6 ต.ค. 2020 เวลา 07:47 • นิยาย เรื่องสั้น
EP 2: ก่อนจะเล่าว่า Brooklyn อยู่ที่ไหน ต้องขอบอกก่อนว่า เมืองนิวยอร์กที่เราเห็นในหนัง ที่มีตึกสูง ๆ นั่นมันแค่ตัวเมือง Manhattan 'แมนแฮตตั้น' ซึ่งเป็นแค่หนึ่งในห้าส่วนของนิวยอร์กเท่านั้น Manhattan เป็นย่านเศรษฐกิจ ย่านคนรวยอยู่อย่างที่เราเห็นในหนังน่ะแหละ ค่าเช่าแพงสลัด! เคยไปห้องเพื่อน กว้างซัก 2x3 เมตร แชร์ห้องน้ำกับอีกสามห้องในชั้นเดียวกัน ราคา $1,000 OMG (Oh My God) เป็นเขตที่ฝรั่งหัวทองนานาชาติเดินกันให้ลึ่ม แต่เดี๋ยวนี้อาตี๋อาหมวย คนจีนก็เข้าไปจับจองแทนที่กันจะหมดแล้ว 555
ย่านที่สองก็คือ Bronx 'บร๊องซ์' มันเป็นย่านที่พวกพี่มืด ๆ รวมตัวกันอยู่ ย่านที่ร้านขายข้าว ร้านขายของชำต้องติดกระจกกันกระสุน? ว่ากันว่าถ้าไม่อยากโดนปล้น อย่าได้ไปแจ๋นแถว ๆ นั้นเชียว ยิ่งเอเชียอย่างเราไปเดินก็ยิ่งโดดเด่น ย่านที่สามก็เรียกว่า Staten Island 'สตาเติน ไอร์แลนด์' ผมเรียกว่าเป็น ย่านบ้านพักคนชรา เพราะมันไกลจาก Manhattan นั่งเรือไปมาทีครึ่งชั่วโมง เหมาะสำหรับคนที่อยากปลีกวิเวก พวกปัจเจกชนที่ไม่มีคนคบ ย่านที่สี่ก็คือ Brooklyn ‘บรู๊คลิน’ หรือย่านศิลปิน ฮิบปี้ ฮิปสเตอร์ ติสแดกทั้งหลายต้องอยู่ย่านนี้ เพราะเต็มไปด้วยงานศิลปะและแรงบันดาลใจ อยู่แล้วคูลอ่ะ เข้าใจม่ะ!
ส่วนย่านสุดท้ายก็คือ Queens 'ควีนส์' หรือย่านกรรมกรผู้ใช้แรงงาน คนต่างด้าวทั้งหลาย ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่า อย่างผมต้องอาศัยอยู่ที่แมนฮัตตั้น ถุ๊ย! จะบร้าเร๊อะ ขายไตสองข้างยังไม่พออยู่เล๊ย อยู่ควีนส์นี่แหละเหมาะสุดแล้ว ซึ่งก็เป็นย่านที่พวกเราคนไทยส่วนใหญ่อาศัยกันอยู่ด้วย สังเกตได้เวลาเดินในควีนส์จะไม่ค่อยเจอหรอกฝรั่งหัวแดงหัวทอง ก็จะเจอแต่พี่โก้ แม๊กซิกัน พี่เจ๊กจีน หรือพี่ใบ๋ อาหรับนั่นแหละ อยู่กันให้ลึ่ม!
ความเดิมตอนที่แล้ว จากที่คุยโทรศัพท์กับพี่ Andy แล้ว ร้านอาหารที่ผมนัดหมายไว้ คือ ร้านครัวข้าวไทยที่อยู่ใน Brooklyn หลังจากกางแผนที่กระดาษ ดูสถานีแล้ว ก็เห็นว่าไกลพอตัวเลยล่ะ แต่ไม่เป็นไร เพราะเราใช้รถไฟฟ้าหรือ Subway เดินทางกันเป็นหลัก ไม่ใช้เน้นขับรถเหมือนอย่างบ้านเรา แต่สำหรับคนขี้หลงทางอย่างผมแล้ว นับว่ามันอธิบายค่อนข้างง่ายนะ คือ เวลานั่งให้ดูป้ายสุดท้ายของสาย ถ้าเขาเขียนว่าไปสุดสายที่ไหน ก็ไปทางนั้นแค่นั้นเอง ไว้ว่าง ๆ จะมาเล่าเพิ่มให้ฟังถึงความอัศจรรย์ของ Subway ที่นิวยอร์กว่ามันเป็นมากกว่ารถไฟ!
นั่ง Subway สาย F ยาวไป ชั่วโมงนึงถึง 7th Ave จาก 74th street Jackson Height
วินาทีแรกที่เห็นร้านก็แอบหวั่นใจขึ้นมา เพราะว่าเป็นร้านที่แอบใหญ่เหมือนกัน ขนาดหกเจ็ดสิบที่นั่งได้ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ภาพไม้แกะสลักเป็นรูปหน้าพระติดตามกำแพง อารมณ์เหมือนบ้านไทยเก่า ๆ โบราณ ๆ ลูกค้าในร้านมีแค่โต๊ะสองโต๊ะ อาจเป็นเพราะช่วงเวลาบ่ายสาม ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เงียบมากที่สุด เพราะว่าเลยช่วงกลางวันที่คนมากินข้าวไปแล้ว และกว่าคนจะถึงเวลากินข้าวเย็นก็ทุ่มสองทุ่มไป ผมแอบยืนอยู่ข้าง ๆ ร้านรวบรวมความกล้า ก่อนจะเปิดประตู เดินเข้าไปในร้าน เจอกับเว๊ท* รุ่นใหญ่อายุน่าจะประมาณสี่สิบปลาย ๆ สองคน เห็นผมเดินเข้ามาก็ทักทายแบบยิ้มแย้มทันที
“ไฮ เทเบิ้ลฟอร์วัน?” เว๊ทผู้ชายใส่แว่นถามผมเป็นภาษาอังกฤษ แต่ด้วยว่าสำเนียงไทยมาก ผมเลยตอบไปว่า
“สวัสดีครับ ผมมาหาพี่ Andy ครับ” ผมยกมือไหว้ทักทายอย่างสุภาพ
“หืม? มาหา Andy มีอะไรล่ะ?” เว๊ทผู้ชายใส่แว่นถามต่อ แต่น้ำเสียงเปลี่ยนโหมด ไม่ยิ้มแย้มล่ะ รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลง นี่มันเกิดอัลไล? ขณะที่ผมกำลังงง ๆ คิดในใจว่า พี่จะเสือกทำไมครับ พี่แว่นก็มี Back up เข้ามาเสริมความแก่ เป็นเว๊ทป้าอีกคนนึง
“สงสัยมาสมัครงาน จะเป็นเว๊ท? เคยทำงานมาก่อนหรือเปล่า?” เว๊ทป้าถาม หน้าตาบอกบุญไม่ค่อยจะรับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นนางเอกละครหลังข่าว ที่ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าตัวร้าย สภาพเหมือนลูกแกะตัวน้อย ๆ ไร้เดียงสาที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของฝูงหมาป่าไฮยีน่าแก่ ๆ เหมือนกับประชาชนที่ตกอยู่ในอุ้งมือของรัฐบาล เฮ๊ย! แต่ขณะที่ผมกำลังจะโดนขย้ำอยู่นั้นเองก็มีเสียงสวรรค์หวานไพเราะมาจากด้านข้าง
“แต๋น! ปล่อยน้องมันไปเหอะ เห็นน้องมันหล่อหน่อยนี่ไม่ได้เลยนะ อย่าไปอิจฉาน้องมันเลย” พี่เขาพูดอย่างนี้จริงๆ นะ สาบาน 555 เสียงของผู้หญิงรุ่นใหญ่วัยกลางคน แว่วออกมาจากบริเวณหลัง Counter ก่อนที่เจ้าของเสียงจะยืนขึ้น เปิดเผยตัวผม เผยให้เห็นว่าเป็นคุณน้าสาวคนนึง อายุน่าจะประมาณสี่สิบต้น ๆ แกเรียกผมให้เข้าไปใกล้ ๆ อย่างเอ็นดู
“น้องมาสมัครงานใช่มั๊ย Andy เค้าอยู่หลังบ้านน่ะ ในออฟฟิส เดินเข้าไปทางนั้นได้เลย” น้าสาวบอกผม ก่อนจะหันกลับไปมองสองพนักงานรุ่นลายครามแล้วพูดว่า
“ไม่ต้องไปสนใจพวกเว๊ทแก่ ๆ พวกนี้นักหรอก ทำงานก็ใช่ว่าจะดี พูดอังกฤษก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เห็นเด็กใหม่มาก็ต้องรีบข่ม สงสัยคงกลัวตกงาน” น้าสาวรุ่นใหญ่เสริม ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้ผมเข้าไปข้างในก่อน อยู่แถวนี้เดี๋ยวมีนิทรรศการเตะหมาโชว์ อารมณ์เหมือนกับนางเอกแก่นเซี้ยวโผล่มายิงหนังสติ๊กใส่หัวตัวร้าย ในละครหลังข่าวยังไงหยั่งงั้นเลยเชียว ผมจึงรีบฉีกตัว หลบฉากเข้าไปข้างในแต่โดยดี
ทางเดินเข้าหลังร้านค่อนข้างแคบ กว้างสักเมตรครึ่ง มีพวกลังกระดาษ ลังโซดาวางริมกำแพงทางเดินจนแทบจะต้องแทรกตัวเดิน ต่างจากข้างนอกบริเวณส่วนกินข้าวที่ดูกว้างและสะอาดกว่ามาก ผมเข้าไปถึงด้านในสุดก็เจอห้องทำงาน เคาะประตูห้องแล้วก็ค่อย ๆ แง้มประตูออกช้า ๆ ทันที่ที่เปิดประตูเข้าไป ก็เห็นว่าห้องนี้มีขนาดเล็กประมาณสี่คูณสี่เมตรเท่านั้นเอง กำแพงสีแดงเข้มสดทั่วทั้งสี่ด้านที่ใครเห็นก็น่าจะรู้สึกร้อนทันที มีรูปในหลวงกับพระราชินีแขวนอยู่ตรงกลางห้อง กับหิ้งพระที่วางอยู่บนตู้เย็น ทางซ้ายมือด้านหลังห้องมีประตูไม้บานนึง ตรงมุมห้องอีกฝั่งมีโต๊ะกับเอกสารกองเป็นภูเขาย่อม ๆ พี่คนนึงกำลังเก็บกวาดเอกสารเหล่านั้น เดาได้ว่าน่าจะเป็น พี่ Andy
“นั่งลงก่อนนะ” พี่แอนดี้ชวนผมนั่ง ก่อนจะกลับไปเปิดเอกสารหน้านี้หน้าโน้นดูอีกพักนึง ผ่านไปสักแป๊ปนึงแกก็ถามว่า
“น้องชื่ออะไร มาสมัครตำแหน่งอะไรล่ะ” พี่แอนดี้ถาม
“ผมชื่ออ็อตโต้ครับ สมัครเป็นเว๊ทหรือตำแหน่งอะไรก็ได้ครับ” ผมตอบพี่แอนดี้ปากเปล่าไป มานั่งคิดดูก็แปลกใจว่าเดี๋ยวนี้เวลาไปสมัครงาน เราจะมี Resume ติดตัวไปด้วยทุกครั้งนะ แต่ตอนนั้นเนี่ยมีแต่ตัวจริงจริง ไม่รู้ต๋งรู้ตี๋อะไรเล๊ย ว่าจะไปสมัครงานก็ควรติด Resume ไปด้วยนะ
“น้องเคยมีทำงานที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า” พี่แอนดี้ถาม สายตายังไม่ได้ล่ะทิ้งจากพวกเอกสารในมือ
“ไม่เคยครับ ผมเพิ่งมาได้สัปดาห์นิด ๆ ครับ” ผมตอบ
“อ้าวเหรอ พี่ก็นึกว่าน้องมีประสบการณ์การทำร้านอาหารเสียอีก อืม...” พี่แอนดี้วางมือจากเอกสารแล้วเงยหน้ามามองผมแบบเต็ม ๆ อารมณ์กดดันมาก ๆ พี่แอนดี้พูดต่อ
“พี่อยากได้คนที่มีประสบการณ์มาทำงานที่ร้านเสียด้วยซิ” พี่แอนดี้พูด แบบนี้ผมเองก็เงิบซิครับ ผมรู้สึกได้ว่าความหวังในการได้งานมันชักจะดูน้อยลงไปซะแล้ว นึกคำพูดต่อไปไม่ออก ไม่รู้ว่าควรไปทางไหนดี แต่ถ้าอยู่เฉย ๆ เงียบ ๆ แบบนี้ เดี๋ยวแกคงไล่ผมกลับบ้านแหง ๆ ผมคิดได้เพียงว่า ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วแบบนี้ ก่อนจะเอ่ยปากว่า
“พี่ครับ ผมอาจจะยังใหม่ เพิ่งมา แต่ผมเรียนรู้เร็วนะครับ” ผมพยายามเชียร์ตัวเอง แม้ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี จะให้บอกว่า 'ก็ถ้าพี่ไม่ให้ผมทำ แล้วเมื่อไหร่ผมจะมีประสบการณ์ละคร๊าบ' ก็ได้แต่คิดในใจ แล้วในขณะที่ผมกำลังสิ้นหวัง นั่งหน้าบื้อเป็นหมาเศร้า ที่รอเศษกระดูกจิ้งจกว่าจะถูกทิ้งมาให้แทะไหม ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงรุ่นใหญ่คนนึง
“ก็ลองให้น้องเขาทำเป็นแคชเชียร์ไหมล่ะ ช่วยพี่รัตน์ได้นี่ แคชเชียร์คนเดียวไม่ไหวหรอก จ็อดก็ออกไปแล้วด้วย เมื่อวานแกก็บ่นกับแม่ว่าเหนื่อย ไม่มีวันหยุดเลย” เสียงของผู้หญิงรุ่นใหญ่คนนี้ คือ เจ๊โอ๋ ซึ่งเป็นแม่ของพี่แอนดี้นี่เอง แหม่ มันช่างเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดที่ผมได้ยินตั้งแต่มาที่นิวยอร์กเลยล่ะ เมื่อคนเป็นแม่บอก มีหรือที่คนเป็นลูกจะไม่ทำตามล่ะ พี่แอนดี้ก็หันหน้ามามองผม
“รับโทรศัพท์ได้นะน้อง” พี่แอนดี้ถาม
“รับได้ครับ โยนมาได้เลยพี่ สองเครื่องพร้อมกันก็ยังได้เลยครับ แหะ ๆ” ผมตอบแกมตลก ๆ แต่พี่แอนดี้ดูแกไม่ค่อยจะขำเท่าไหร่ เพราะแกทำหน้าเข้ม จนผมต้องระงับอาการลิงโลดเอาไว้ก่อน
“งั้นพรุ่งนี้น้องก็มาเทรนกับพี่รัตน์แล้วกันนะ เข้างานสี่โมงเย็นถึงห้าทุ่ม พี่รัตน์เขาเป็นแคชเชียร์” พี่แอนดี้พูด ก่อนที่จะปรายตาบอกผมเป็นนัยว่า กูรับมึงเข้าทำงานแล้ว ตอนนี้จะไปไหนก็ไป กูกำลังยุ่ง ผมรีบขอบคุณพี่แอนดี้ กับคุณน้าโอ๋ ตอนหลังแกบอกให้เรียกว่าเจ๊โอ๋ เรียกน้าเดี๋ยวตบปากแตก ผมก็โอเคอยู่แล้ว ให้เรียกน้องโอ๋ยังได้เล๊ย 555
ในที่สุดผมก็ได้งานแรก เป็นแคชเชียร์ ได้เงินวันล่ะห้าสิบบาท** มีข้าวให้กิน 2 มื้อ ตอนเข้างานและตอนออกงาน เจ๊โอ๋แนะนำผมให้กับพี่รัตน์ ซึ่งแกก็คือ คนที่ช่วยผมจากเว๊ทแก่ ๆ ทั้งสองนี่เองแหละ หยั่งกะในนิยายเลยใช่ม่ะ 555 ผมฝากเนื้อฝากตัวเสร็จ พี่รัตน์บอกไว้เจอกันพรุ่งนี้ ผมเดินออกจากร้าน ถอนหายใจคำโต ๆ รู้สึกโล่งใจ หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ผมเหยียบแผ่นดินอเมริกา จากที่กำตังที่เหลืออยู่ในมือที่มีประมาณ 600 บาท ผมก็หางานทำได้ มีข้าวกิน ไม่อดตายแล้วโว๊ย! นี่คงเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนสอบเอ็นต์ติดซินะ และนั่นล่ะครับ ก้าวแรกสู่รั้วมหาวิทยาลัยร้านอาหารของผม เดี๋ยวมาต่อตอนต่อไปกันนะ
*เว๊ท: มาจาก Waiter, หรือ Waitress* ฝรั่งเรียก Server แต่เราคนไทยก็เรียกแบบที่บ้านเราเรียก
**ที่นิวยอร์กคนไทยเราเรียกสกุลเงินดอลล่าห์เป็นบาทเหมือนบ้านเรา**
ติดตาม เอ็น.วาย.กู. เรื่องราวของมนุษย์ห้องครัวคนไทย ในมหานครนิวยอร์กได้ที่
#เอ็นวายกู #nyku #newyorkkitchenuniversity #คนไทยในอเมริกา #คนไทยในนิวยอร์ก #มหาลัยห้องครัว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา