25 ต.ค. 2020 เวลา 22:50 • ปรัชญา
๕๐. ข้อเสนอแนะบางประการต่อการสร้างสรรค์ศิลปะ
พระสงฆ์องค์เจ้าเดี๋ยวนี้ถือดี รั้น ไม่อ่อนโยน ฉลาดแกมโกง ยกตนถือตนในทางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ โดยลืมไปว่าสาระสำคัญที่สุดของสงฆ์อยู่ที่ความไร้ตัวตน
ความสำคัญของพระสงฆ์อยู่ตรงที่ว่าพระสงฆ์ไม่ปรารถนาอะไร มีชีวิตเสมอฝุ่น เสมอทราย เสมอดิน เมื่อใดที่พระสงฆ์สำคัญตนผิด สำคัญฐานะตนผิด สำคัญฐานะตนว่าสำคัญมาก เมื่อนั้นก็จะสูญเสียความสำคัญไปทันที
เพราะความสำคัญของสงฆ์อยู่ตรงที่ท่านไม่ได้สำคัญตน เมื่อใดท่านสำคัญตนผิดเมื่อนั้นก็จะล้มคว่ำไปทันที เพราะความสำคัญของสงฆ์อยู่ตรงที่ความถ่อม ความมักน้อย ความไม่ต้องการอะไร
เดี๋ยวนี้สถาบันสงฆ์ไม่เป็นอย่างนั้น จะมีพระสงฆ์ที่ดีบ้างก็นับว่าน้อย พูดรวม ๆ เพราะพระสงฆ์บวชวันแรกก็สลักสำคัญขึ้นมาทันที คนกราบท่วมหัว ในที่สุดยศถาบรรดาศักดิ์ก็เกิดขึ้นแล้ว
ดังนั้นถ้าพูดในส่วนแก่นสถาบันสงฆ์เราพังไปแล้วก็ว่าได้ เพราะว่าความหยิ่ง ความถือดี ความไม่เข้าใจความหมายของชีวิต ผมไม่ได้พูดประณาม แต่ว่ามันเป็นเรื่องจริง
เมื่อสมัยที่ผมพานักศึกษาไปท่องเที่ยวในคลองบางกอกน้อยเพื่อศึกษาจิตรกรรมฝาผนังอันงดงามล้ำค่า สิ่งที่น่าอนาถคือภาพเหล่านั้นถูกทำลายโดยพระ ท่านเอาปูนขาวโบก ตอกตะปูกางมุ้งบ้าง คือท่านไม่เข้าใจสุนทรียภาพเสียแล้ว ท่านเป็นคนอยู่ชนิดเลื่อนลอย มีแต่ลาภสักการะ สำหรับบริโภคอย่างเดียว
เช่นเดียวกับ ศิลปินเมื่อสำคัญตนผิดต่อค่าของศิลปะ จะล้มคว่ำทันที ดังนั้นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือระเบียบวินัยในตนเอง ระเบียบวินัยในการสร้างสรรค์
เราเรียนรู้อะไรไม่ได้นอกจากความล้มเหลวแล้วรู้ พอล้มสักทีสองทีแล้วดีขึ้น ความสำเร็จอาจเป็นหลุมพรางไปก็ได้ เพียงแต่เราเรียนรู้แล้ว ๆ เล่า ๆ จากความล้มเหลวก็พอแล้ว พอที่จะทำให้เรามีพลังชีวิตพลังใจเป็นมนุษย์ที่แท้ได้
ลองสาวไปสู่ตอนต้นว่า เราอยากเป็นศิลปินนั้นไม่ถูก ผมคิดว่าเราเป็นเพียงผู้เข้าถึงศิลปะก็พอแล้ว ส่วนที่เราสร้างสรรค์ศิลปะได้หรือไม่ ควรเป็นอีกตอนหนึ่ง
ถ้าเราจะมองพัฒนาการทางศิลปะเราควรจะสนใจในแง่การพัฒนาสุนทรียภาพมากกว่าตัวศิลปิน หรือถ้าจะมองที่ตัวศิลปินบ้างก็ควรจะอยู่ที่ว่าเขาพัฒนาสุนทรียภาพของเขาอย่างไร
ศิลปินนั้นเป็นเพียงคนผู้ฟันฝ่าอุปสรรคเพื่อการสร้างสรรค์ เราไม่ควรทะเยอทะยาน แต่เราอาจจะเป็นคนหนึ่งก็ได้ที่สร้างสรรค์งานศิลปะ
ศิลปินทุกคนหรือมนุษย์ทุกคนต้องสร้างวินัยของตนขึ้นมา ความรักงาน ความหมั่นเพียร ล้วนเป็นวินัยระเบียบแห่งการสร้างสรรค์ ตัดความสนใจในลาภยศสรรเสริญทะยานมักใหญ่เหลือแต่กาย ใจ และอารมณ์รู้สึกบริสุทธิ์และตั้งลำไปสู่การสร้างสรรค์งาน
เพราะเมื่อทำอย่างนี้ได้ ขบวนการเคมีชีวภาพก็เริ่มปรับตัวขึ้นเพื่อให้แรงเสียดทานสลายไป
ศิลปะร่วมสมัยทุกวันนี้ผมสังเกตดูมันไม่ค่อยมีหัวใจ ไม่รู้นะ ผมจะมองผิดไปหรือเปล่า เพราะมันมีหัวสมองที่สลับซับซ้อนเต็มไปด้วยทฤษฎี ทิฐิมานะ
ผมยอมรับว่าจิตรกร ประติมากรรุ่นหลังนี่เทคนิคสูงมาก เมื่อสองวันผมดูภาพที่แสดงที่แห่งหนึ่ง เขาวาดเป็นแผ่นหลังของคนเหงื่อเต็ม ผมกลัวฝีมืออันนี้ เก่งจริง ๆ แต่มันบอกอะไรผมบ้าง งานชิ้นนี้มันให้อะไรผมบ้าง
แต่ถ้าเราดูงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ฝีมือไม่สูง แต่ว่ามันกระทบเร้าสำนึกในส่วนลึกและทำให้น้ำตาคั่ง หยุดยั้งความบ้าคลั่งทะเยอทะยาน หยาบช้าสามานย์ไปได้ และเริ่มต้นมองโลกใหม่นั่นควรเป็นศิลปะแท้ไหม
ตอลสตอยเล่าเรื่องหนึ่งไว้อย่างน่าสนใจ เขาซาบซึ้งเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งซึ่งเขียนโดยนักเขียนที่ไม่มีชื่อเสียง แต่สำหรับเขาถือว่านี่งามเหลือเกิน
เรื่องมีว่าผัวเมียคู่หนึ่งรักกันมากแต่ยากไร้ ผัวก็ไปทำงานในไร่เมียก็ทำงานบ้าน เก็บสะสมเงินให้ลูกเรียนหนังสือใกล้ ๆ บ้าน ทีนี้เวลาผ่านไปหลายปีความรักยังหนักแน่นอยู่ แต่ว่าเจอวิกฤติการณ์ทางสังคม การนัดหยุดงานก็ดี การถูกตัดค่าแรงงานก็ดี ทำให้ฝ่ายสามีนั้นสับสน
วันหนึ่งเขายักยอกเงินที่จะให้ภรรยาไปดื่ม เขากลุ้ม พอกินเหล้าเข้า เมียถามว่าเงินอยู่ไหน เขายื่นให้ เมียนับดูก็บอกว่ามันหายไปตั้งหลายบาท เขาบอกว่าฉันดื่มบ้างซิ เมียก็โกรธ ก็ทะเลาะกันใหญ่จนผัวตบเมียล้มคว่ำลงกับพื้น เมียโมโหก็สู้ ผัวยิ่งโมโห ฤทธิ์เมาด้วย ผัวก็จับหัวเมียโขกกับพื้นจนเลือดกระฉูด พอเห็นเลือด ผัวก็รู้สึกตัว ร้องไห้ ร้องไห้แล้วกอดเมียแล้วขอโทษ เมียก็คลำแก้มผัวที่ตัวข่วน
ที่จริงทั้งคู่รักกันมาก แต่เนื่องจากวิกฤติการณ์ความยากจนข้นแค้นความรับผิดชอบต่อลูก ทำให้ทั้งสองสับสน ทั้งคู่ก็กอดกันร้องไห้คืนดีกัน เรื่องจบเท่านี้
ศิลปะอยู่ตรงไหน ที่จริงเรื่องนี้พื้นมาก เมื่อเราอ่านแล้วกระทบอารมณ์
ความรักไม่จำเป็นต้องแสดงออกซื่อ ๆ หวาน ๆ ในความทุกข์ทรมานก็รักกันได้และนั่นคือความรัก และนั่นคือมนุษย์ถูกกระทำ ถูกกระทำจากสังคมซึ่งไม่เป็นธรรมดูแล้วไม่เป็นศิลปะ แต่มันเป็นอะไรบางสิ่งซึ่งมากกว่าศิลปะ
ศิลปินทุกคนคือมนุษย์ เขามีหัวใจซึ่งอ่อนไหวกว่าผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงแสดงได้ดี
ศิลปะร่วมสมัยทุกวันนี้มักจะออกมาจากจิตสำนึกซึ่งตื้น แต่ว่าเต็มไปด้วยพลังเทคโนโลยี คือเราดูแล้วก็รู้สึกได้ว่าเขาเก่ง
เมื่อหน่อไผ่แทงหน่อเล็ก ๆ ขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่ความเก่งกาจของกอไผ่ เป็นอะไรบางสิ่งซึ่งไม่ใช่ความเก่ง เป็นการอยู่รอดปลอดภัย
ภายในบรรยากาศในฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง
ศิลปินคือคนธรรมดาที่เผชิญโชค มีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดรวดร้าว คราวสุขก็สุข คราวทุกข์ก็ทุกข์ บางทีคราวทุกข์ ทุกข์มากกว่าคนธรรมดาสามัญ แต่เขาไม่หยุดยั้งที่จะสะท้อนความดีที่ซ่อนแฝงอยู่ลึกในหัวใจเขาออกมาในงาน
ความรักมนุษย์นี่แหละคือ รากลึกของความเป็นศิลปิน ผมเข้าใจอย่างนั้น
ถ้าคุณไม่รักมนุษย์รักความเป็นธรรม คุณเป็นศิลปินไม่ได้และมากกว่านั้นเป็นคนก็ไม่ได้ เพราะความเป็นมนุษย์นี่เองที่เข้าไปเยียวยาเพื่อนมนุษย์
ยานั้นเป็นเรื่องข้างนอก เมื่อเพื่อนเราไม่สบาย เราอาจจะพาไปหาหมอได้ แต่ความไม่สบายในวิญญาณนั้น รักษาไม่ได้ด้วยหมอและโรงพยาบาล แต่รักษาได้ด้วยหัวใจอีกดวงที่เต็มไปด้วยพลานามัย รู้แจ้งฉานและกรุณา เต็มไปด้วยความปรารถนาดี
ถ้าท้อใจต่อให้เป็นนักกล้ามก็หมดแรงเหมือนกัน ไปไม่รอด มนุษย์นั่นเอง หัวใจอันงดงามของมนุษย์นั่นเอง เป็นเครื่องเยียวยาเพื่อนมนุษย์ ศิลปะควรจะยืนที่ตรงไหนดี
ลัทธิอุจาด ได้แพร่หลายอยู่ทั่วไปหรือไม่ในสมัยนี้
งานศิลปะที่เป็นผลผลิตของความสับสนทางจิตใจและสับสนทางปัญญา แม้จะให้อารมณ์รู้สึกที่รุนแรงแข็งขันน่าทึ่งตื่น มันก็เหมือนกับบาดแผลเน่าเปื่อย มีหนองช้ำหลากสี เป็นเครื่องหมายถึงความเจ็บป่วยทางสังคมมากกว่าความมีสุขภาพพลานามัยของจิตสำนึกทางสังคม (Social Consciousness)
ประการสำคัญในการพินิจศิลปะก็คือ งานนี้ถูกสร้างสรรค์ออกมาจากจิตสำนึกหรือมโนคติชนิดไหน
 
หากออกมาจากสภาพไม่รู้อันมากด้วยตัณหาและอามิสแล้ว แม้ดูวิจิตรฝีมือ เทคนิคสูง ก็ต้องถือว่าเขียนภายใต้ลัทธิอุจาดและเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาดังคนอวดแผลเน่าเปื่อยเหวอะหวะเหม็นเน่าของตัวต่อสาธารณะ แม้จะอวดได้อย่างพิสดารก็ตาม
อนุสาวรีย์ประกาศอิสระจากการปลดแอกทุกแห่งในโลก ไม่ว่ามาเลเซียหรืออินเดีย มักจะแสดงออกในทางอุจาดเขวไปเสียจากอารมณ์สุนทร ผิดกับแนวคิดของผู้รู้ครั้งโบราณที่คำนึงถึงความศักดิ์สิทธิ์ทางธรรม ไม่ใช่ปลุกวิญญาณให้เถื่อนทมิฬในทางไสย
สถูปโบราณ เจดีย์ สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกถึงความประณีต ความรักศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นนักรบ กวี หรือกษัตริย์ ที่จากไปแล้ว หากท่านทำความดีมีน้ำใจต่อส่วนรวมในทางผดุงรัฐ วัฒนธรรม การจากไปของท่านเป็นความสูญเสีย จึงชวนสังเวชทีเดียว
คนรุ่นถัดมาก็สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อให้รำลึกสลดใจเร้าเตือนให้สืบธารน้ำใจของท่านนั่นเอง จึงสร้างเป็นพระพุทธรูปบ้างสถูปบ้าง เจดีย์บ้างให้ดูน่าเคารพสักการะ แม้ศัตรู(ต่างว่าพม่ามาดูอนุสาวรีย์ยุทธหัตถี) ก็ยังนิยมเลื่อมใสได้
เราทำอนุสรณ์ถึงน้ำใจเพื่อสืบสายธารน้ำใจอันงดงามซึ่งเป็นสิ่งสุนทรด้วยศิลปวัตถุ แต่หากศิลปวัตถุกลับไปเป็นสื่อถ่ายทอดสิ่งอุจาดหยาบช้าสามานย์เสียเอง มันไม่เขวไปหรือ?
จากหนังสือ : อันเนื่องกับทางไท (พุทธิปัญญาสู่งานศิลป์ มรดกของแผ่นดินไทย ที่คนไทยทุกคนควรรู้)
โฆษณา