15 ส.ค. 2020 เวลา 11:48 • ธุรกิจ
ในขณะที่บริษัทต่างๆให้ความสนใจกับ Resilience & Empathy
แต่มีอีก 1 skill ที่สำคัญแต่โดนมองข้ามนั้นคือ "ALLYSHIP"
เราเชื่อว่าเพื่อนๆที่ทำงานบริษัทหลายๆคน โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ น่าจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง Inclusion & Diversity กันแล้วเนอะ หรือที่รู้จักกันว่า I&D
2
สั้นๆ เกี่ยวกับ I&D แต่เราขอไม่พูดเยอะ เพราะคิดว่าหาอ่านได้สบายๆ
คือหยั่งงี้ concept ของ Inclusion & Diversity มันมีมาตั้งนานแล้วละ เพียงแต่มันกลับมาย้ำใหม่อีกครั้งก็ เหตุการณ์ใช้ความรุนแรงและการเหยียดสีผิวที่อเมริกานะเนอะ เพื่อนๆ (เอาง่ายๆก็คือ คดีของ จอร์จ ฟลอย นั้นเอง) แต่มันจะมีมากกว่านั้นในเรื่องของการเหยียดเพศและ LGBTQ+ ด้วยละ
ปัจจุบันหลายๆบริษัท โดยเฉพาะบริษัทสัญชาติอเมริกัน จะต้องบรรจุการให้ความรู้และการเทรนนิ่งเรื่องของ Inclusion & Diversity กับพนักงาน (เรียกได้ว่าทุกคนต้องเทรน)
เราเป็นคนหนึ่งที่ผ่านการเทรนสั้นๆมาตามที่บริษัทเค้าต้องการเนอะ แต่ว่าเราคิดว่าในเรื่องของ Allyship ซึ่งเป็น 1 ใน skill ที่ ถ้าเราสามารถเข้าใจและฝึกมันได้ จะทำให้เราช่วยองค์กรในเรื่องของ Inclusion & Diversity ได้ดีมากขึ้น รวมถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานด้วยเช่นกัน
เดี๋ยวอีกสักพักนึงก็คงจะมีผู้คนมาสนใจในเรื่องนี้มากขึ้น เหมือนกับตอนสมัย Resilience & Empathy
และถ้าเพื่อนๆอยากเพิ่มศักยภาพให้ตัวเอง เพื่อที่จะสมัครงานใหม่ๆนี่ เราจะบอกว่า Personal Skill นี้เป็น 1 ในสิ่งที่ควรเขียนลงไปใน Resume (แต่ขอให้เข้าใจจริงๆนะ)
ถ้างั้นเราขอมาย่อยให้เพื่อนๆอ่านกันสนุกๆเลยดีกว่า !
Allyship Skill คืออะไร ?
- เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้ตัว ด้วย trust, consistency และ accountability
- เป็นโอกาสในการเรียนรู้ถึงบุคคลอื่นๆด้วย
- ใส่ใจกับคนรอบข้างให้มากกว่าตัวเอง (ในเฉพาะเรื่องนะ เช่น งานและความสัมพันธ์)
2
Ally และการเป็น Ally ที่ดีคือ ?
- อย่าเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ไม่มองว่าทุกคนต้องหมุนรอบชั้น
- ไม่มีมุมมองที่ Bias ต่อด้านใดด้านนึงจนเกินไป (และสื่อออกมาให้สาธารณะรับรู้)
- มีความเข้าใจและไม่ดูถูกเกี่ยวกับ บุคลิก หรือการที่คนคนนึงเลือกที่จะเป็นแบบไหน
- และสกิลที่สำคัญที่สุดคือ listen, support และ self-reflect
1
ฟังดูเหมือนจะเป็นแนวผ้ารีดเรียบๆที่พับไว้เนอะ
แต่เพื่อนๆลองคิดดูว่า ถ้าเราร่วมงานกับคนที่มีลักษณะแบบนี้ เราจะทำงานได้ง่ายขึ้นมากขนาดไหน ?
ส่วนตัวเรามองว่า Ally และ Allyship เนี่ย เหมือนดาบสองคม ที่เราต้องทำความเข้าใจจริงๆนะ และไม่ใช่การประชด
ในทีนี้หมายความว่า เราไม่สามารถเอาเรื่องของ Ally ไปครอบใส่หัวของคนอื่นๆเช่น
"แกรนี่นะ ดื้อด้าน ไม่รับฟังใคร แกรมันไม่มีความ Ally เลยยยยย"
"เห็นพอเลิกงานแล้ว ก็เป็นคนละคนซะงั้น ไม่เห็นมีความน่ารักเหมือนเวลาร่วมงานเลย แบบนี้มัน Fake Ally นี่หว่า"
ใช่แล้วเพื่อนๆ เรากำลังจะบอกว่า ชีวิตหรือพฤติกรรมของคนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เรียบเหมือนผ้าพับไว้ตลอดเวลา เราไม่ควรจะคาดหวังในเรื่องของ Allyship แบบตลอดเวลาจากคนรอบข้างนะ เค้าแค่บอกว่า ถ้ามีสิ่งนี้ หรือระลึกได้ในที่ทำงานเนี่ย ก็จะทำให้ลดความขัดแย้งลง
การเริ่มฝึก Allyship Skill ต้องเริ่มจากการ "ยอมรับผิดให้เป็น" ก่อน
- Lack of self-awareness เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเรานั้น โทษสิ่งอื่นๆ โทษคนอื่น โยนความผิด เพียงเพราะพวกเค้าไม่อยากผิด หรือดูแย่ในสังคม
- แต่ถ้าเราสามารถ reflect ตัวเองได้ ผิดแล้วยอมรับ พร้อมปรับปรุง หรือถ้าสามารถแชร์ให้คนอื่นฟังได้เป็นกรณีศึกษาก็จะดีมากกๆเลยละ
Allyship คือการประนีประนอม และพร้อมเป็นตัวกลางช่วยเหลือผู้อื่น
- ใช่แล้วเพื่อนๆ ในทีนี้เราไม่ได้หมายความว่า เราต้องเข้าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านนะ
- แต่ด้วยความที่เรามี Privilege ทางความรู้สึก ที่มีสติ หรือรู้เห็นเนี่ย เอาเข้ามาช่วยให้เพื่อนร่วมงานที่มีปัญหากัน สามารถทุเลาความรุนแรงได้
เราขอยกตัวอย่างง่ายๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องของ เพื่อนทะเลาะกัน เช่น
- หัวหน้าของเพื่อนที่ย้ายมาทำงานใหม่ เป็นคนเวียดนาม
- โดยที่เพื่อนๆในทีมเนี่ย ดันเป็นกลุ่มที่ชอบเล่นเกมส์และดูการแข่งขันเกมส์บ่อยๆ และล่าสุดสมมุติว่า ทีมไทย พึ่งจะแข่งแพ้ทีมเวียดนามไป เลยทำให้เกิดความไม่พอใจ
- เลยทำให้พวกเค้านั้น มีอารมณ์ขุ่นเคืองหัวหน้าที่มาใหม่ และเวลารับประทานอาหารกลางวัน ทำให้พวกเค้าไม่สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษเลย
ในฐานะ Ally ที่ดี เราควรทำยังไงเอ่ย ?
เราว่าเพื่อนๆรู้กันอยู่แล้วละเนอะ
- ถ้าจับความรู้สึกนี้ได้ เราต้องเป็นตัวกลางในการดึง หัวหน้า และกลุ่มเพื่อนๆเราให้ค่อยๆเริ่มรู้จกกัน เปิดใจกัน
- เราต้องเป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยภาษาอังกฤษก่อน และทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย
- หลังจากเหตุการณ์นี้ เราควรที่จะต้องทำความเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนๆ รับฟังเค้า และ ถ้าเป็นไปได้อธิบายให้เพื่อนๆเข้าใจ ถึงบทบาทของหัวหน้าที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง เพศ เชื้อชาติ หรือสีผิว
และแน่นอนว่า การที่เพื่อนๆทำสิ่งนี้ได้ เราเรียกว่าการเข้าใจ Privilege ละ ที่ไม่ใช่สิทธิพิเศษเหนือคนอื่นน้าา
Privilege ใน term ของ Allyship ของตัวเรา คือ ?
- คือการที่เราสามารถรู้ตัว เข้าใจตัวเอง รวมถึงผู้อื่นในสถานการณ์ที่ยากลำยาก
- เรารู้ว่าการช่วยเหลือคนอื่น โดยการเข้าเป็นไปตัวกลางเนี่ยมันยากนะ แต่เราก็ยังคงที่จะช่วยเค้า
- การที่เรามีสติ แล้วสามารถช่วยหรือเตือนคนรอบข้างที่กำลังขาดสติ ใช้อารมณ์ คำหยาบคายหรือ พฤติกรรมที่รุนแรงได้ (แต่เราต้องไม่เจ็บตัวด้วยนะ เออ ต้องเลือกจังหวะการเข้านะ)
Privilege ใน term ของพฤติกรรมของคนอื่น คือ ?
- อันนี้ก็จะตรงข้ามเลยนะ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจด้วยว่า คนอื่นๆเค้าก็มีความ Privilege หรือความพิเศษทางความคิด หรืออารมณ์ของเค้าเอง
- ถ้าบุคคลคนหนึ่ง ยังไม่เปิดใจ หรือยังไม่สามารถเข้าใจในสิ่งสิ่งหนึ่งได้ง่าย สิ่งที่เพื่อนๆควรทำ ไม่ใช่การที่ไปบังคับให้เค้าเข้าใจ
- แต่คือการที่เข้าใจในความ Privilege ทางความคิดของเค้า แล้วค่อยๆรับฟังเค้าให้มากขึ้น ค่อยๆทำให้เค้าเปิดใจ และมองมุมมองที่ต่างกันออกไปมากขึ้น
จบแล้วจ้าาา คือ อ่านแล้วก็อาจจะดูเหมือนง่ายจัง ทำไม่ยากเลยเนอะ
แต่ถ้าสิ่งเหล่านี้มันง่ายขนาดนั้นจริงๆ ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงในเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ เพศ หรือผิว
หรือแม้กระทั่ง หลายๆบริษัทต้องนำมา educate กับพนักงานของตัวเองเนอะ
สรุปสั้นๆ
1. Learn about other people’s experiences - รับฟังและเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้น
2. Listen to feedback, and lean into your mistakes - รับฟัง feedback เกี่ยวกับตัวเอง และยอมรับหากผิดพร้อมปรับปรุง
3. Use your privilege - อย่าลืมใช้ privilege ที่เราอุตส่าห์เรียนรู้มาเพื่อช่วยคนอื่นละ ^^
โฆษณา