25 ก.ค. 2020 เวลา 14:53 • กีฬา
Energy Systems and Physiology
“Anaerobic Energy Pathways and Swimming Performance” เส้นทางการใช้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจนและประสิทธิภาพการว่ายน้ำ
ผู้เขียนบทความ : J.M. Stager, PhD, Jonathon Stickford, PhD, and Kirk Grand
ผู้แปล : SW8
Cr. รูปภาพ https://www.freepik.com/
==> ในบทความที่แล้ว เราได้กล่าวถึงหัวข้อ vO2max Testing to Evaluate Aerobic Capacity การทดสอบ VO2max เพื่อประเมินความสามารถการสลายอาหารแบบใช้ออกซิเจน ใครยังไม่ได้อ่าน สามารถไปย้อนอ่านได้
==> ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงหัวข้อย่อยที่ 7 ในเรื่อง “Anaerobic Energy Pathways and Swimming Performance” เส้นทางการใช้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจนและประสิทธิภาพการว่ายน้ำ
==> การเผาผลาญอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจนจะกลายเป็นเส้นทางพลังงานที่โดดเด่นมากหากต้องการใช้กล้ามเนื้อให้ระเบิดพลังออกมาอย่างฉับพลัน มี 2 เส้นทางในกระบวนการนี้
==> จำได้ว่า glycolysis สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีออกซิเจน ผลิตเอทีพีสองตัวเป็นกลูโคสที่แยกย่อยเป็นกรดแลคติคและแลคเตท
==> แม้ว่ากรดแลคติคบางครั้งคิดว่าเป็นของเสียจากการเผาผลาญ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการผลิตกรดแลคติกอาจช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงาน บางเซลล์ผลิตกรดแลคติคในอัตราที่รวดเร็ว บางเซลล์เอามาใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่เป็นประโยชน์ ประเด็นก็คือหากไม่มีความสามารถในการผลิตกรดแลคติกความสามารถในการออกกำลังกายจะลดลง
==> Anaerobic glycolysis เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานเฉพาะในช่วงเวลาสั้น ๆ
==> ในการออกกำลังกายอย่างหนัก มันสามารถให้พลังงานอยู่ในช่วงเวลา 10 วินาที ถึง 2 นาที
==> Glycolysis สร้าง ATP ประมาณ 100 ครั้ง เร็วกว่าแบบ แอโรบิคมาก
==> ดังนั้น glycolysis แบบไม่ใช้ออกซิเจน เป็นระบบการผลิตพลังงานที่โดดเด่นมากสำหรับกิจกรรมที่ต้องการความเร็ว, ความพยายามสูงสุด
==> เพราะการก่อตัวของกรดแลคติกจะช่วยลดความเข้มข้นของ pyruvate ในกล้ามเนื้อ ...
==> ในที่สุดหลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่ากรดแลคติคสามารถเคลื่อนที่ภายในเซลล์ไปสู่ไมโตคอนเดรีย และถูกใช้ผ่านเส้นทางแอโรบิกเมื่อมีออกซิเจน (Brooks and Gaesser 1980; Booth and Baldwin 1996; Brooks et al., 2004)
==> กรดแลคติคจะแยกตัวออกจากร่างกายได้อย่างง่ายดายเพื่อสร้างไอออนไฮโดรเจนและแลคเตท ซึ่งสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและวัดได้โดยใช้การเจาะเลือดเพื่อทดสอบ การพักฟื้นของกล้ามเนื้อจากการซ้อมหนักจะช่วยในการกำจัดแลคเตทออกจากเลือด
==> อินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตโดยตับอ่อน กระตุ้นการใช้กลูโคสเป็นแหล่งเชื้อเพลิง
==> เช่นการบริโภคสารที่มีน้ำตาลสูง จะกระตุ้นการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมของออกซิเจนหรือกล้ามเนื้อที่กำลังใช้งานอยู่ และเมื่อเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรตสูงขึ้นก็จะมีการผลิตแลคเตทที่เพิ่มขึ้นด้วย
==> ความสัมพันธ์ระหว่างกำลังที่ส่งออกมา(ใช้แทนความเร็วในการว่ายน้ำ) และความเข้มข้นของแลคเตทในเลือด (ภาพประกอบ)
==> จากข้อมูลนี้ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้น การฝึกซ้อมในช่วงแรก(ครึ่งแรก) จะเริ่มจากการพักฟื้นไปจนถึงการฝึกแบบไม่ใช้ออกซิเจน หรือฝึกจนหมดแรง
การเพิ่มขึ้นของกรดแลคติกในเลือด (OBLA) ในปริมาณที่สูงมาก สามารถประเมินได้จากการทดสอบนี้
OBLA ถือเป็นหนึ่งในการฝึกซ้อมที่สำคัญเพื่อผลลัพธ์ในการว่ายน้ำที่ดีที่สุด
ในขณะที่การฝึกซ้อมดำเนินไป เส้นโค้งแลคเตทในเลือดจะเปลี่ยนไปตามการใช้งานของกล้ามเนื้อ และ OBLA จะเกิดขึ้นเมื่อใช้ความเร็วในการว่ายน้ำเพิ่มขึ้น
==> จากมุมมองของภาคปฏิบัติก็พบว่าจุดที่น่าสังเกต เริ่มมีแลคเตทสะสมในเลือด (onset of blood lactate accumulation, or OBLA) จุดตัดนี้มีประโยชน์มากในการฝึกซ้อมและการปรับปรุงแผนการฝึก
==> OBLA แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นของการฝึกซ้อม ที่โดยอัตรากรดแลคติกที่ถูกผลิตขึ้นในเลือด
==> โดยทั่วไปแล้วจุดนี้จะเกิดขึ้นที่ความเข้มข้นของแลคเตทในเลือดประมาณสี่มิลลิวินาที ซึ่งได้รับการกล่าวอ้างว่าเป็นระดับการฝึกซ้อมที่เหมาะสมที่สุด สำหรับการสร้างความสามารถในการสลายอาหารแบบแอโรบิค
==> อย่างไรก็ตามอัตรา OBLA ที่ต่ำ ก็ทำให้นักกีฬาฝึกซ้อมได้นานขึ้น
==> โปรแกรมว่ายน้ำประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ ก็จะมีอุปกรณ์การซ้อม, บุคลากร, ความสามารถในการวางแผนความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วในการว่ายน้ำและกรดแลคเตทในเลือดสำหรับนักกีฬาแต่ละคน ซึ่งจุดประสงค์ของการทดสอบนี้คือการได้ประเมินความคืบหน้าในการฝึกซ้อมตลอดซีซั่น
==> ในการประเมินค่า OBLA นักว่ายน้ำจะทำการว่ายน้ำเป็นเซ็ท ทั้งหมด 2 เซ็ท เซ็ทละ 200 วินาที และพัก
==> ในเซ็ทแรก จะว่ายที่ความเร็วพอประมาณ และเซ็ทที่สองให้ว่ายเต็มที่
โดยใช้เพซที่เร็วขึ้นเรื่อยๆจนกว่าจะใช้แรงถึง100เปอร์เซ็นต์
==> หลังจากว่ายน้ำในแต่ละครั้งจะ เก็บตัวอย่างเลือดเล็กน้อย นำมาจากส่วนหูและประเมินโดยใช้อุปกรณ์ตรวจวัดความเข้มข้นของแลคเตทในเลือด
==> และพล็อตกราฟขึ้น โดยการแทนค่า x = ความเร็วในการว่ายน้ำ , ค่า y = ความเข้มข้นของแลคเตท
==> โค้ชสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพของนักกีฬาได้
==> ควรมีการประเมิน OBLA ซ้ำอีกครั้ง ควรจะทำในช่วงที่ไม่มีการฝึกซ้อม
เมื่อเวลาผ่านไป นักว่ายน้ำที่มีค่า OBLA ตอบสนองในเชิงบวก พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถพัฒนาการว่ายน้ำได้อย่างดี ก็คือ ในทางปฏิบัตินักว่ายน้ำจะสามารถว่ายน้ำด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นก่อนที่การผลิตกรดแลคติคจะแซงหน้าความสามารถของกล้ามเนื้อ
==> ก่อนออกจากหัวข้อนี้เราต้องรู้เกี่ยวกับแลคเตทหลังจากที่มันถูกสร้างขึ้น ว่ามันจะถูกกำจัดไปได้อย่างไร
==> กรดแลคติคหรือแลคเตทส่วนใหญ่ถูกเผาผลาญในวงจร TCA
==> ส่วนหนึ่งในระหว่างการออกกำลังกาย และบางส่วนในระหว่างการพักฟื้นหลังจากการออกกำลังกาย
==> อัตราการกำจัดแลคเตทออกจากเลือด สามารถเพิ่มอัตราเร็วขึ้นได้จากการ Cool down ตามระยะเวลาที่กำหนด
==> ยิ่งแข่งว่ายน้ำในระยะสั้น แลคเตทยิ่งสูง การคูลดาวน์ต้องนานขึ้น ในทางกลับกัน การแข่งว่ายน้ำในระยะยาว ใช้ระบบพลังงานแบบแอโรบิคเป็นพื้นฐาน ใช้เวลาในการคูลดาวน์เพื่อกำจัดแลคเตทน้อยกว่า
==> โดยทั่วไปแล้ว นักว่ายน้ำระยะสั้น เช่น ว่ายท่าฟรีสไตล์ 50 เมตร ใช้เวลาว่ายเพียง 20-30 วินาที แต่พวกเขาต้อง คูลดาวน์ถึง 15-20 นาที แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ส่วนใหญ่จะคูลดาวน์ไม่เพียงพอที่ร่างกายต้องการ
==> การวิจัยแสดงให้เห็นว่าควรคูลดาวน์อย่างน้อย 10 นาทีของการออกกำลังกายระดับปานกลาง เพื่อล้างแลคเตทที่สะสมในร่างกาย (Brooks and Gaesser 1980; Olbrecht 2000)
==> สำหรับบทความหน้า เราจะมากล่าวถึงหัวข้อย่อยที่ 8 ในเรื่อง “Phosphogens and Anaerobic Metabolism ฟอสโฟเจนและการเผาผลาญอาหารแบบไม่ใช้ออกซิเจน”
==> ท่านใดที่ต้องการแสดงความคิดเห็น ขอเป็นในเชิงบวก และ/หรือ ถ่ายทอดความรู้เพิ่มเติมเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านท่านอื่นได้อ่านด้วย ขอบพระคุณอย่างสูง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา