Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ออมให้เงินโต แบบเข้าใจง่ายๆ
•
ติดตาม
5 ธ.ค. 2020 เวลา 02:31 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ออมให้เงินโต ภาคกองทุนรวม EP29
“กองทุนหุ้นต่างประเทศตอนที่ 1 รู้จักกับดัชนีหุ้นอเมริกา”
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ EP แรกของกองทุนหุ้นต่างประเทศนะครับ เฮ้ๆ หลายๆคนอาจจะคิดว่าที่เราต้องไปลงทุนต่างประเทศเนี่ย เพราะว่าผลตอบแทนในประเทศมันกากไง แต่ทว่าจริงๆแล้ว มันมีเหตุผลมากกว่านั้นนะ
มีเหตุผลที่ว่า มีหลักๆอยู่ 2 อย่างก็คือ
1. กระจายความเสี่ยง
ถ้าเราลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งล้วนๆ แล้ววันดีคืนดีเกิดวิกฤตอะไรบางอย่างเฉพาะในประเทศนั้นๆ
ตัวอย่างที่ผ่านมาก็เช่น น้ำท่วมใหญ่ในบ้านเราปี พศ. 2554 ถ้าเราลงทุนในบ้านเราล้วนๆ แน่นอนว่ากองทุนในประเทศ NAV ดิ่งเหวแน่นอน ซึ่งถ้าเรามีไปลงทุนในต่างประเทศไว้บ้าง ผลตอบแทนโดยรวมของเราก็จะไม่แย่มากเพราะมีกองต่างประเทศช่วยดึงไว้
2. ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
เรื่องนี้ถ้าเป็นเมื่อ 6-7 ปีก่อน ลงทุนในบ้านเราได้ผลตอบแทนดีกว่านะครับ
ห๊ะ อะไรนะไม่เชื่อล่ะสิ เดี๋ยวจะได้รู้กันเนาะ มาพูดถึงปัจจุบันกันก่อน
ทุกวันนี้ อย่างที่เราเห็นๆกัน เทคโนโลยีเข้ามาในชีวิตประจำวันของเราเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ-ขายของ, สั่งอาหาร, จองโรงแรม, ประชุม, ติดต่อสื่อสาร ทั้งหมดนี้ทำได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และ มือถือเครื่องเดียว
ยังไม่พอ นวัตกรรมใหม่ๆที่จะเข้ามาในอนาคต เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, การใช้งาน 5G อย่างเต็มรูปแบบ มันต้องมาแน่ๆเราเห็นมันอยู่ไม่ไกลแล้วนะ
ซึ่งบริษัทที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้โดยตรงนั้น น่าเสียดายว่าเขาไม่ได้อยู่ในบ้านเรานะครับ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ช่วง 5 ปีมานี้ กองทุนหุ้นต่างประเทศถึงทำผลตอบแทนได้ดี และ เป็นที่นิยมมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทุนที่ลงทุนในหุ้นประเทศอเมริกา และ จีน
วันนี้เรามารู้จักดัชนีหุ้นของอเมริกากันก่อน
ตลาดหุ้นอเมริกาหลักๆ มี 2 ตลาดคือ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค (New York Stock Exchange, NYSE) กับ ตลาดแนสแดค (Nasdaq) ความแตกต่างของ 2 ตลาดนี้ในช่วงแรกๆคือ บริษัทที่มีขนาดเล็กๆนั้นจะไม่ผ่านเกณฑ์จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ค ดังนั้นตลาด Nasdaq จึงตั้งขึ้นมาเพื่อรองรับบริษัทเล็กๆเหล่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีสินทรัพย์น้อย
ในเวลาต่อมา อย่างที่เรารู้กัน บริษัทเทคโนโลยีเล็กๆที่ว่า กลับเติบโตจนกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่มาก ที่เราน่าจะรู้จักกันดี ก็อย่างเช่น Apple, Microsoft, Alphabet (เจ้าของ google), Facebook, Amazon พวกนี้อยู่ในตลาด Nasdaq ทั้งนั้น ทำให้ตลาด Nasdaq กลายเป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีไป
(ถาม) เวลาดูข่าวที่พูดถึงตลาดหุ้นอเมริกา ทำไมเขาพูดถึงดัชนีดาวโจนส์ล่ะครับ มันคือตลาดนิวยอร์ค หรือ Nasdaq
(ตอบ) ดัชนีดาวโจนส์ (DJIA, Dow Jones Industrial Average) คือการเอาหุ้นขนาดใหญ่ 30 ตัวจากทั้ง 2 ตลาดมาคำนวณดัชนีนะครับ
แต่ทว่า ถ้าเราไปดูกองทุนที่ลงทุนในหุ้นอเมริกา กองทุนมักจะลงทุนในดัชนี S&P500 (บางทีก็เรียก US500)
(ถาม) อ่าว ทำไมล่ะครับพี่
(ตอบ) คืองี้ครับ หุ้นทั้ง 30 ตัวที่เอามาคำนวณดัชนีดาวโจนส์นั้น ถึงจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ด้วยความที่มีแค่ 30 ตัว และ วิธีคำนวณที่เอาแต่ราคามาคิด ไม่ได้ดูจากขนาด (ไม่ถ่วงน้ำหนัก) เช่น
บริษัท A ขนาดบริษัท 1,000 ล้าน ราคาหุ้น 100 ดอลล่าห์
บริษัท B ขนาดบริษัท 500 ล้าน ราคาหุ้น 200 ดอลล่าห์
การคำนวณแบบไม่ถ่วงน้ำหนัก ทำให้ บริษัท B ที่มีขนาดเล็กกว่า แต่ราคาหุ้นสูงกว่า มีผลกับดัชนีมากกว่า บริษัท A ซึ่งมันดูแปลกๆนะ
ในขณะที่ดัชนี S&P500 นั้น คำนวณด้วยวิธีถ่วงน้ำหนัก ทำให้บริษัทขนาดใหญ่กว่ามีผลกับดัชนีมากกว่า และ คำนวณจากหุ้นทั้งหมด 500 ตัวซึ่งครอบคลุมทั้ง 2 ตลาดมากกว่า (ทั้ง 2 ตลาดมีหุ้นรวมกันราวๆ 5,700 บริษัท) ทำให้คนส่วนใหญ่มองว่า ดัชนี S&P500 เป็นตัวแทนของเศรษฐกิจได้ดีกว่า
อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆมาถ้ามองในภาพใหญ่ๆ ดัชนีทั้ง 2 ตัวนี้เคลื่อนไหวในทิศทางใกล้เคียงกัน ประกอบกับดัชนีดาวโจนส์เป็นที่รู้จักแพร่หลายมาอย่างยาวนาน จึงยังถูกใช้อ้างอิงเป็นตัวแทนเศรษฐกิจของอเมริกาอยู่ในปัจจุบัน แต่จากในรูปปีล่าสุดนี่เริ่มห่างๆละนะ
โดยสรุปคือ ดัชนีหุ้นอเมริกาที่เป็นตัวแทนตลาด และ เป็นดัชนีที่กองทุนเขาลงทุนกันก็คือ S&P500 และถ้าเห็นว่ากองทุนลงทุนในตลาด Nasdaq ให้รู้ว่านั่นคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แค่นี้พอ
คำถามต่อมาที่น่าจะอยากรู้กันก็คือ แล้วผลตอบแทนของ S&P500 เทียบกับ SET ของบ้านเราเป็นยังไงบ้าง มาดูกราฟและลองคำนวณผลตอบแทนทบต้นย้อนหลัง 10 ปีกันนะครับ
การคำนวณทั้งหมดจะคำนวณ 10 ปีย้อนหลังจาก วันที่ 1 มกราคม 2020 (พศ.2563) ถึงวันที่ 1 มกราคม 2010 (พศ. 2553) สังเกตว่าการคำนวณ ไม่ครอบคลุมถึงช่วงที่เกิดวิกฤตโควิด เพราะต้องการเห็นผลตอบแทนในเวลาที่เศรษฐกิจเป็นปกติดีๆอยู่
เริ่มจาก S&P500
จากรูปเมื่อ ดัชนีปี 2020 อยู่ที่ 3200 และเมื่อ 10 ปีก่อนดัชนีอยู่ที่ 1080
ใช้สูตรคำนวณแบบที่เคยคำนวณให้ดูใน EP9 ออกมาได้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีอยู่ที่ 11.5%
มาดู SET ของเราบ้าง
ปี 2020 ดัชนีอยู่ที่ 1500 และเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ดัชนีอยู่ที่ 700
คำนวณได้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีอยู่ที่ 7.9%
ช่วงนี้เรามักได้ยินคนบ่นว่าหุ้นในประเทศห่วยๆ เอาจริงๆตัวเลขนี้มันก็ไม่แย่มากนะ เพราะค่าเฉลี่ยผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ที่ 8-12%
ที่มันดูแย่ๆ จากความเห็นส่วนตัว (และจากกราฟในรูป) เป็นเพราะ SET ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดอย่างแรง และ ฟื้นตัวช้ากว่า S&P500 ลองดูกราฟช่วงปี 2020 จะเห็นว่าดัชนี S&P500 ดิ่งลงมาแป้ปเดียวก็กลับไปต่อ ซึ่งกราฟ SET ช่วงโควิดนี่คือซึมไปเลย แต่ตอนนี้ก็ดูจะเริ่มๆโงหัวขึ้นมาละ
ตรงนี้อธิบายได้ว่า ดัชนี S&P500 นั้นมีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอยู่ด้วย ซึ่งได้ประโยชน์จากพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปในช่วงล็อคดาวน์โควิด ทั้งการซื้อ-ขายของออนไลน์ ใช้การประชุมและทำงานผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ เช่น ซูม
คือถึงหุ้นกลุ่มอื่นจะแย่ แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ดึงดัชนีขึ้นมาได้อยู่
(ถาม) แล้วไหนตอนแรกบอกว่าเมื่อก่อน SET ได้ผลตอบแทนดีกว่า จริงหรือเปล่าเนี่ย
(ตอบ) จริงๆ ไม่ได้โม้ (ทำเสียงพี่สมรักษ์)
ลองไปดู S&P500 แถวๆปี 2013 (พศ. 2556) กันนะครับ ที่จำได้เพราะช่วงนั้นกำลังไฟแรง ไล่ดูกองทุนหลายตัว 555
จากรูปคำนวณ จากปี 2013 ย้อนหลังไป 10 ปี ได้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีอยู่ที่ 5.8% เท่านั้นเอง เฮ้ย จริงดิ
แล้วไหนมาดู SET ของเรามั่ง
คำนวณย้อนหลังไป 10 ปี ได้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีอยู่ที่ 15.11% นะคร้าบ เป็นไงล่า อึ้งกันไปเลย 555
คือตอนนั้นเนี่ยเศรษฐกิจบ้านเรากำลังฟื้นตัวจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (ช่วงปี 2008-2009 ในกราฟ) ซึ่งเราไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่ เทียบกับทางอเมริกาที่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตที่โดนไปเต็มๆ SET จึงฟื้นตัวเร็วกว่า และมีผลตอบแทนสูงกว่าในช่วงนั้น
สรุปอีกที การที่เราจะแบ่งเงินไปลงทุนต่างประเทศเนี่ย เหตุผลหลักๆอยากให้มองที่การกระจายความเสี่ยงมากกว่าเน้นผลตอบแทนนะครับ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าผลตอบแทนของประเทศไหน จะดีในช่วงไหน หรือ แย่ในช่วงไหน คือถ้ารู้ก็รวยไปแล้ว 5555
ยกตัวอย่างเช่น การลงจากตำแหน่งประธานาธิปดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะทำให้ S&P500 มีผลตอบแทนที่ลดลงในอนาคต เพราะหนึ่งในนโยบายหลักของทรัมป์ คือการลดภาษีให้บริษัทในประเทศ ซึ่งจุดนี้ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนแล้วว่า ในอนาคตอันใกล้ภาษีจะเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทในประเทศอเมริกาแข่งขันกับต่างชาติลำบากมากขึ้น
ดังนี้แล้ว การกระจายความเสี่ยงไม่ทุ่มลงทุนเยอะๆในประเทศใดประเทศหนึ่ง จะให้ผลดีกว่าในเรื่องของความปลอดภัยของเงินลงทุนในระยะยาว
วันนี้สวัสดีครับ ชุบ ชุบ
ออมให้เงินโต วางแผนการเงินด้วยตัวเอง ใช้ภาษาบ้านๆ เข้าใจง่าย อ่านฟรีครับ
https://bit.ly/3mBhhio
อ่านแล้วมีคำถาม ถามได้ที่เพจตลอดเวลา ยินดีตอบคำถามอย่างมากๆครับผม
https://www.facebook.com/EzyFinPlan
ถ้าอ่านแล้วชอบ สั่งซื้อหนังสือออมให้เงินโตได้จากช่องทางต่อไปนี้นะครับ
Line : @proudorder
คลิก >
https://bit.ly/33z7RLe
หรือ > Lazada : PROUD
คลิก >
https://s.lazada.co.th/s.ZRnKa
1 บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ออมให้เงินโต ภาคกองทุนรวม
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย