21 ก.ค. 2020 เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์
“สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 แห่งโลกยุคโบราณ (Seven Wonders of the Ancient World) สิ่งมหัศจรรย์ในหน้าประวัติศาสตร์โลก” ตอนที่ 5
“สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสซัส (Mausoleum at Halicarnassus)”
4
ไม่ใช่เพียงแต่ฟาโรห์แห่งอียิปต์เท่านั้นที่ทรงทุ่มเทเวลาและเงินทองไปกับการสร้างสุสานของพระองค์
“พระเจ้าโมโซลูส (Mausolus)” กษัตริย์ผู้ครอง “คาเรีย (Caria)” ซึ่งในปัจจุบันคือตุรกี ก็ได้ทรงวางแผนจะสร้างสุสานหลวงที่ยิ่งใหญ่อลังการเช่นกัน
1
พระเจ้าโมโซลูส (Mausolus)
พระเจ้าโมโซลูสปกครองตั้งแต่ 377 ปีก่อนคริสตกาล-353 ปีก่อนคริสตกาล และพระองค์ก็ทรงเลือกเมืองหลวงใหม่ให้คาเรีย นั่นคือเมือง “ฮาลิคาร์นัสซัส (Halicarnassus)”
พระเจ้าโมโซลูสเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชา พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างถนนและกำแพงเมือง สนับสนุนการค้ากับดินแดนอื่น และพระองค์ยังให้เก็บภาษีอย่างเข้มงวด ทำให้ท้องพระคลังมีเงินพอที่จะตกแต่งเมืองหลวงแห่งใหม่
พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สร้างอนุสาวรีย์ที่ทำจากหินอ่อนหลายแห่ง รวมทั้งวิหารและอาคารต่างๆ
แต่โครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าโมโซลูสคือการสร้างสุสานบนดินของพระองค์
ถึงแม้พระเจ้าโมโซลูสจะไม่ใช่ชาวกรีก แต่พระองค์ก็สามารถตรัสภาษากรีกได้และพระองค์ยังทรงโปรดสถาปัตยกรรมแบบกรีก พระองค์จึงทรงเลือกสถาปนิกชาวกรีกสองคนมาเป็นผู้ออกแบบสุสานให้พระองค์
เมื่อพระเจ้าโมโซลูสสวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล พระราชินีของพระองค์ คือ “พระนางอาร์เตมิเซียที่ 2 (Artemisia II of Caria)” ก็ได้มาทรงคุมงานก่อสร้างต่อ
พระนางอาร์เตมิเซียที่ 2 (Artemisia II of Caria)
พระนางอาร์เตมิเซียที่ 2 ทรงจ้างศิลปินและช่างฝีมือมากมาย และสร้างสรรค์ให้สุสานนี้โด่งดังไปทั่วดินแดน
สุสานนี้สร้างบนเขาที่สามารถมองเห็นทั้งเมืองได้ สร้างบนลานโล่งและมีฐานที่ทำจากหิน บันไดที่ตกแต่งด้วยรูปปั้นสิงโตที่ทำจากหิน และยังมีรูปปั้นนักรบบนหลังม้าประดับตกแต่งรอบบริเวณ
สุสานแห่งนี้มีความสูงราว 140 ฟุต (ประมาณ 42 เมตร) และประดับตกแต่งด้วยภาพแกะสลักเทวตำนานกรีกมากมาย
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสซัส ได้กลายเป็นสถานที่ๆ สำคัญที่สุดในเมือง อีกทั้งยังเป็นการผสมผสานวัฒนธรรม ทั้งกรีก เปอร์เซีย และอียิปต์
สุสานนี้ค่อนข้างจะแปลกจากอนุสรณ์สถานกรีกอื่นๆ เนื่องจากที่นี่ไม่ได้สร้างขึ้นให้พระเจ้า แต่ให้แก่กษัตริย์
พระนางอาร์เตมิเซียดำรงพระชนม์ชีพหลังจากพระสวามีสวรรคตเพียงสองปี พระองค์ก็สวรรคต
พระบรมอัฐิของพระนางถูกนำมาเก็บไว้ในสุสานเคียงข้างพระสวามี และมีการนำสัตว์ที่ตายแล้วมาวางไว้ยังบันไดทางขึ้นสุสาน เป็นการบูชากษัตริย์และพระราชินี
สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่มานานถึง 1,700 ปี และผ่านการรุกรานจากศัตรูหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแก่ภัยธรรมชาติ
ในสมัยศตวรรษที่ 13 ได้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้เสาของสุสานร้าว และทำให้สุสานได้รับความเสียหาย และภายในปีค.ศ.1404 (พ.ศ.1947) สุสานแห่งนี้ก็อยู่ในสภาพทรุดโทรม
ในเวลาต่อมา อัศวินครูเสดได้บุกเข้ามายึดครองดินแดนแถบนี้ และได้ทำการงัดหินที่ฐานของสุสานเพื่อนำไปใช้ในงานก่อสร้างของตน
ตามตำนาน เล่าว่าในปีค.ศ.1522 (พ.ศ.2065) มีอยู่คืนหนึ่ง ได้มีกลุ่มอัศวินครูเสดพบห้องในสุสาน แต่เนื่องจากคืนนั้นดึกมากแล้ว กลุ่มอัศวินครูเสดจึงตัดสินใจจะมาสำรวจในวันต่อมา
เมื่อวันรุ่งขึ้นมาถึง อัศวินครูเสดก็ได้กลับมาที่ห้องเดิมและตั้งใจจะกวาดทรัพย์สมบัติทุกอย่างในห้องนั้นไปให้พบ แต่สิ่งที่พบคือความว่างเปล่า ได้มีคนเข้ามาขโมยสมบัติไปจนหมดแล้ว
เหล่าอัศวินครูเสดโทษว่าเป็นฝีมือของชาวบ้านหรือไม่ก็พวกหัวขโมย แต่ก็เป็นไปได้ว่าคนขโมยอาจจะเป็นหนึ่งในอัศวินที่แอบกลับมาสำรวจและกวาดข้าวของทุกอย่างไปจนหมด
แต่เหล่าอัศวินครูเสดก็ไม่ยอมกลับมือเปล่า พวกเขาเอาปฏิมากรรมชิ้นที่ยังดีๆ กลับไป ส่วนปฏิมากรรมอื่นๆ ก็นำมาใช้เป็นปูนขาว
ค.ศ.1856 (พ.ศ.2399) พิพิธภัณฑ์ British Museum ได้ส่ง “ชาร์ลส์ โทมัส นิวตัน (Charles Thomas Newton)” นักโบราณคดีชาวอังกฤษมาตามหาเศษซากที่เหลือของสุสาน
ชาร์ลส์ โทมัส นิวตัน (Charles Thomas Newton)
นี่นับว่าเป็นงานหนักงานหนึ่ง เนื่องจากนิวตันก็ไม่ทราบถึงจุดที่ตั้งที่แน่นอนของสุสาน เขาจึงลองหาข้อมูลจากงานเขียนของเหล่านักเขียนในยุคโบราณ
เมื่อเจอบริเวณที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุด จึงเริ่มทำการขุดสำรวจ
เมื่อสำรวจไปเรื่อยๆ ก็พบทั้งกำแพง บันได และบริเวณสามด้านของฐานสุสาน
การขุดสำรวจดำเนินต่อไปอีกกว่าสองปี และสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่นิวตันค้นพบ คือรูปปั้นที่คาดว่าน่าจะเป็นรูปปั้นพระเจ้าโมโซลูสและพระนางอาร์เตมิเซียที่ 2
ในปัจจุบัน บริเวณของสุสานแห่งนี้เหลือเพียงแค่ตัวฐานเท่านั้น ส่วนรูปปั้นพระเจ้าโมโซลูสและพระนางอาร์เตมิเซียที่ 2 ก็ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ British Museum
แต่แม้ปัจจุบัน สุสานแห่งนี้จะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่เรื่องราวของสุสานแห่งนี้ก็ยังคงเป็นที่สนใจของผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งยุคโบราณ
สำหรับสิ่งมหัศจรรย์ลำดับถัดไป นั่นก็คือ
“เทวรูปโคโลสซูสแห่งเกาะโรดส์ (Colossus of Rhodes)”
ฝากติดตามด้วยนะครับ
โฆษณา