11 ต.ค. 2020 เวลา 13:44
#จันทร์เจ้าขาบทที่4ตอนที่13,
(11/10/2020)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
คืนวันอาทิตย์นี้ ขอส่งตอนใหม่ ให้เพื่อนๆได้อ่านเพลิดเพลินก่อนนอนกันนะครับ 😇❤️💙💚🎶🎵
สุขสันต์วันอาทิตย์ครับ
..
..
บทที่ 4 ขจรมาลา
ตอนที่ 12 ดารารัศมี(4)
#ณ.โลกวิญญาณไม่ไกลจากประตูบริเวณป่าช้าเก่าเวียงกุมกามเมืองเชียงใหม่อำเภอยางเนิ้ง(อ.สารภี)
“ฆฤณ ขอขอบคุณที่หม่องบองตอบคำถามฆฤณในเรื่องเมาอูมี่น และมะตีฮะ นะเจ้าคะ..
ขอพระวัยทัตทรงโปรดช่วยนำภาพความทรงจำของหม่องบองตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะพบเจ้าอุบลวรรณา และขอทรงประทานกำลังให้เจ้าอุบลวรรณาฟื้นคืนสติ ด้วยเถิดนะเจ้าคะ..”
คุณหนูฆฤณกล่าวอย่างสุภาพ แล้วจึงนั่งลงทำสีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนที่จะจ้องในนิมิตความทรงจำของผีหม่องบองอีกครั้ง..
เจ้าอุบลวรรณาจึงค่อยๆฟื้นคืนสติ ..อยู่ในการประคองขององค์แม่..
ภาพความทรงจำที่ปรากฏเป็นภาพของหม่องบองในคืนสุดท้ายของเพศบรรพชิต ก่อนที่จะสึกออกไปสู่ขอ มะซานดา ในวันรุ่งขึ้น (พระจันทร์งาม)
“อย่างนี้เค้าเรียกว่า บวชก่อนเบียดเนอะขอรับ..”
คุณหมอชอว์ใช้ศอกกระทุ้งขาทหารยักษ์ที่ยืนคุ้มกัน แล้วยิ้มยักคิ้วข้างเดียวให้อย่างมีสไตล์ของนักเรียนอังกฤษ..
“..เห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นเจ้างั้นรึ คนธรรพ์..
อยากจะโดนข้ากินมากนัก ใช่มั้ย..กร้วมๆ ...แฮร่!!”
ยักษ์รากษส ยิ้มแยกเขี้ยวใส่ จ้องคุณหมอชอว์แล้วทำน้ำลายไหลยืดหยดลงข้างๆไหล่คุณหมอชอว์..
คุณหมอชอว์สะดุ้ง รีบก้าวถอยหลังไปยืนอยู่ด้านหลังคุณหลวง แล้วจึงแกล้งชี้ให้คุณหลวงมองไปที่ยักษ์ตนนั้น ..
จนยักษ์ตนนั้นสะดุ้งสุดตัว แล้วหันกลับไปทำหน้านิ่งราวรูปปั้นเช่นเดิม..
“ยักษ์ หรือ ลิงเอาให้แน่ เถิดพ่อคู้น ฮะฮะฮ่า..”
คุณหมอชอว์หัวเราะอย่างสะใจ จนคุณหลวงต้องส่งเสียงเหมือนปรามเด็กแก่น ให้สงบและตั้งสติมองภาพความทรงจำของผีหม่องบองเบื้องหน้า..
ภาพความทรงจำในคืนนั้น..เป็นช่วงเวลาแห่งเพชรฆาตฤกษ์..
พระมอญผู้เป็นอาจารย์ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชา ถอดดวงใจ ซึ่งเป็นมนต์สัญชีวนีขั้นสูง..ให้กับหม่องบอง
และถ่ายทอดเคล็ดโองการหมอกมุงเมือง (วิชามนต์บังเมือง) มนต์ชั้นกลาง ร่วมกับยันต์ขั้นสูงให้กับศิษย์ผู้น้องสมิงไพรหนุ่ม..
จากนั้น พระมอญจึงได้กล่าวถึงความเสื่อมอันจะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบพิธีนี้คือ หากตัดสินใจกระทำเคล็ดถอดดวงใจ..
แต่กลับยังยึดติดอาลัยห่วงต่อร่างใดร่างหนึ่ง..ความเสื่อมของคงกระพันชาตรีจะเสื่อมลง และหากสิ้นชีวิตลง
ดวงจิตจะหลงทางติดอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด..
พระอาจารย์มอญองค์นั้นจ้องหน้าพระหม่องบองลูกศิษย์รัก.. แล้วพูดว่า..”เจ้าถูกลิขิตมาให้เกิดเป็นยอดแม่ทัพ..แต่เมื่อเจ้าเลือกกระทำพิธีนี้แล้ว เจ้าจะสำเร็จทุกสิ่งที่เจ้าประสงค์ ..
แต่ในที่สุดแล้วเจ้าจะต้องแลกด้วยการสูญเสียอย่างหาที่เปรียบไม่ได้..”
พระมอญ ชะงักคำพูดบางอย่างนิ่งค้างไว้..คล้ายมิอาจพูดต่อได้...
แล้วจึงหันกลับไปสอนเตือน สมิงไพรหนุ่ม ว่า..
ส่วนผู้ประกอบพิธีร่ายโองการหมอกมุงเมือง หากกระทำการผิดคำสาบานใดๆ.. เมืองที่ถูกบดบังนั้น จะติดอยู่ในมิติระหว่างโลกมนุษย์ และโลกวิญญาณตลอดไป ..ส่วนอายุขัยของคนที่ติดในเมืองนั้นจะมีอายุขัย เหมือนเทวดาชั้นฉกามาพจร ..ดังนั้น หากมิใช่เหตุจำเป็นอันร้ายแรง.. จงอย่าร่ายโองการนี้ เด็ดขาด..
..
..
ภาพความทรงจำได้เลื่อนไหลจนข้ามมาสู่ในงานปอยหลวงอันน่าสลด (13-18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2422).. เมื่อพระเจ้ามินดง ทรงสวรรคต และได้เกิดเหตุการณ์ปลงพระชนม์หมู่พระราชวงศ์พม่า อันวิปริตผิดธรรมเนียม มีผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายมากกว่า 500 ชีวิตในช่วง 3 วัน.. ซึ่งบงการโดยพระนางสิ่งผยูมะฉิ่งหรือพระนางอเลนันดอ พระมเหสีตำหนักกลางในพระเจ้ามินดง ร่วมกับเสนาบดีในสภาลุตอที่เป็นพันธมิตรของพระนาง ได้แก่ กินหวุ่นมิงจี้และแตงดาหวุ่นจี้..
ในเวลานั้น หม่องบอง หรือโบตูระ (แม่ทัพผู้กล้าหาญ) อดีตทหารเอกของพระเจ้ามินดง ในสังกัดเสนาบดีกินหวุ่นมิงจี้ กลับไม่เห็นด้วยกับแผนการอำมหิตของผู้เป็นนาย จึงได้เข้าช่วยเหลือเชื้อพระวงศ์ที่ยังทรงพระเยาว์ของรัชทายาทโถนเซ่ (Thonze) อุปราชแห่งชเวโบ หรืออีกชื่อหนึ่งมุโซ่โบ (မုဆိုးဘို; "หัวหน้านายพราน") และผู้ติดตามส่วนหนึ่ง ..ให้หนีออกจากพระราชวังรอดได้อย่างหวุดหวิด..
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงระหว่างเขตรัฐฉาน..บรรดาเหล่าเพชรฆาตนักรบรับจ้างของพระนางอเลนันดอโดยการจัดหาของอังกฤษ..ได้ติดตามไล่ล่ากระชั้นชิด.. จนมะซานดาภรรยาของหม่องบองและเหล่าทหารหญิง เลือกที่จะสละชีวิตปกป้องคณะเหล่ารัชทายาทตัวน้อย..
“มะซานดาขอกราบลาท่านพี่ ..ณ.ที่แห่งนี้
หากเราทั้งหมดเข้ารบด้วยกันกับศัตรูในครั้งนี้..เกรงว่า จะพากันล้มหาย ตายวิบัติ กันเสียทั้งหมด..
มะซานดา และเหล่าทหารหญิงขอใช้ชีวิต ในการสู้ถ่วงเวลาให้ท่านพี่และคณะได้ล่วงหน้าไปก่อน..
..ขอท่านพี่จงกระทำการนี้ให้สำเร็จ..เถิดนะเจ้าคะ..
มะซานดาขอฝากลูกทั้งสองกับท่านพี่..
และหากแม้น.. มะซานดาได้เกิดในภพชาติใดอีก ในภายหน้า..มะซานดาขอเกิดมารักและรับใช้ท่านพี่ เฉกเช่นในชาตินี้ และตลอดไปนะเจ้าคะ”
มะซานดา (จันทร์งาม) ได้ก้มกราบแทบเท้าสามีเป็นครั้งสุดท้าย..แล้วใช้เส้นผมเช็ดน้ำตาและปัดคลุมเท้านั้นอีกครั้ง..
ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและนำเหล่าทหารหญิงเข้าสู่สนามรบ..แห่งความตาย
..
..
ภาพความทรงจำต่อมา คือภาพของสมิงไพรหนุ่มและกลุ่มทหาร ได้ติดตามมาสมทบช่วยเหลือหม่องบองศิษย์ผู้พี่..
และได้พาเหล่ารัชทายาทตลอดจนผู้ติดตาม เข้าในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เคยเป็นเมืองเก่าในอาณาจักรโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ บริเวณ ตะเข็บรอยต่อของรัฐฉานกับสยาม..
จากนั้นจึงฝังยันต์มุงเมืองสี่มุม แล้วสมิงไพรหนุ่มได้ร่ายโองการมนต์หมอกมุงเมืองปิดผนึกบดบังไว้..โดยใช้ดาบวิเศษของตนปักตรึงไว้..
..
..
ภาพความทรงจำต่อๆมา เป็นภาพที่หม่องบองได้มาอาศัยทำงานที่ปางไม้ของเจ้าเมืองเชียงใหม่ อย่างสงบสุขพร้อมกับฝากลูกชายให้ได้เล่าเรียนกับเหล่ามิชชั่นนารี..
..
..
และที่ปางไม้นั้นเอง หม่องบองได้ทราบข่าวของรัฐบาลอังกฤษเข้าบีบคั้นราชสำนักพม่า เป็นระยะๆ..
รวมถึงทราบแผนการเสี้ยมให้เกิดความคลางแคลงใจ และความแตกแยกกันของเจ้าทิพย์เกสร กับเจ้าอุบลวรรณา โดยใช้พ่อค้าพม่าที่เป็นทั้งสายลับและเจ้าหน้าที่อังกฤษ ที่ถูกส่งให้มาเป็นคู่รักและหลอกล่อให้เจ้าอุบลวรรณา ไขว้เขว..สับสนและโกรธเคือง ต่อการกีดกันความรักในทุกๆครั้งของเจ้าอุบลวรรณา จากเจ้าทิพย์เกสร..
จนในคืนหนึ่ง หม่องบองได้พบกับเจ้าอุบลวรรณาขณะถูกประทับร่างและร่ายรำกลางแสงจันทร์ อย่างไม่ได้สติ เป็นที่หวาดกลัวของบ่าวผู้ติดตามและเหล่าคนงานชาวขมุ..
จนเมื่อองค์ประทับออก.. เจ้าอุบลวรรณาก็สะลึมสะลือไม่ได้สติ ..ทั้งบ่าวผู้หญิง รวมถึงคนงานชาวขมุ ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาแตะตัว และพาเจ้าอุบลวรรณากลับเรือนใหญ่..
มีเพียงหม่องบองที่กล้าเดินเข้ามาอุ้มเจ้าอุบลวรรณาขึ้นบนม้าฟ้าศึกของตน และเดินจูงม้านั้นไปส่ง โดยไม่เกรงกลัวต่ออาญาใดๆ..
จากคืนนั้น หม่องบองก็ได้กลายมาเป็นผู้อารักขาเจ้าอุบลวรรณาในทุกๆครั้งที่มายังปางไม้..
ความสุภาพ ซื่อสัตย์และเจียมตัว ของหม่องบอง
จึงทำให้เจ้าอุบลวรรณาได้เล่าระบาย ในความรู้สึกต่างๆที่เก็บไว้ กับหม่องบอง
จากวันเป็นเดือน จากหนึ่งเดือนเป็นหลายๆเดือน ในบทสนทนา และ ความสัมพันธ์แห่งความเชื่อใจของเจ้าอุบลวรรณาที่มีต่อหม่องบอง รวมถึงความเข้มแข็ง แต่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นของอดีตนายทหารพม่า..ของพระเจ้ามินดง
จึงทำให้เจ้าอุบลวรรณาได้รู้จักกับความรักที่ไม่ได้วางอยู่บนผลประโยชน์ เป็นครั้งแรก..
..
..
ภาพช่วงท้ายแห่งการเปลี่ยนแปลง ..เริ่มขึ้นในภาพความทรงจำ เมื่อหม่องบองควงดาบคู่บุกเข้าทำลายพิธีทำสเน่ห์ของหมอผีหม่องวินที่มุ่งกระทำต่อเจ้าอุบลวรรณา และยึดเอาหม้ออาคมที่บรรจุวิญญาณผีเจ้าน้อยพรหมไว้กับตน..
..
..
ต่อมาภาพความทรงจำได้ปรากฏ ภาพหม่องบองเปิดผนึกส่งสัญชีวนีมนตราเข้าสู่สร้อยคอของมะซานดาที่คล้องอยู่กับเมาอู่มี่นบุตรชาย เพื่อรักษาชีวิตบุตรชายให้มีความคงกระพันชาตรี..ขณะที่ถูกล้อมจับโดยหมอผีหม่องวิน หนานปัญญา และเจ้าหน้าที่อังกฤษ..
และภาพที่วูบฉายในความทรงจำสุดท้าย คือ หม่องบองถูกตรึงร่างนอนหงาย ให้หมอผีหม่องวินสลักมนต์คาถาสะกดวิญญาณบนร่าง
ในขณะที่หนานปัญญาใช้คมมีดเฉือนที่ไหล่สร้างรอยแผลฉกรรจ์แบบเดียวกับเจ้าน้อยพรหม.. หนานปัญญาก็หยิบดาบเล่มนั้นยกขึ้นมาจะฟันสับลงที่คอของหม่องบอง..เสี้ยววินาทีนั้น..หม่องบองจ้องมองทุกคนในห้องเพื่อจดจำลักษณะโดยละเอียด..ก่อนที่ภาพสุดท้ายจะวูบดับมืดไป..
..
..
บรรยากาศ ณ.ลานพิพากษาในเวลานี้ ..สงบนิ่งเงียบ และเปี่ยมด้วยความรู้สึกนับถือต่อความเป็นสุภาพบุรุษ ในความเสียสละ และความเด็ดเดี่ยวตลอดชีวิตของหม่องบอง..
เจ้าอุบลวรรณหลับตาลง ร้องสะอื้นเบาๆ..
“พระวัยทัตเจ้าคะ ฆฤณขอดูภาพความทรงจำภายหลังการถูกควบคุมโดยหมอผีหม่องวิน จนถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งสุดท้ายด้วยเถิดเจ้าค่ะ..”
คุณหนูฆฤณเอ่ยแทรกทำลายความเงียบนั้น.. พร้อมกับพระวันทัตพยักหน้ารับทราบและวาดไม้เท้าจตุรอาชา ขึ้นอีกครั้ง..
“ฆฤณขอถาม หม่องบองอีกครั้งนะเจ้าคะ..
ตามที่หม่องบองบอกฆฤณว่า ในเหตุร้าย13 ครั้งนั้น
10 ครั้งคือ การถูกบังคับ และอีกสามครั้งสุดท้ายนั้น คือ การกลับมาแก้ไขสิ่งต่างๆ..
โดยเหตุการณ์ในเหตุเพลิงไหม้ และช่วยเหลือเมาอูมี่น
..รวมถึงการฆาตกรรมหมอผีหม่องวิน เจ้าหน้าที่อังกฤษ และชาวพม่าอีกคนนั้น ..ฆฤณพอจะเข้าใจนะเจ้าคะ.. แต่การที่หม่องบองไปก่อเหตุอัคคีมรกตที่บ้านของเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันในเหตุการณ์สุดท้าย..
ฆฤณไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าค่ะ..โปรดช่วยตอบฆฤณด้วยเถิดเจ้าค่ะ.. ว่าทำไปเพื่ออะไรนะเจ้าคะ..??”
..
..
หม่องบองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และหันไปมองเจ้าอุบลวรรณา.. แล้วจึงเอ่ยตอบเบาๆ ว่า..
“ในคืนนั้น มีคนจากในเวียงมาบอกหม่องบองว่า เจ้าอุบลวรรณาประสงค์ให้เปลี่ยนสถานที่ และขอให้หม่องบองนำหม้ออาคมนั้นมาคืนด้วย..
โดยความสัตย์จริง ..หม่องบองจึงได้พาเมาอู่มี่นมาเพื่อจะให้พบกับเจ้าอุบลวรรณาของหม่องบอง และพร้อมที่จะเล่าความจริงทุกอย่าง..จากนั้น หม่องบองจะชวนเจ้าอุบลวรรณาหนีไปอยู่ด้วยกัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก..ใช้ชีวิตบั้นปลายกันที่เมืองลับแลที่ได้ถูกปิดผนึกมุงเมืองไว้แล้ว..
หม่องบองไม่อยากให้อังกฤษเข้ามาบีบคั้น หลอกลวงเจ้าอุบลวรรณาได้อีกต่อไป..
เพราะในไม่ช้า พม่าก็จะเสียดินแดนให้กับอังกฤษ.. สยามและล้านนา ก็คงจะไม่พ้นตกเป็นเมืองขึ้นเช่นเดียวกัน..
ส่วนเหตุการณ์สุดท้ายนั้น เจ้าหน้าที่อังกฤษและหมอผีหม่องวิน .. ได้มารอสังหารเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันและหนานคำปอง เพื่อจะโยนความผิดนี้ ให้กับเจ้าเมืองเชียงใหม่ และใช้เป็นข้อกล่าวหาให้เกิดความขัดแย้ง ต่อไปน่ะขอรับ..
และในขณะเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่อังกฤษได้ส่งสายลับชาวพม่าเข้าไปรื้อค้นเอกสารและหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันเก็บไว้.. หม่องบองจึงเข้าไปทำลายแผนร้ายนั้นเสีย..
ส่วนเอกสารสำคัญที่คัดย่อ เจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันได้เก็บไว้ในปลอกคอสุนัขตัวโปรด..ซึ่งในขณะนี้ สุนัขตัวนี้ เมาอูมี่น ได้รับตัวไปดูแลเป็นอย่างดีแล้วขอรับ..”
..
..
#ณ.เพิงไม้ของแม่มดจ่ายในป่าช้าวัดสังข์กระจาย
“แม่จ่าย..แม่จ่าย ขอรับ”
คุณไกรสร เอ่ยเรียกหาแม่มดจ่าย..
“นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ พ่อไกรสร..”
แม่มดจ่ายปรากฏตัวอย่างลึกลับ อยู่ด้านหลังคุณไกรสร..พลางเอ่ยถามและจ้องมองถุงบนไหล่คุณไกรสร อย่างสงสัย..
“กระผมขอพาคุณหนูน้อยซ์ไปกับเรา ได้หรือไม่ขอรับ แม่จ่าย..
คุณหนูน้อยซ์ ฉลาดปฏิภาณ ไหวพริบดี มีวิชาติดตัว .. เสียแต่เพียงชอบทานของหวานมากสักนิด กับระแคะระคาย..รู้เรื่องของเราบ้างแล้วนะขอรับ..”
คุณไกรสรพยายามพูดโน้มน้าว แม่มดจ่าย อย่างเต็มที่..
“ถ้านังหนูคนนี้กินเปลือง และรู้เรื่องของเรา..แล้วทำไม พ่อถึงไม่ฆ่าทิ้งซะเลย ล่ะพ่อ..”
แม่มดจ่ายเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงยะเยียบเย็น..
..
..
“ไม่ได้นะขอรับ คุณหนูน้อยซ์เป็นเพื่อนของกระผมตั้งแต่เรือนครูช้อย.. ฆ่าทิ้งไม่ได้นะขอรับ..กระผมขอเลยนะขอรับ”
คุณไกรสรระล่ำระลัก ร้องห้ามแม่มดจ่ายเสียงหลง..
“ตามใจพ่อแล้วกัน.. แต่พ่อไกรสรก็อย่าให้นังเด็กนี่ ร้องเสียงดังรบกวนระหว่างที่ข้ากำลังเก็บข้าวของย้ายหนีจากที่นี่แล้วกัน..
มีเสียงร้องเมื่อไหร่ ข้าจะให้ฆ่าทิ้งเสียทันที.. เข้าใจชัดเจนนะพ่อไกรสร..”
แม่มดจ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเอาจริง โดยไม่หันหน้ากลับมามอง..
ในขณะที่คุณไกรสรค่อยๆวางถุงลง และบรรจงแกะถุงออก อย่างปราณีต
ใบหน้างามคมสัน หลับตานิ่งพริ้ม..สะกดให้คุณไกรสรไม่อาจละสายตาจากใบหน้างามเด็ดเดี่ยวนั้นได้..
จนกระทั่งคุณไกรสรเหลือบไปเห็นหัวปูดโนของคุณหนูน้อยซ์..เท่าลูกมะนาวย่อมๆอันเป็นผลมาจากการฟาดด้วยไม้เท้า..
คุณไกรสรจึงค่อยๆ บรรจงเอาถุงห่อคุณหนูน้อยซ์ ด้วยความรู้สึกกลัวถูกเอาคืนในภายหลัง..
แล้วจึงเดินไปช่วยแม่มดจ่าย เก็บข้าวของ..
..
..
..
“((คุณหนูน้อยซ์ขอรับ)).. (คุณหนูน้อยซ์ขอรับ)..”
นิ้วมือเล็กๆ เขี่ยสะกิดรอยช้ำโน และเรียกชื่อซ้ำๆ อยู่ในถุงผ้า..
“แอ่กกก..” เสียงร้องสุดท้ายที่ออกมาของโหงพราย เมื่อคุณหนูน้อยซ์พลิกตัวนอนหงายทับร่างเล็กของโหงพราย..
..
..
จบบทที่ 4 ตอนที่ 13
..
#เกร็ดเพิ่มเติม
#แม่มดจ่าย,
คือ แม่มดชาวลาวที่เป็นคนสนิทของ เจ้าจอมแว่น ปรากฏในบันทึกหลายแห่ง,
ในประวัติศาสตร์ ซึ่ง พบว่า เป็นหนึ่งในผู้มีจิตศรัทธา สร้างวัดสังข์กัจจาย ร่วมกับนายสังข์
#เพชฌฆาตฤกษ์
แปลว่า ผู้ทำหน้าที่ฆ่า มีพระราหูเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 แตกขาดกัน และ ตรงข้ามกับ โจโรฤกษ์ เรียกว่า "ตรินิเอก" คืออยู่ปลายราศี 3 ฤกษ์บาท และ ต้นราศี 1 ฤกษ์บาท ไม่ควรให้ฤกษ์ในการมงคลเลย เป็น ฉันทฤกษ์ (ฤกษ์แตกขาด)
เป็นฤกษ์ที่เหมาะสำหรับ การฟันผ่าอันตรายและอุปสรรค ต่อสู้เสี่ยงภัยต่างๆ อาสางานใหญ่ ทำกิจปราบปรามศัตรู..
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ขอบคุณครับ
ร้อยเรียงจันทร์เจ้าขา
(T.Mon)
11/10/2020
-

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา