28 ส.ค. 2020 เวลา 10:06 • ท่องเที่ยว
ปักกิ่ง 5วันที่อยู่ที่นั่นใจฉันจดจ่ออยู่กับเรื่องวีซ่า พอเรื่องเรียบร้อยจึงคิดถึงว่าจะไปเที่ยวไหนดี อยากจะไปกำแพงเมืองจีนเพราะมาครั้งที่แล้วพลาดเนื่องจากท้องเสียอย่างหนัก แต่ตอนนี้ขาและก้นเริ่มเจ็บคงเพราะเดินมากกับเป้คงหนักมากเกินไป อย่าว่าแต่เดินขึ้นกำแพงเมืองจีนเลย แค่เดินขึ้นบันไดรถใต้ดินขาก็เสียวแปลบแล้ว เลยมองหาที่เที่ยวใกล้ๆเหมาะแก่อัตภาพ ณ ขณะนั้นซึ่งคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าคล้ายๆไปเที่ยวทัวร์9วัด
วัดลามะมาได้ง่ายโดยขึ้นรถใต้ดินลงสถานีYonghegong ค่าธรรมเนียมเข้าวัด25หยวน ตัวอาคารและศิลปะในวัดเป็นรูปแบบผสมระหว่างฮั่นและธิเบต วัดนี้แต่เดิมเป็นวังสร้างเมื่อปี ค.ศ.1694 แต่เมื่อเจ้าชายได้ครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ์จึงมอบตำหนักให้เป็นวัดของพระลามะ ที่วัดนี้ผู้คนนิยมมาสักการะกันมาก ทั้งวัดจึงดูค่อนข้างจ้อกแจ้กจอแจ ผสานธูปควันโขมง เดินดูจนทั่วทั้งในส่วนของอารามและพิพิธภัณฑ์ใช้เวลาไม่เกิน2ชม.
Lama Temple (Yonghe Temple)
วัดเจดีย์ขาว Miaoying Temple เป็นวัดเก่าแก่และมีความสำคัญแห่งนึงของปักกิ่ง เป็นวัดที่ฉันเจอด้วยความบังเอิญขณะเดินเล่นแถวที่พัก แรกเห็นจากถนนก็สะดุดตาทันทีเพราะฉันไม่เคยเห็นเจดีย์ทรงลังกาในจีนมาก่อน เจดีย์องค์นี้สร้างในสมัยของกุบไลข่านปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หยวน เมื่อปีคศ.1270 - 1288 ใช้เวลาสร้างเกือบ10ปีและเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น ผู้ออกแบบและควบคุมการสร้างเป็นสถาปนิกชาวเนปาลที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นชื่อ Araniko วัดนี้ถือว่าเป็นวัดหลวงในสมัยราชวงศ์หยวนและยังเป็นสถานที่จัดพิธีบวงสรวงเมื่อกุบไลข่านสิ้นพระชนม์
วัดสุดท้ายที่ฉันเดินไปเจอก็อยู่แถวที่พักอีก ตอนแรกคิดว่าคงไม่ค่อยสำคัญแต่วัดก็ใหญ่พอสมควร และมีการปฏิสังขรณ์อยู่ขนานใหญ่ ฉันได้เห็นหลวงจีนตัวเป็นๆครั้งแรกที่นี่ คิดถึงหนังจีนกำลังภายในขึ้นมาทันที หลังจากเดินๆดูรอบๆก็พบว่าที่นี่ Guangji templeเป็นวัดเก่าแก่ มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของปักกิ่ง วัดนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ.1115 และในปัจจุบันเป็นสำนักงานใหญ่พุทธสมาคมแห่งประเทศจีน
Guangji Temple
ฉันไม่ค่อยได้สนใจอาหารการกินที่ปักกิ่งเท่าไหร่นัก ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่อาหารที่เจอตามร้านจึงรู้สึกค่อนข้างเป็นฟิวชั่นนิดหน่อย แต่ก็สะดุดตากับร้านนึงที่มีขาหมูขายกับแกงกระด้าง(มั้ง)มีลูกค้าซื้อหลายคนอยู่ แต่ต้องซื้อกลับบ้านเท่านั้น ฉันไม่สามารถที่จะกินขาหมูทั้งขาคนเดียวได้ เลยได้แต่เสียดายและสงสัยว่าขาหมูปักกิ่งจะอร่อยแค่ไหนจนทุกวันนี้
คราวนี้มาเล่าถึงข้อสังเกตุจากการเที่ยวในเมืองจีนบ้าง ฉันสังเกตว่าตามสถานีรถใต้ดินหรือรถไฟฟ้าจะมีบันไดเลื่อนเฉพาะทางขึ้น ส่วนทางลงคือบันไดธรรมดาหรือถ้าหนักข้อก็คือบันไดธรรมดาทั้งขึ้นทั้งลงเลย ที่บ่นเพราะคนที่นี่ไม่ได้เดินตัวปลิวๆสบายๆแบบบ้านเรา แต่ต้องแบกของหนักๆสารพัด ทำให้คิดว่าเกิดเป็นคนจีนนั้นต้องอดทน ยิ่งผู้หญิงยิ่งต้องมีความอดทนสูง เพราะฉันเห็นผู้ชายแทรกเบียดเข้ามาแย่งที่นั่งผู้หญิงท้องบนรถไฟฟ้าหน้าตาเฉยมาแล้ว ไม่มีใครต่อว่าอะไรใคร แต่ก็ยังดีที่ผู้หญิงคนอื่นลุกให้ผู้หญิงท้องนั่ง ส่วนผู้ชายจีนคนอื่นๆที่นั่งอยู่ก็สนแต่โทรศัพท์ในมือกันต่อไป
ที่พักในปักกิ่งที่ฉันพักครั้งนี้อยู่ในตัวเมืองชั้นใน ในแหล่งตรอกซอกซอยของจีนที่ยังเป็นบ้านสไตล์ปักกิ่งแท้ๆ คือเป็นบ้านชั้นเดียวเนื่องจากห้ามสร้างสูงกว่าพระราชวัง ประตูทางเข้าบ้านจะเป็นประตูไม้บานคู่สีแดงขนาดใหญ่ ภายในแบ่งเป็นโซนแล้วแบ่งเป็นห้อง กลางบ้านมักเป็นสวน(court yard)บ้านหลังนึงจึงถือว่าใหญ่ใช้ได้เลย
ห้องน้ำสาธารณะตามซอกซอยในปักกิ่ง มีอยู่ที่นึงฉันแวะเข้าไปเยี่ยมชมแต่ก็จ๊ะเอ๋กับสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนนึงนั่งทำธุระอยู่จึงรีบถอยออกมาแทบไม่ทัน แต่ถ้าถึงคราวปวดต้องเข้าจริงๆก็ภาวนาอย่าได้มีใครมานั่งข้างๆเลย แต่ถ้ามีก็คงต้องหนีห่าว เลยตามเลย.....🤣
ปักกิ่งถึงจะเป็นเมืองใหญ่แต่ก็ปลอดภัย กลางคืนเดินได้ไม่น่ากลัว กล้องตามซอยมีส่องทั่วทุกทิศ(ประเทศแห่งเกสตาโป) คนขับรถที่นี่รู้สึกว่าจะแย่กว่าเมืองไทย ไม่มีน้ำใจและไม่สนคนเดินถนน แต่บ้านเมืองที่ปักกิ่งเขาสงบดีแม้ว่าจะอยู่ชิดติดกันไม่มีเสียงดังโวยวายหรือทำเสียงรบกวนชาวบ้าน ที่ฉันติหนักหน่อยคือกลิ่นตัวและกลิ่นปากของคนจีนนั้นควรปรับปรุงโดยเฉพาะผู้ชาย การขึ้นรถใต้ดินทำให้รู้สึกได้ว่าอยู่ท่ามกลางชาวเขาที่ในสมัยก่อนที่ไม่ได้อาบน้ำหลายๆวัน ยาหม่องตลับเล็กๆจึงเป็นอาวุธที่ดีที่เราควรพกติดตัวเอาไว้
โฆษณา