22 ต.ค. 2020 เวลา 04:39 • ความคิดเห็น
โดยส่วนตัวผมนะ
ทุกเรื่องมีสามด้านเสมอ..อย่าเชื่อทุกเรื่องที่คุณได้ยินและได้เห็นมาในทุก ๆ เรื่องที่เราได้ยิน ได้เห็นมา มันมีสามด้านเสมอ
อย่าเชื่อทุกเรื่องที่คุณได้ยิน ได้เห็นมา
เพราะทุกเรื่องมีสามด้าน
นั่นคือ ด้านของเรา ด้านของเขา และด้านที่เป็นจริง..บางครั้งคุณอาจจะกลายเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายของใครบางคนโดยไม่รู้ตัว…
การฟังความข้างเดียว
ก็เป็นเสมือนกับการนินทาว่าร้ายผู้อื่นโดยไม่มีการพิสูจน์ความจริงจากคนเพียงคนเดียวทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันอย่างกว้างขวาง
เหตุเพราะเชื่อในสิ่งที่คนหนึ่งพูดโดยไม่มีการสืบเสาะหาความจริงและอีกฝ่ายก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ
ว่าตัวเองถูกเกลียดด้วยเรื่องอะไร
นานวันเข้าสังคมก็เกิดการแตกแยกเพียงเพราะคำพูดของคนที่ต้องการจะทำลายผู้อื่นการเป่าเทียนคนอื่นให้ดับไปไม่ได้ช่วยให้เทียนของเราสว่างขึ้นเครื่องบ่งชี้วุฒิภาวะที่แท้จริง
คือเมื่อมีบางคนทำเราเจ็บแล้วเราพยายามเข้าใจเขาแทนที่มัวคิดจะพยายามเอาคืนแล้วสังคมของเราก็จะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ
มันน่ากลัวมากตรงที่ สมองหลอกเราได้ทุกอย่างแม้กระทั่งหลอกตัวมันเอง…
เมื่อเป็นเช่นนั้น
เวลาเราเห็นผู้หญิงกับผู้ชายเดินมาด้วยกันเราจะด่วนตัดสินเลยว่า เขาเป็นแฟนกัน ก็คงไม่ได้เพราะเราไม่ได้รู้เรื่องราวชีวิตและความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งหมด…
เขาอาจเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง คนรู้จักกันหรืออาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเข้าใจก็ได้เวลาเห็นคนสองคนเดินมาด้วยกัน
เราจะมองท่าทีแล้วด่วนตัดสินเลยว่า เขาเพิ่งทะเลาะกันมา ก็คงไม่ได้เพราะเราไม่รู้ความสัมพันธ์ของเขา
นั่นเป็นเรื่องของคนสองคน
เรื่องราวบางอย่างซับซ้อนกว่านั้นเรื่องที่เราฟังจากคน ๆ หนึ่ง อาจมีความจริงอยู่น้อย..หรืออาจจะแตกต่างจากความจริงไปเลยก็ได้..
การนำเรื่องนั้นไปบอกเล่าใคร ๆหรือการยื่นมือไปช่วยเหลือโดยไม่ทันพิจารณา
ก็อาจจะเป็นการสร้างปัญหาให้คนสองคนนั้นเพิ่มขึ้นก็ได้จนกลายเป็นสิ่งที่ไปทำร้ายพวกเขา
ถึงแม้ว่ามันจะเกิดจากความหวังดีของเราก็ตามทีภาพที่เห็น อาจจะไม่จริงทั้งหมดก็ได้
ภาพที่เห็น อาจตรงกันข้ามกับความเป็นจริงไปเลยก็ได้ภาพที่เห็น อาจจะไม่ใช่ความจริงเพราะเป็นสิ่งที่เราปรุงแต่งขึ้นก็ได้
ฉะนั้น
ควรที่เราทุกคน ต้องมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้เสียก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจที่จะพูด จะลือ จะเชื่อ หรือจะช่วยทำอะไร ๆ
ยุคเรามีคนพันธุ์ใหม่ ที่ใจกล้าหน้าด้านกล้าดราม่าออกสื่อเป็นฝ่ายกระทำ กลับบอกว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ
เป็นฝ่ายผิด แต่แสดงหลักฐานเท็จว่าอีกฝ่ายผิดเป็นฝ่ายเลว แต่บีบน้ำตาจนหน้าตาเหมือนฝ่ายดี
อาศัยความเชื่อที่ว่า แฉก่อนได้เปรียบพูดก่อนถูกกว่าผู้คนจำข้อมูลแรกของฝ่ายแฉก่อนเป็นหลัก
ซึ่งนั่นก็อาจจริง หากใส่ไคล้กันในวงแคบ
แต่ถ้า เรื่องถึงโซเชียล ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรเพราะผู้คนในโซเชียลพัฒนากลุ่มนักสืบ
นักล้วง นักคุ้ยอดีต นักแสดงหลักฐานประจานและนับวันก็ยิ่งรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน
แบบไม่ต้องรู้จักกันมากขึ้นทุกทีบางคนเคยออกตัวแรง เชียร์ผิดข้าง
สุดท้ายความแตก ผู้ร้ายตัวจริงถูกแฉปล่อยให้กองเชียร์เงิบเป็นแถบ
ซึ่งแบบนี้พอหลายครั้งเข้าก็กลายเป็นประสบการณ์ ‘เข็ดหมู่’ ร่วมกันไป
ความเข็ดนั่นเองคือการเรียนรู้ที่จะฟังความสองข้างให้ชัดๆไม่ด่วนออกตัวแรงตามความสงสาร
หรือตามเนื้อหาที่ใครดราม่าให้ดูเป็นคนแรกเมื่อไม่ฟังความข้างเดียว
ก็ได้ชื่อว่าไม่หูเบา
มีความหนักแน่น รู้จักเผื่อใจรับฟังรอบด้านซึ่งจะติดนิสัยชนิดนี้จากโซเชียล
หรือจากในบ้าน จากในที่ทำงานก็ต้องนับว่าดี มีสติยั้งคิด ไม่วู่วาม
ไม่โดนชักจูงง่ายการเลิกฟังความข้างเดียว
น่าจะต่อยอดเป็นการเลิกตัดสินตามอารมณ์ได้หรือไม่ ?
คำตอบดูเหมือนจะไม่
นั่นเพราะอะไร ? เพราะเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่นเราอาจเข็ดที่จะเจ็บแค้นแทนใครเข็ดที่จะเป็นฮีโร่เอาเรื่องเอาราวผู้ร้าย
เพียงเพื่อจะพบในตอนท้ายว่าเราถูกหลอกให้ยืนข้างคนผิดเข้าข้างผู้ร้าย จนกลายเป็นผู้ร้ายไปด้วยเสียเอง..
แต่เมื่อเป็นเรื่องของตัวเองแม้เป็นฝ่ายด่าก่อนแบบไม่มีเหตุผลแม้เป็นฝ่ายผิดอยู่ชัดๆ
แม้เป็นฝ่ายสร้างความเสียหายโซเชียลมีเดียก็ไม่มีแบบฝึกหัดให้รู้สึกตัวคนส่วนใหญ่ยังเดินหน้าสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง
ด้วยการเล่าความจริงบางส่วนและปิดบังข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เพื่อขอคะแนนเสียง กำลังใจ หรือกระทั่งกำลังคน..
เอาความจริงบางส่วนมาโขลกเขย่า
ให้คนหมู่มากเห็นภาพใหญ่ที่ตัวเองอยากให้เห็นเมื่อเลือกฟังความข้างเดียว...
เพราะทุกอย่างมีสามด้านเสมอ...
รักเอย..

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา