4 พ.ย. 2020 เวลา 03:00 • หนังสือ
🌞ในแสงแดด มีดวงดาว
🏆การก้าวสู่ความสำเร็จ นั้นเป็นเรื่องยาก
แต่การก้าวผ่านปัญหา และความล้มเหลว นั้นยากกว่า​ ลุกขึ้นมาใหม่ ดำรงความมุ่งมั่น แล้วเดินหน้าต่อไป
...ชีวิตคือการเดินทางไกล
ไม่เคยมีคำว่าแพ้
มีแต่คำว่าล้ม
บางคนล้มแล้วรีบลุกขึ้นมาใหม่
แต่บางคนล้มแล้วไม่ยอมลุก
และคิดว่าตนพ่ายแพ้เท่านั้นเอง...
นี่คือเรื่องหนึ่งของหนังสือในแสงแดด มีดวงดาว อ่านแล้วได้อะไรดีๆ มากมาย
🔥ทางหนีไฟ
เวลามีใครถามผมว่าตอนปิดต้นฉบับ เคย "ตัน" บ้างหรือเปล่า
สำหรับคนที่ไม่ได้มีอาชีพ "นักเขียน" การเขียนหนังสือคงเป็นงานยาก
ยิ่งถ้าผมบอกว่าเขียนต้นฉบับสัปดาห์ละ ๓ เรื่อง
คนส่วนใหญ่จะตกใจราวกัวเป็นสิ่งมหัศจรรย์
ครับ...ถ้าสัปตาห์ละ ๓ เรื่องยังตกใจ ถ้ารู้ "อัตราการผลิต
ต้นฉบับของพี่เสถียร จันทิมาธร แห่ง "มติชน"
ปรมาจารย์ด้านการเขียนของผม
เขาคงจะช็อก
"พี่เถียร" เขียนตันฉบับวันละประมาณ ๓-๔ ชิ้นครับ
เขียนแบบนี้สัปดาห์ละ ๗ วันครับ
ทำแบบนี้มาไม่ต่ำกว่า ๓๐-๔๐ ปีแล้วครับ
แต่ถามว่าผมเคย "ตัน" ไหม
แม้จะเขียนแค่สัปดาห์ละ ๓ เรื่อง ก็มีโอกาส "ตัน "
นั่งหน้าจอแล้วนึกเรื่องเขียนไม่ออก
แต่ทุกอาชีพ ต้องมี "บันไดหนีไฟ" ครับ
ผมเชื่อว่าสถาปนิกก็มี "บันไดหนีไฟ" ของตัวเอง
ครีเอทีฟรายการโทรทัศน์ก็มี
ครีเอทีฟโฆษณาก็มี ฯลฯ
อะไรที่เป็น "อาชีพ" เรารอ"แรงบันดาลใจ" ไม่ได้หรอกครับ
"เดดไลน์" คือ "แรงบันดาลใจ" ที่ดีที่สุด
สำหรับผม "บันไดหนีไฟ" คือการจดบันทึกและหนังสือ
สมัยก่อนผมจะมีสมุดเล่มเล็กๆ ในกระเป๋า เวลาเจอเรื่องที่ไหนที่ชอบ
ผมจะจดลงในสมุดเล่มนี้
หนังสือเล่มไหนที่อ่าน ผมจะพับหน้าที่ชอบ ขีดเส้นใต้บรรทัดที่ประทับใจ
เสร็จแล้วก็เสียบไว้ที่ตู้หนังสือหลังโต๊ะทำงาน
นั่นคือ "บันไดหนีไฟ" ของผมครับ
เวลาที่นึกเรื่องที่เขียนไม่ออก ผมก็จะเปิดสมุดบันทึกเล่ม
แต่ตอนหลังพอใช้ "ไอโฟน" และ -ไอแพด" ผมก็เปลี่ยนจากสมุดบันทึกเป็นการเก็บข้อมูลใน ไอโฟน" หรือ "ไอแพด"
ยิ่งโปรแกรม "โน้ต" ทำให้สามารถโอนผ่านข้อมูลระหว่าง"ไอโฟน-ไอแพค"ได้ ยิ่งสบาย
พอเริ่ม "ตัน" ก็จะเปิดดูว่ามีประเด็นไหนน่าเขียนได้บ้าง
หรือหยิบหนังสือมาพลิกดู เจยหน้าไหนที่พับไว้แสดงว่าต้องมีอะไรดี
พอได้ "ประกายไฟ" แล้ว จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะโหมไฟแห่ง "แรงบันดาลใจ" ตาม "เดดไลน์" ที่วิ่งไล่เข้ามา
สุดท้ายก็เป็น "ต้นฉบับ" คุณภาพ ๑ ชิ้น
***มีคนชอบถามว่าข้อมูลที่ผมจด "โน้ต" ไว้คือเรื่องอะไรบ้าง
ถ้าแบ่งเป็นหัวข้อแล้ว ส่วนใหญ่ที่ผมบันทึกไว้จะมีอยู่ ๔ เรื่อง
เรื่องแรก คือเรื่องธุรกิจหรือแนวคิดของนักธุรกิจ
อย่างเรื่องนี้
...แจ๊ก หม่า ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "อาลีบาบา"
"แจ๊กหม่าบอกว่า เขาเสียใจที่สุดในชีวิตเมื่อทำงานมาได้พักหนึ่ง เขาบอกกับ ๑๘ คนผู้ร่วมลงเรือลำเดียวกันตั้งแต่เริ่มธุรกิจว่า ตำแหน่งสูงสุดที่พวกเขาสามารถเป็นได้คือการทำงานในตำแหน่งระดับการจัดการเท่านั้น​
ส่วนตำแหน่งประธานและตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของเรานั้น เราจำเป็นจะต้องจ้างบุคคลภายนอกมาบริหารงาน
ไม่กี่ปีต่อมา พวกเขาเหล่านั้นก็ลาออก
และสุดท้ายแล้วบุคลากรภายในบริษัทที่อยู่มาตั้งแต่แรกเหล่านั้นก็เติบโต กลายเป็นประธานและผู้บริหารระดับสูง"
ครับ เขาคิดผิด
อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบ "แจ๊ก หม่า" บอกว่าคุณไม่สามารถที่จะทำให้คนทุกคนนั้นคิดเหมือนกันได้หรอก แต่คุณสามารถที่จะทำให้ทุกคนก้าวไปทางเดียวกันได้ด้วยเป้าหมายเดียวกัน
อย่าพยายามแม้แต่จะคิดว่าคุณจะทำให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้...มันไม่มีทางเป็นไปได้!
๓๐% ของผู้คนทั้งหมดนั้น จะไม่มีวันเชื่อคุณเลย
ดังนั้นอย่าพยายามทำให้เพื่อนร่วมงานและพนักงานทำงานให้คุณ
แต่จงทำให้เขาทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกัน
สร้างบริษัทให้รวมใจกันอยู่ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน ง่ายกว่าการทำงานภายใต้ตามคำสั่งของใครคนใดคนหนึ่งหรือเพื่อคนคนหนึ่ง"
...ประมาณนี้
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องมุมคิดและแรงบันดาลใจ​
อย่างเรื่อง "ตาบอดกับโคมไฟ"
...ตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย​
ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก​
คืนวันหนึ่งพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าว เพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม
ตรอกนี้มืดมาก พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก
ตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามาในตรอก ทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร
พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ไยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย"
พระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั่งคนตาบอดถือโคมไฟเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
"ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"
คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้าง​ มองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างเห็นเป็นเช่นไร"
พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"
คนตาบอดตอบว่า ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้า
คือมองไม่เห็นสิ่งใด​
เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอก ใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่
แต่ข้าแม้เป็นคนตาบอด แต่ไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน
แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
"ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้น ข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับอื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ข้าจึงไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย"
พระได้ยินความดังนั้นก็บรรลุปัญญา...
"การชวยเหลือผู้อื่นประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้"
...ประมาณนี้
อีก ๒ เรื่องที่ผมชอบบันทึก
เรื่องที่สาม เป็น "ประกายไฟ" ที่เกิดจากผู้อื่น เช่น เห็นคำสัมภาษณ์หรือข้อเขียนของคนอื่น​ แล้วเรามีมุมคิดที่แตกต่าง
อย่างเคยมีคนเคยเล่า "ซิซิฟัส" ถูกเทพเจ้าลงทัณฑ์ให้ต้องเข็นก้อนหินขึ้นภูเขา
แต่เมื่อเข็นถึงยอดเขา หินก้อนนั้นก็จะตกลงมาทุกครั้ง
เขาจึงต้องเข็นก้อนหินขึ้นยอดเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า​
มีบางคนสรุปว่าไม่มีการลงโทษใดที่จะเลวร้ายเท่ากับการลงแรงที่สิ้นหวังและไร้ผลตอบแทน
ผมชอบมุมคิดนี้ แต่พอคิดเล่นๆ ว่า ถ้าผมเป็น "ซิซิฟัส"ผมจะแก้คำสาปนี้อย่างไร
จะเปลี่ยนใจเทพเจ้าคงยาก
มีอย่างเดียวที่เป็นไปได้ คือ เปลี่ยนมุมคิดของตัวเอง
ผมจะคิดถึงบทลงโทษแบบนี้เหมือนเป็น "เกม"
คิดให้เป็นการข้อมวิ่ง ๑๐๐ เมตร
หรือการซ้อมยิงฟรีคิก​ เพราะการซ้อมแต่ละครั้ง "ความสุข" ของเราจะอยู่ที่การทำสถิติให้ดีขึ้น
วิ่งเร็วขึ้น ยิงฟรีคิกแม่นขึ้น
เมื่อคิดเช่นนี้ การเก็บบอลมาเตะใหม่ หรือการเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้นเพื่อจะวิ่งใหม่จึงไม่ใช่ "ความทุกข์" เช่นกัน
...ประมาณนี้
เรื่องสุดทำย คือ เรื่องขำขัน หรือ "โจ๊ก"
อย่างเรื่อง "สวรรค์สาย ๘"
เทวดาได้พิจารณาคุณสมบัติชาย ๒ คน รอขึ้นสวรรค์
คนที่ ๑ เป็นคนขับรถเมส์ สาย ๘"
เทวดาพอใจมาก ให้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
คนที่ ๒ เป็นพระภิกษุ
เทวดาให้ขึ้นสวรรค์ชั้นต้น
พระภิกษุก็โวยเทวดา
"อาตามมาบวชมา ๓๕ ปี เทศน์ให้คนฟังเป็นล้าน ทำไมได้ขึ้นสรรค์ชั้นต้น แต่พ่อหนุ่มนั่นเป็นแค่คนขับรถเมล์กลับได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์"
"ท่านน่ะ เวลาเทศน์คนฟังหลับหมด" เทวดาอธิบายเหตุผล
"แต่พ่อหนุ่มนั่นเวลาขับรถผู้โดยสารทุกคนนั่งสวดมนต์ตลอดทาง"
...ประมาณนี้
ครับ อ่านถึงบรรทัดนี้ ทุกท่นคงเข้าใจแล้วว่า ต้นฉบับชิ้นนี้เดินทางมาถึงบรรณาธิการแบบไหน​ ขึ้นลิฟต์​ หรือ "บันไดหนีไฟ"
ข้อคิดจากหนังสือในแสงแดด​ มีดวงดาว
หนุ่มเมืองจันท์
ในแสงแดด มีดวงดาว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา