5 ก.ย. 2020 เวลา 01:08
พระพุทธเจ้า(Gautam Buddha)ตอนที่3
จากตอนที่แล้วที่เจ้าชายได้ตั้งจิตแน่วแน่ที่จะออกบวช ในตอนนี้เจ้าชายได้หนีออกจากพระราชวังในเวลากลางคืน ในขณะนั้นพระองค์มีอายุได้ 29ปี ได้ประทับบนหลังม้าที่ชื่อกัณฐกะ มีนายฉันนะเป็นอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดตามไปด้วย
สำหรับม้ากัณฐกะและนายฉันนะนี้ นับว่าอยู่ในสหชาติทั้ง7ของพระพุทธเจ้าด้วย(7สิ่งที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า)สหชาติทั้ง7 ประกอบไปด้วย พระพุทธองค์เอง ,พระนางพิมพายโสธรา ,พระอานนท์ ,นายฉันนะ ,อำมาตย์กาฬุทายี ,ต้นศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา และม้ากัณฐกะ
1
เจ้าชายสิทธัตถะพร้อมด้วยนายฉันนะที่ตามเสด็จ ทรงขับม้าพระที่นั่งไปตลอดคืน ไปถึงที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตแดนกั้นเมืองทั้ง ๓ คือ กบิลพัสดุ์ สาวัตถี และไพศาลี ซึ่งก็คือแม่น้ำ อโนมานที
ทรงพาม้าและฉันนะข้ามแม่น้ำ แล้วลงจากหลังม้าประทับนั่งบนหาดทราย อันขาวดุจดังแผ่นเงิน มือขวาจับดาบ มือซ้ายจับปลายพระเกศาหรือ ผมนั่นเอง กับ มุ่นพระเกศา หรือผมที่มุ่นเป็นมวย แล้วตัดด้วยดาบ เหลือผมไว้ยาวประมาณ 2 นิ้ว เป็นวงกลมเวียนไปทางขวา
รูประหว่างที่เจ้าชายตัดมวยผมออก
เสร็จแล้วทรงเปลื้องพระภูษาทรง(ผ้าที่เจ้าชายใส่)ออก แล้วใส่ผ้ากาสาวพัสตร์(ผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่ม) พร้อมด้วยเครื่องบริขารอย่างอื่นของนักบวช แล้วทรงอธิษฐานเพศเป็นนักบวชที่บนหาดทรายริมฝั่งแม่น้ำอโนมานั่นเอง
ทรงมอบพระภูษาทรง และม้ากัณฐกะให้นายฉันนะนำกลับไปแจ้งข่าวแก่พระราชบิดาให้ทราบ นายฉันนะมีความอาลัยรักองค์ผู้เป็นเจ้านาย ถึงร้องไห้กลิ้งเกลือกแทบพระบาทไม่อยากกลับไป แต่ขัดคำสั่งไม่ได้ เพราะกลัวจะได้รับโทษ
ม้าที่กำลังจะจากพระองค์ น้ำตาไหลอาบหน้า แล้วแลบลิ้นออกเลียฝ่าเท้าของเจ้าชายผู้เคยเป็นเจ้าของ
ทั้งม้าทั้งคนคือนายฉันนะน้ำตาอาบหน้า ข้ามน้ำกลับมา แต่พอลับตาพระมหาบุรุษ ม้ากัณฐกะก็ปวดร้าวใจ จนตรอมใจตาย ความรู้สึกที่ม้ามีให้กับเจ้าชายลึกซึ้งจนไม่อาจสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดได้
รูปซ้ายภาพม้ากัณฐกะถูกจารึกไว้เป็นอนุสรณ์สถานตั้งแต่สมัยพุทธกาล รูปขวาม้ากัณฐกะจำลองซึ่งมีลักษณะสีขาวกีบเท้าน้ำตาลสวยงาม
หลังจากนั้นนายฉันนะปลดเครื่องม้าออก แล้วนำดอกไม้ป่ามาบูชาศพ แล้วก็หอบพระภูษาทรงและเครื่องม้าเดินร้องไห้กลับเมืองคนเดียว
เหตุการณ์หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จออกบวชแล้ว
หลังออกบวชแล้ว 7วัน ได้ฝึกปฏิบัติโยคะ อยู่กับ อาจารย์ ผู้มีชื่อเสียงในทางจิตฌาณและภาวนา คือ อาฬารดาบส ,กาลามโคตรกับอุทกดาบส พระองค์เรียนรู้จนจบความรู้ของพระอาจารย์ ทรงพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์
1
ต่อมาพระองค์ทรงบำเพ็ญตบะ คือการทรมานตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้กิเลสในกายเหือดแห้งไปตามความเชื่อของนักบวชอินเดียในสมัยนั้น เช่น เปลือยกายตากลมตากฝน การนอนบนเหล็กแหลม พระพุทธองค์ได้ทรงปฏิบัติหลายอย่าง แต่ไม่พบทางพ้นทุกข์จึงเปลี่ยนแนวทางใหม่
ต่อมาคือการบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ทุกกรกิริยา เป็นการทรมานตนให้ลำบากด้วยประการต่าง ๆ เช่นการกัดฟันด้วยฟัน และการกดเพดานด้วยลิ้นจนเหงื่อไหล ,การผ่อนลมหายใจเข้าออกทีละน้อยจนกระทั่งหูอื้อปวดศรีษะจุกเสียดท้องร้อนไปทั่วร่างกายเหมือนนั่งในกองไฟ ไปจนถึง ค่อย ๆ อดอาหาร ทีละน้อย ๆ จนไม่เสวยอะไรเลยเป็นเวลานาน จนกระทั่งร่างกายผายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เมื่อเอามือลูบกายเส้นขนก็หลุดออกมา ไปไหนก็ซวนเซเกือบจะสิ้นชีวิต
พระองค์ทรงใช้ความพยายามอย่างสูงแต่ก็ยังไม่ตรัสรู้ จึงคิดว่าคงไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องจึงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยากลับมาเสวยอาหารตามเดิม
บำเพ็ญทุกกรกิริยาโดยการอดอาหาร
ในระหว่างนี้ ปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วัปปะภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ที่ตามมาอุปฐากหรือปรนนิบัติ ตั้งแต่แรกก็เสื่อมศรัทธาเพราะคิดว่า พระพุทธองค์ละความพยายามที่จะหาทางพ้นทุกข์แล้ว ก็หนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
ในวันเพ็ญเดือน6 45ปีก่อน พ.ศ. เป็นวันที่เจ้าชายอายุครบ35ปี
ในวันนั้นก็มีลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง ณ หมู่บ้านเสนานี ใกล้ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม นามว่าสุชาดา ซึ่งได้ปรุงข้าวมธุปายาส เพื่อเป็นอาหารไปแก้บน เพราะสมปราถนาได้บุตรชายในครรภ์แรก
เมื่อได้เห็นเจ้าชายสิทธัตถะ ประทับใต้ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ก็เข้าใจพระองค์เป็นเทพยดาเพราะมีลักษณะงาม นางจึงน้อมข้าวมธุปายาสนั้นเข้าไปถวาย นางได้ถวายทั้งข้าวทั้งถาด หลังจากเจ้าชายทานจนหมด ก็นำถาดไปอธิษฐานแล้วลอยไปในแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อเสี่ยงทายเรื่องที่จะสามารถตรัสรู้ได้หรือไม่
ข้าวมื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อสุดท้ายก่อนที่เจ้าชายจะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากเสร็จภารกิจแล้วก็มุ่งตรงไปที่ต้นโพธิ์อันกว้างใหญ่ต้นหนึ่ง
1
ระหว่างทางก่อนถึงต้นโพธิ์ ได้พบคนตัดหญ้า ชื่อโสตถิยะ(หรือสวัสดิกะ) เกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระองค์ถวายหญ้าคา 8 ฟ่อนเล็กๆ เมื่อทรงรับฟ่อนหญ้าคาแล้ว ก็เอามาปูลาดเป็นที่ประทับนั่งบำเพ็ญเพียรที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพราะที่นี่เป็นทำเลสงบดีกว่าที่อื่นๆ ทรงหันหน้าไปทางตะวันออก คือแม่น้ำเนรัญชรา ซึ่งในสมัยนั้นไม่ค่อยมีบ้านช่อง จึงมองเห็นแม่น้ำได้อย่างถนัด แสงเดือนในคืนวันเพ็ญสาดลงสู่สายน้ำเป็นประกายแวววับ ทำให้เกิดปิติสุขได้อย่างดี
1
ในวันเพ็ญเดือน6นี้เป็นวันสุดท้ายที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ในวันนี้เองที่มนุษธรรมดาคนหนึ่งจะเปลี่ยนเป็นมหาศาสดาโลก
ในตอนหน้าจะกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างกำลังตรัสรู้ และการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการตรัสรู้ให้แพร่กระจายทั่วชมพูทวีปอย่างไร แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีครับ
อ้างอิง
คำภีร์:พระไตรปิฎก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา