8 ส.ค. 2020 เวลา 15:48 • ประวัติศาสตร์
คนดีในสังคมทราม ย่อมอยู่ยาก
ความพิศดารของสามก๊กประการหนึ่งก็คือ ได้แสดงเรื่องราวต่างๆที่ประหลาดพิศดารเหนือความคาดหมายของชาวโลก เรื่องราวบางอย่างที่พึ่งเกิดขึ้นในยุคนี้กลับมีปรากฏอยู่ในสามก๊กอย่างคาดไม่ถึง
ในบรรดาการปล้นที่มีอยู่ในโลกนี้อาจจำแนกได้เป็น 3 ชนิดคือใช้กำลังและอาวุธเข้าปล้นชิงเอาแบบปล้นวัวปล้นควาย และทรัพย์สินเงินทองอย่างอื่น ปล้นโดยใช้ปากกาเป็นอาวุธ พลิกดำเป็นขาวกลับขาวเป็นดำ และการใช้อิทธิพลปล้นความดีความชอบ
การปล้นโดยใช้กำลังและอาวุธมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ในขณะที่การปล้นโดยใช้ปากกามีขึ้นตั้งแต่เริ่มมีกระบวนการยุติธรรม ส่วนการปล้นโดยใช้อิทธิพลพึ่งมีปรากฏให้เห็นในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูนี้เอง
แต่ที่ไหนได้การปล้นทุกชนิด กลับมีปรากฏอยู่ในสามก๊กทั้งสิ้น
เล่าปี่หลังจากถูกปิดบังความชอบจากการกรำศึกที่ยากเข็ญแสนสาหัสแล้ว ได้แต่เฝ้ารอความหวัง แต่ไร้ข่าวคราว วันหนึ่งเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยไปเดินเล่นชมเมืองพบเตียวกิ๋น ซึ่งเป็นมหาดเล็กในพระเจ้าเลนเต้ และทราบข่าวว่าไม่ค่อยกินเส้นกับพวกสิบขันที เล่าปี่จึงเข้าไปหา กระทำคำนับ แนะนำตัวเองแล้วร้องทุกข์ว่าได้ทำความชอบในการทำศึกปราบโจรโพกผ้าเหลืองเป็นอันมากแต่ไม่ได้รับปูนบำเหน็จความชอบใดๆ แล้วเล่าความทั้งปวงให้เตียวกิ๋นฟัง
วรรณกรรมสามก๊ก
เตียวกิ๋นคงเห็นเป็นทีจะได้เล่นงานสิบขันที จึงพาเล่าปี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเลนเต้กราบทูลว่า เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นครั้งนี้ เพราะเหตุด้วยพระองค์เชื่อฟังขันทีสิบคน ขันทีสิบคนนั้นตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร กลับจริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเป็นยุติธรรมนั้นให้ถอดเสีย เอาสินบน ผู้หาสัตย์ไม่เอามาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย บ้านเมืองก็เกิดจลาจล อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาคุมเท่าบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้เอาขันทีสิบคนไปตัดศีรษะ ประกาศแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้ทั่วทุกหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ใครมีสติปัญญาเป็นยุติธรรมมีความชอบก็ให้ตั้งเป็นขุนนาง โดยยศถาศักดิ์ตามสมควร บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป
คำกราบทูลนี้ฟังแล้วเห็นได้ว่า เตียวกิ๋นเป็นขุนนางที่ซื่อตรงต่อแผ่นดินคนหนึ่ง แต่เพราะความไม่พอใจสิบขันทีล้นอยู่ในอก เตียวกิ๋นที่สู้นำเล่าปี่เข้าเฝ้ากลับไม่กราบทูลเสนอความชอบของเล่าปี่แม้แต่คำเดียว เอาแต่ขอให้ประหารสิบขันทีเสีย แต่อาจเป็นโชคดีของเล่าปี่ เพราะหากเสนอความชอบไปแล้วเล่าปี่ก็อาจต้องรับชะตากรรมที่ไม่คาดคิดได้
สิบขันทีฟังคำกราบทูลอยู่ก็ตกใจ เพราะความที่เตียวกิ๋นกราบทูลนั้นเป็นเรื่องใหญ่มีโทษถึงตาย จึงแสร้งถอดหมวกยศ ทำทีเสียใจจะลาออกจากราชการ แล้วร้องไห้ขอความสงสารว่า ถูกใส่ร้ายเกิดจากความอิจฉาของเตียวกิ๋น และเป็นความอิจฉาที่มีต่อฮ่องเต้ เพราะสิบขันทีได้ปรนนิบัติรับใช้เป็นอันดีด้วยความสัตย์สุจริตและเสียสละอันสูงสุด ไม่เคยคิดเห็นแก่ครอบครัวหรือญาติพี่น้อง กราบทูลแล้วสิบขันทีได้ตำหนิเตียวกิ๋นต่อหน้าพระพักตร์ว่าเตียวกิ๋นเป็นเพียงขุนนางผู้น้อย ไฉนบังอาจมาสั่งสอนฮ่องเต้ ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ ไม่ยำเกรงพระราชอาญาในองค์พระจักรพรรดิ
พระเจ้าเลนเต้ได้ยินคำขันทีก็มีน้ำพระทัยคล้อยตาม จึงตำหนิเตียวกิ๋นว่า ตัวเป็นขุนนาง มีคนรับใช้ใกล้ชิดมากมายอยู่แล้ว พระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์มีขันทีคอยรับใช้บ้างทำไมต้องมาอิจฉาริษยากัน แล้วตรัสสั่งให้ทหารไล่เตียวกิ๋นและ เล่าปี่ออกไป
หลังเหตุการณ์นั้นแล้ว สิบขันทีจึงปรึกษาหารือกันว่าผู้มีความชอบในการปราบโจรโพกผ้าเหลืองมีอยู่มาก หากไม่จัดสรรตำแหน่งเล็กๆน้อยๆให้บ้างคนพวกนี้ก็คงจะมาถวายฎีกาอีก จะทำให้เดือดร้อนกันเปล่าๆ สมควรที่จะต้องบอกกล่าวให้กรมกำลังพลจัดสรรตำแหน่งให้ จะได้ไปพ้นหูพ้นตาแล้วค่อยคิดอ่านจัดการในภายหลัง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน กล่าวความในตอนนี้ว่า สิบขันทีตกลงกันให้เฉยไว้ ส่วนฉบับภาษาจีนระบุความไว้ชัดเจนว่าสิบขันทีได้วางแผนแก้ไขปัญหาความรำคาญที่มีผู้มาเพ็ดทูลฎีกาขอบำเหน็จความชอบซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิบขันที จึงสั่งการให้กรมกำลังพลจัดสรรตำแหน่งเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่บรรดาผู้มีความชอบ แล้วให้ไปรับราชการในต่างถิ่น
เหตุนี้ผู้มีความชอบในศึกปราบโจรโพกผ้าเหลืองหลายคนจึงได้รับการปูนบำเหน็จเล็กๆน้อยๆ สำหรับเล่าปี่นั้นได้ใบบุญไปด้วย เพราะทรงโปรดให้ไปเป็นนายอำเภอเมืองอันฮ่อกวน ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ อยู่ห่างไกลเมืองหลวง
เป็นอันว่าแผนลดความขัดแย้งกับบรรดาผู้มีความชอบในสงครามปราบโจรโพกผ้าเหลืองของสิบขันทีดำเนินไปอย่างได้ผล เพราะผู้มีความชอบเหล่านั้นต้องแยกย้ายกันออกไปทำราชการในหัวเมือง ไม่เป็นที่รกหูรกตาและไม่มาเที่ยวทูลเกล้าถวายฎีกาให้เป็นที่วุ่นวายใจของสิบขันทีต่อไป
เล่าปี่รับพระบรมราชโองการแล้วได้ให้ทหารซึ่งมาด้วยนั้นกลับคืนไปต้นสังกัดเดิม คงเอาแต่คนสนิทประมาณ 20 คนไว้ แล้วพากวนอู เตียวหุยพร้อมคนเหล่านั้นเดินทางไปรับตำแหน่งนายอำเภอเมืองอันฮ่อกวน เล่าปี่ได้ปกครองบ้านเมืองโดยยุติธรรมคดีความก็เสร็จสิ้นไป ราษฎรทั้งปวงได้ความสุขต่างสรรเสริญและมีใจภักดีต่อเล่าปี่เป็นอันมาก
ภาพจากซี่รีย์สามก๊ก1994 เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
แต่เวรกรรมของบรรดาผู้มีความชอบในการปราบโจรโพกผ้าเหลืองภายใต้ระบบขันทีในแผ่นดินเลนเต้ยังไม่หมดสิ้น เพราะสิบขันทีได้วางแผนกันไว้ก่อนแล้วว่าที่มีการปูนบำเหน็จไปนั้นเพียงเพื่อไม่ให้มีการร้องทุกข์ถวายฎีกาให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตน แล้วจะคิดบัญชีในภายหลัง
ดังนั้นเมื่อบรรดาผู้มีความชอบแยกย้ายกระจายกันไปทำราชการตามหัวเมืองแล้วสิบขันทีก็เริ่มดำเนินงานตามระบบที่คุ้นเคยของตน ด้วยการออกประกาศเวียนทั่วไปและเจาะจงให้ไปถึงบรรดาผู้มีความชอบที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ว่าแผ่นดินมีขุนนางข้าราชการมากเกินไป เป็นภาระแก่งบประมาณแผ่นดิน ทางราชการมีความจำเป็นที่จะต้องลดจำนวนขุนนางและข้าราชการลง
ถ้าใครมีข้อสงสัยประการใดก็ให้ขอทราบรายละเอียดได้ที่กรมขันที
ในขณะเดียวกันนั้นก็ส่งสมุนออกไปว่ากล่าวแก่ขุนนาง ข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนทั้งปวงที่ได้รับความชอบจากการปราบโจรโพกผ้าเหลืองว่า ถ้าผู้ใดมีทรัพย์ข้าวของเงินทองเอาไปให้แก่ขันทีนายเราแล้ว นายเราจะช่วยทูลเสนอความชอบให้ ถ้าใครมิได้ให้ นายเราจะทูลให้ออกเสียจากที่ขุนนาง
ขุนนางข้าราชการที่ได้รับความชอบดังกล่าว ได้ยินยอมเข้าสู่ระบบส่วยสินบนของสิบขันทีเป็นอันมาก ซึ่งย่อมรวมถึงตั๋งโต๊ะ โจโฉและซุนเกี๋ยนด้วย คนเหล่านี้จึงยังคงดำรงอำนาจวาสนาและมีความก้าวหน้าในราชการต่อไปได้
ภายในเมืองหลวงปรากฏว่ามีขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารสามคนไม่ยอมรับระบบส่วยสินบนของสิบขันทีคือโลติด ฮองฮูสงและจูฮี
แต่โลติดอดีตแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองคนแรกนั้นคุมกำลังทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์สิบขันทีจึงไม่อยากข้องแวะด้วย ซึ่งคงจะถือหลักนักเลงว่า พบเสือให้หนี พบหมูให้กิน ดังนั้นสิบขันทีจึงยังไม่กล้าข้องแวะกับโลติด
ส่วนฮองฮูสงอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ตั้งไปแทนตั๋งโต๊ะปราบโจรโพกผ้าเหลือง และจูฮี ซึ่งเป็นแม่ทัพรองนั้น ทั้งสองคนได้รับปูนบำเหน็จตั้งเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง มีตำแหน่งเฝ้าและกินหัวเมืองด้วย แต่ไม่ได้คุมกำลังทหารประจำการ ดังนั้นเมื่อไม่ยอมเอาเงินทองไปติดสินบนสิบขันที จึงถูกสิบขันทีเพ็ดทูลยุยงพระเจ้าเลนเต้ให้ถอดออกเสียจากที่ขุนนาง
เมื่อตำแหน่งแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง ซึ่งเป็นตำแหน่งใหญ่โตของแผ่นดินว่างลงถึงสองตำแหน่ง สิบขันทีก็กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้แต่งตั้งเตียวต๋งและเตียวเหยียงซึ่งเป็นแกนนำสำคัญของสิบขันทีให้ครองตำแหน่งแทน
ส่วนขันทีที่เหลืออีกแปดคน ก็โปรดให้เลื่อนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทุกคน ราชการนั้นก็ฟั่นเฟือนไป ราษฎรได้ความเดือดร้อน
ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งไปรับตำแหน่งเป็นนายอำเภอเมืองอันฮ่อกวนนั้น ก็ถูกสิบขันทีส่งลูกน้องชื่อต๊กอิ้วไปเรียกเอาส่วยสินบนเช่นเดียวกัน
ต๊กอิ้วไปถึงเมืองอันฮ่อกวนก็วางอำนาจบาตรใหญ่ซักไซร้ประวัติและผลงานของเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่บอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และมีความชอบในการปราบศึกโจรโพกผ้าเหลือง ต๊กอิ้วไม่ยอมเชื่อหาว่าเป็นการแอบอ้าง แล้วแจ้งว่ามีรับสั่งให้มาเรียกส่วยจากขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ เล่าปี่มิได้ว่าประการใดและลาไปที่อยู่ แล้วเชิญปลัดอำเภอมาปรึกษา ปลัดอำเภอรู้ธรรมเนียมของเมืองตาหลิ่วดี จึงบอกแก่เล่าปี่ว่าต๊กอิ้วมาครั้งนี้ด้วยหวังเอาสินบนเข้าตัว ไม่ใช่ภาษีเก็บเข้าหลวง
เล่าปี่จึงว่า ตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้จะได้ค่าธรรมเนียม แลเบียดเบียนด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่ง แก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบน
คำของเล่าปี่นี้สะท้อนถึงคุณธรรมประจำตัวและวัตรปฏิบัติราชการของเล่าปี่ อันเป็นที่มาของความเคารพรักศรัทธาจากราษฎร หลังจากนี้เกือบสองพันปี เหมาเจ๋อตงผู้ นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงได้นำหลักการนี้ไปบัญญัติเป็นข้อหนึ่งในวินัยใหญ่สามข้อของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนว่า ห้ามเอาด้ายสักเส้น เข็มสักเล่มจากราษฎร
รุ่งขึ้นต๊กอิ้วได้เรียกปลัดอำเภอมาสอบสวน บังคับให้กล่าวหาว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปลัดอำเภอไม่ยอมกล่าวหา ต๊กอิ้วจึงสั่งให้นักการอำเภอเฆี่ยนปลัดอำเภอ บังคับให้ใส่ความเล่าปี่ แต่ปลัดอำเภอก็สู้ทนอาญา ก้มหน้าทนเจ็บทนรับความปวดไม่ยอมกล่าวคำอันเป็นอาสัตย์ พอเล่าปี่จะมาพบต๊กอิ้วก็ไม่ให้เข้าพบ เล่าปี่จึงกลับไปที่พัก ราษฎรได้ทราบความจึงพากันมาที่อำเภอเพื่อจะช่วยเหลือปลัดอำเภอ แต่นายประตูได้ห้ามไว้
ราษฎรได้ชุมนุมอยู่ที่หน้าอำเภอด้วยความสงสารปลัดอำเภอและเล่าปี่ แล้วพากันร้องไห้ระงม พอดีเตียวหุยเสพสุราขี่ม้าผ่านมาประสบเหตุ ได้ทราบความเข้าก็โกรธ บุกเข้าไปจิกหัวต๊กอิ้วลากออกมาหน้าเรือนรับรอง จับผูกเข้ากับหลักม้า แล้วเอาแส้ม้าเฆี่ยนต๊กอิ้วเจ็บปวดเป็นสาหัส เล่าปี่ได้ยินเสียงร้องของต๊กอิ้วก็วิ่งมาดู พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจจึงเข้าห้ามเตียวหุย ต๊กอิ้วเห็นดังนั้นจึงร้องขอให้เล่าปี่ช่วยชีวิต เล่าปี่มีใจสงสารก็ห้ามเตียวหุยไม่ให้เฆี่ยนต๊กอิ้วอีกต่อไป
พอดีกวนอูผ่านมารู้เหตุแล้วจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเป็นหลายครั้ง ก็ได้เป็นแต่เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้า ดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมาประดุจหงส์ซึ่งจะอาศัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศัยแห่งเราดีกว่า ภายหลังจึงจะค่อยคิดการณ์ใหญ่สืบไป
ความตอนนี้แสดงออกถึงอัธยาศัยใจคอ ความทรนงในศักดิ์และความปรารถนาทำการใหญ่ของกวนอูอย่างชัดเจน
เล่าปี่ฟังแล้วเห็นชอบด้วย แต่การที่จะฆ่าต๊กอิ้วเป็นการไม่สมควรเพราะเป็นผู้ถือรับสั่ง แม้ว่าจะมีการแอบอ้างอยู่ด้วยก็ตามที เล่าปี่จึงได้เอาตราสำคัญของนายอำเภอมาผูกคอต๊กอิ้ว แล้วว่าจะไว้ชีวิตให้ครั้งหนึ่ง บัดนี้เราไม่ต้องการทำราชการแล้ว ให้ต๊กอิ้วนำตรากลับไป
แล้วเล่าปี่ก็พากวนอูเตียวหุยกับพรรคพวกยี่สิบคนนั้นออกจากเมืองอันฮ่อกวน ฝ่ายต๊กอิ้วก็นำตราไปพบเจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว เล่าเหตุการณ์แล้วสั่งให้เจ้าเมืองจับเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยส่งเข้าเมืองหลวง
เล่าปี่มาถึงกลางทางก็ได้กิตติศัพท์ที่เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วออกหมายประกาศจับตัว เห็นจะไปเมืองตุ้นก้วนตามความคิดเดิมไม่ได้ จึงเปลี่ยนเส้นทางไปหาเล่าเก๊ง เจ้าเมืองไต้จิ๋วซึ่งเป็นแซ่เดียวกัน แล้วเล่าความแต่หนหลังให้เล่าเก๊งฟังโดยตลอด
เล่าเก๊งนั้นแจ้งในหนังสือที่เจ้าเมืองเต๊งจิ๋วให้จับเล่าปี่แล้ว แต่ครั้นได้ฟังคำซึ่งเล่าปี่บอกก็มีจิตคิดสงสารคำนึงว่าเป็นแซ่เดียวกันทั้งเป็นเชื้อพระวงศ์แต่กลับไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงเพียงนี้ น้ำใจจึงเอียงมาเข้าข้างคิดช่วยเหลือเล่าปี่ ดังนั้นเล่าเก๊งจึงให้เปลี่ยนชื่อแซ่เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย แล้วจัดที่ซ่อนตัวไว้ภายในบ้านพักรับรองของเจ้าเมือง เล่าปี่เชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจมีความชอบต่อแผ่นดินแต่กลับต้องถูกหมายประกาศจับ ต้องเปลี่ยนชื่อแซ่ และต้องเป็นอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยประการฉะนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา