดยถูกจับไปไว้ที่สระปทุม กลุ่มไทยอิสระก็ต่างพยายามบอกและโน้มน้าวตำรวจครับว่า “พวกเราก็คนไทยด้วยกันนะพี่นะ อย่าส่งพวกเราให้รัฐบาลเลย พวกเราแค่ต้องการตามหาปรีดีเท่านั้น!”
และเป็นความบังเอิญหรือโชคดีก็ไม่รู้นะครับ ตำรวจที่ควบคุมตัวกลุ่มไทยอิสระอยู่นั้นต่างก็หูผึ่งเมื่อได้ยินชื่อ “ปรีดี” เพราะที่แท้แล้วตำรวจเหล่านี้เป็นสมาชิของสันติบาลใต้ดินนั่นเอง! สันติบาลใต้ดินที่เป็นกลุ่มตำรวจต่อต้านญี่ปุ่นนั่นแหละครับ
กลุ่มสันติบาลก็ได้ติดต่อกับขบวนการของปรีดี...
และแล้วกลุ่มไทยอิสระสายอังกฤษก็ได้พบกับปรีดี พนมยงค์ในที่สุดครับ
เป็นอันว่าการแทรกซึมและติดต่อกับขบวนการใต้ดินในไทยของกลุ่มไทยอิสระสายอังกฤษ ถือว่า Mission Complete ครับ!
1
ภาพจาก Line today (ปรีดี พนมยงค์)
เรากลับมาที่เรื่องราวของกลุ่มไทยอิสระสายอเมริกากันครับทีนี้...
1
โดยกลุ่มไทยอิสระสายอเมริกาที่อยู่หน่วย O.S.S. จะแตกต่างจากกลุ่มไทยอิสระสายอังกฤษ คือ ไม่รู้ว่ามีขบวนการใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่นที่อยู่ในไทย
ดังนั้นเป้าหมายของ O.S.S. ในการส่งกลุ่มไทยอิสระสายอเมริกาเข้าไปในไทยก็เพื่อต้องการให้เป็นสปาย และทำการจารกรรมข้อมูลของญี่ปุ่นเอามาให้อเมริกา ไม่ได้เพื่อตามหาหรือติดต่อกับขบวนการของปรีดีเหมือนกับสายอังกฤษ
แล้ว O.S.S. ก็ส่งทหารไทยอิสระชุดแรก 5 คนพร้อมผู้นำทางคนจีน 1 คน แทรกซึมเข้าไปในไทยเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1944 โดยเลาะผ่านทางจีนเข้าไปในหลวงพระบาง แล้วไม่นาน O.S.S. ก็ส่งชุดที่สองตามเข้าไป
แล้วชุดแรกก็ได้มีการแยกกลุ่มกันเป็นกลุ่มละ 3 คน เพื่อแทรกซึม...
แต่ทว่ามีกลุ่มหนึ่งที่โดนตำรวจเข้าจับกุม กลุ่มไทยอิสระสายอเมริกาทั้ง 3 คนนี้ ไม่ได้โชคดีเหมือนสายอังกฤษครับ เพราะกลุ่มนี้ถูกตำรวจยิงทิ้งอย่างโหดเหี้ยม
แต่การตายของกลุ่มไทยอิสระทั้ง 3 คน ก็ไม่เสียเปล่าครับ เมื่อของที่ติดตัวของทั้ง 3 คน ถูกส่งกลับไปที่กรมตำรวจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยุและเอกสารต่างๆ ซึ่งเผอิญว่าของทั้งหมดนี้ดันไปถึงมือของพล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส คนที่เป็นผู้นำสันติบาลใต้ดินนั่นเองครับ!
พล.ต.อ.อดุล จึงสั่งให้สมาชิกสันติบาลตามหากลุ่มไทยอิสระทั้งหมดที่แทรกซึมเข้ามา ซึ่งก็ตามหาได้จนครบครับ ทั้งชุดแรกที่เหลือ 3 คน และชุดที่สองซึ่งเข้ามาใหม่...
กลุ่มสันติบาลใต้ดิน ก็ได้เป็นตัวกลางให้กลุ่มไทยอิสระสายอเมริกาได้พบกับปรีดี พนมยงค์เช่นกันครับ ทำให้กลุ่มไทยอิสระสายอเมริกาและหน่วย O.S.S. รู้ว่ามีขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในไทย ซึ่งสายอเมริกานี้ได้พบกับปรีดีช้ากว่าสายอังกฤษ 3 เดือนครับ...
เป็นอันว่าการแทรกซึมของกลุ่มไทยอิสระสายอเมริกาถือว่า Mission Complete เช่นกัน!
และเมื่อขบวนการทั้ง 3 ต่างได้มาพบกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน
ขบวนการทั้ง 3 ก็ต่างรับรู้การมีอยู่ของกันและกัน
อีกทั้งขบวนการทั้ง 3 ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน
การล้มรัฐบาลจอมพลป.
การปฏิบัติการใต้ดินต่อต้านญี่ปุ่น...
การโน้มน้าวอังกฤษและอเมริกาว่าไทยไม่ได้อยากเข้าร่วมกับญี่ปุ่น...
ขบวนการทั้ง 3 ต่างต้องการทำภารกิจเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วง...
ดังนั้น พวกเขาจึงทำการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ชื่อ “ขบวนการเสรีไทย (Free Thai Movement)” ในที่สุดครับ...
ภาพจาก Pacific Atrocities Movement (ขบวนการเสรีไทย)
ใน Ep.ต่อไป ทุกท่านจะได้พบกับเรื่องราวการปฏิบัติงานของขบวนการเสรีไทย...
เรื่องราวการจารกรรมข้อมูลจากกองทัพญี่ปุ่น...
เรื่องราวการล้มรัฐบาลจอมพล ป.
การตั้งเมืองหลวงใหม่ของไทย...
แผนการวัน D-day ทางฝั่งแปซิฟิก...
การดิ้นรนของกองทัพญี่ปุ่น...
การพยายามแบ่งประเทศไทยของมหาอำนาจ...
และการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการทูตของไทยในการหลุดพ้นจากการเป็นผู้แพ้สงคราม...
ใน Ep.2 ขบวนการใต้ดินและไทยผู้(ไม่)แพ้สงคราม
อ้างอิง
แสงประทีป. ขบวนการเสรีไทย. กรุงเทพฯ : บันดาสาร์น, 2516.
สุพจน์ ด่านตระกูล. ชีวิตและงานของปรีดี พนมยงค์. พระนคร : ประจักษ์การพิมพ์, 2514.
อัญชลี สุขดี. ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ.2484-2488). วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2525.
F.C Jones. Japan’s New Order in East Asia. London : Oxford University Press, 1945.
Willson A., David. The United States and the Future of Thailand. Pareger Published, New York, 1970.
80 บันทึก
189
17
71
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
South East Asia Story
ขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นของไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2
80
189
17
71
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย