28 ก.ย. 2020 เวลา 22:50 • ปรัชญา
๒๕. ตะวันออก – ตะวันตก
“คุณรู้สึกอย่างไรต่อธรรมชาติ” ถูกถามเช่นนี้เราอาจตอบว่าธรรมชาติเป็นสิ่งที่เราจัดการได้ เอาอย่างไรก็ได้เราจัดการกับธรรมชาติได้ ทั้งนี้เพราะเราคิดแบบตะวันตกโน้มเอียงไปในทางควบคุมธรรมชาติ
แต่ถ้าทางตะวันออกนะ ธรรมชาติเป็นอะไรบางอย่างซึ่งน่ากลัว
เต๋าเป็นสิ่งลี้ลับ ธรรมเป็นสิ่งต้องสังวรระวัง
เราไม่รู้ว่าเราพูดได้อย่างไร หัวใจเราเต้นได้อย่างไร เรามาจากไหนไปไหน ดูต้นมะม่วงต้นมะพลับมันถ่ายพันธุกรรมได้อย่างไร
แม้แต่ชาร์ล ดาร์วินเองก็อธิบายไว้ไม่ชัดเจนนัก เขาสรุปว่า “ดูเหมือนว่าธรรมชาติมีชีวิตของเขาเอง”
คำกล่าวเช่นนี้ถ้ามองในแง่วิทยาศาสตร์ก็ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ หากแต่เป็นศาสนา
ชาร์ล ดาร์วินเดินทางรอบโลกและก็พบความฉงนฉงายหลายเรื่อง ในที่สุดแล้ว ๆ เล่า ๆ ก็พบว่าหลายเรื่องที่เขาเข้าใจไม่ได้ จึงสรุปไว้ในประโยคว่า “ดูเหมือนว่าธรรมชาติมีชีวิตของเขาเอง” คือไม่ได้อยู่ในอำนาจของมนุษย์เลย
มนุษย์เราไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการเรียนรู้และยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ไม่รู้สิ้นสุดของธรรมชาติ
ในโลกของ Concept อะไรต่าง ๆ ที่เรารับรู้และคิดขึ้นนั้น มันก็กลับกลายเป็นโลกของเราอยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่ว่าแต่ละคนมีโลกของตัวเอง
เมื่อหันไปมองอะไรที่เราจะวาด ผู้มองจะเป็นปัญหาของการมอง เพราะว่าผู้มองนั้นเป็นการสะสมประสบการณ์ในอดีต
เราเรียนงานปิกัสโซ่มาเราเคยรู้นั่น เราเคยรู้นี่ รวมไปถึงความคิดรวบยอดที่ว่าเราคือเรา เราคือใครคนหนึ่ง และใครคนหนึ่งที่กำลังเพ่งมองสิ่งที่จะวาด ดังนั้นโลกธรรมดานี้ก็พลันปรากฏตามพื้นเพของผู้มอง ไม่ปรากฏตามที่มันเป็นจริง
จุดนี้สำคัญมาก สมมุติว่าผมจะไปที่แห่งหนึ่ง จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น มีคนคนหนึ่งเขานำทางผมไป ในขณะที่ผมนั่งอยู่เขาลุกขึ้นอธิบายความงามของพระอาทิตย์ อธิบายมาก สิ่งที่ผมได้รับคือคำพูดอันมากมายของเขา ผมไม่มีโอกาสเป็นตัวของตัวเองที่จะดูพระอาทิตย์เลยเพราะคำพูดของเขานั่นเอง
ดังนั้นในขณะที่ผมดูพระอาทิตย์และหูฟังอธิบายนั้น การเห็นนั้นเป็นการขัดแย้งกับการฟัง คือผมคิดตามคำพูดไปเท่านั้น
แต่ถ้าเจอผู้นำทางที่ดี เขาไม่พูดอะไรเลย เขาบอกว่าคุณนั่งตรงนี้นะ อย่าง่วงนะ เพราะมุมนี้เป็นมุมเท่าที่ผมรู้ว่าจะเป็นมุมที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้กว้างที่สุด แล้วอะไรที่จะเห็นคุณจงเห็นมันด้วยตัวคุณเอง
คน ๆ นั้นเป็นคนนำทางที่ดีเพราะว่าเขาไม่เป็นอุปสรรคต่อผม
ฉันใดก็ฉันนั้น จนกว่าวันหนึ่งเรากล้าที่จะสลัดหลุดออกไป และวันที่กล้าสลัดก็คือเราต้องไม่ใช่เราอีกแล้ว คือความจำในอดีตของอัตตาตัวตนต้องหักสะบั้นลง ความยึดติดในตัวตนพังทลายลง
แล้วเราก็มีชีวิตอยู่ตรงนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้เท่านั้น
ตรงนี้เองที่ผมว่าสำคัญกับการวาดรูปมาก เพราะที่นี่ เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ ที่สติของเราตั้งอยู่บนฐานของร่างกายของความรู้สึกตัวของอารมณ์ที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าสติปัฏฐาน
อันเนื่องกับทางไท (พุทธิปัญญาสู่งานศิลป์ มรดกของแผ่นดินไทย ที่คนไทยทุกคนควรรู้)
บรรยายพิเศษแก่นักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะมัณฑนศิลป์ พ.ศ. ๒๕๓๒
โฆษณา