6 ธ.ค. 2020 เวลา 04:08 • ประวัติศาสตร์
เล่าสู่กันฟัง​ (5)
การใช้เรือนชะตามีต้นกำเนิด
จากการหาฤกษ์ยามของฝั่งอิยิปต์
หนังสือสี่เล่มของทอเลมี​ (Ptolemy's Tetrabiblos) เป็นหลักฐานยืนยันว่าเมื่อผ่านช่วงต้นคริสต์ศักราช​มาเพียงร้อยปี แม้นักโหราศาสตร์ตะวันตกจะเริ่มปรับมาใช้จักรราศีตามฤดูกาล​(Tropical ​Zodiac) แทนที่จักราศีไม่เคลื่อนที่​ ( Sidereal Zodiac) และการใช้มุมสัมพันธ์ของพระเคราะห์​ (planet aspect) แทนที่มุมสัมพันธ์เชิงราศี​ (zodiacal aspect) แต่ยังใช้ความหมายพระเคราะห์ในการออกแบบคำพยากรณ์​
ส่วนแนวคิดการกำหนดความ​หมายเรือนชะตาขึ้นใช้นั้น​ มีตั้งแต่ครั้งโหราศาสตร์อิยิปต์ที่มีการแบ่งเวลาใน​1 วันออกเป็น​ 36 ยาม​ และมีเพียง​ 8 ยามที่มีการให้นิยามความหมาย ต่อมาเมื่อได้รับอิทธิพลด้านจักรราศีของฝั่งบาบิโลน​ ก็มีการรวม​ 36 ยามให้เหลือ​ 12 ส่วนเพื่อล้อไปกับจักรราศีที่มี​ 12 ราศี​ ใส่ความหมายของ​ 8 ยาม​เข้าไปใน​8 เรือน​ และยุคต่อมาก็ใส่เพิ่มอีก​ 4 พร้อมกับเพิ่มความหมายคนที่เกี่ยวพันกับเจ้าชะตาเข้าไปด้วย​
เมื่อแนวคิดจักรราศีกับเรือนชะตา​ เริ่มเข้ากันได้แล้วจึงเริ่มพัฒนาความหมายของเรือนชะตาให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง​ด้วยการเอาแนวคิดเรื่องดาวเจ้าเกษตร์ราศี​ (Thema Mundi) ผสมเข้าไปในเรื่องดาวเจ้าเรือนในยุคถัดไป​ หลังจากนั้นจึงได้มีการ​ กำหนดความหมายดาวเคราะห์เจ้าเกษตร์ให้กับราศีจักรก่อน​ แล้วต่อมาก็นิยามความหมายให้กับเรือนชะตา​ ที่ล้อกันไปกับแต่ละราศีจักร
ในตำราโหราศาสตร์ยุคต้นที่มีการใช้เรือนชะตาร่วมกับราศีจักร​ พบเห็นได้ในงานเขียนร่วมสมัยที่ชื่อว่าหนังสือห้าเล่ม​ (Pentateuch) ของดอรอเทียส(Dorotheus of Sidon) ที่ขียนลงในรูปบทกวี​ซึ่งต่อมาได้มีการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ​ Carmen Astrologicum ในหนังสือชุดนี้นายดอรอเทียสให้เครดิตองค์ความโหราศาสตร์ว่ามาจากบาบิโลนและอิยิปต์ ในเล่มที่​5 มีการกล่าวถึงเรือนชะตาในการหาฤกษ์​หรือวันเวลาที่เริ่มทำการ​ (commencement) อย่างกว้างขวางจนนักโหราศาสตร์อาหรับในคศต.ที่​ 9 เรียกนายดอรอเทียสว่าเป็นพวกอิยิปต์​ (Dorotheus​ The Egypt)
ในตำราห้าเล่มของดอรอเทียสนั้น​ 2 เล่มแรกกล่าวถึงการพิจารณาดวงชะตาบุคคล​ (จะเกิดเหตุการณ์ใดกับเจ้าชะตา)​ โดยพิจารณาจากดาวเคราะห์​ ความสัมพันธ์เชิงราศี​(ใช้ราศีวัดมุมสัมพันธ์) ที่มีต่อกัน และที่มีต่อ(ราศี)ลัคนา
เล่มที่​3 กล่าวถึงการวิเคราะห์ดวงจรประจำปี​ โดยใช้ดาวเคราะห์ประจำวัย​(Haylaj)​ เป็นดาวเจ้าการ​ และเล่มที่​4 วิเคราะห์ดวงจรประจำปีโดยใช้ดาวเจ้าเรือนลัคนา​ (lord of adcendent) เป็นดาวเจ้าการ​ โดย​นับราศีที่ลัคนาสถิตย์ ให้เคลื่อน​ที่ไป​ 1 ราศีในแต่ละปี​
สุดท้ายเล่มที่​ 5 เป็นการเลือกหรือหาวันเวลาเริ่มต้นทำการ พิจารณาตำแหน่งจันทร์และดาวเคราะห์ที่มีต่อลัคนาเป็นหลัก​ ส่วนจะดีในเรื่องใด​ให้อ่านจากความหมายของเรือนชะตาที่ต้องการทราบ​ เช่นการเริ่มก่อสร้างบ้าน​ จะดีถ้าจันทร์อยู่ในเรือนที่​ 4 และสัมพันธ์ดีกับพฤหัส-ศุกร์​ จะล่าช้าถ้าสัมพันธ์เสาร์​ จะเสียหายจากเพลิงใหม้ถ้าสัมพันธ์อังคาร​ (อีกนัยหนึ่ง​ ถ้าจันทร์ไม่อยู่เรือน​ที่​ 4 ก็ห้ามเริ่มการก่อสร้าง)​
​ให้กู้เงินจะจ่ายคืนหรือไม่​ลัคนาคือเจ้าหนี้​ เรือนที่​7 คือลูกหนี้​ จันทร์และพุธคือผลแห่งหนี้​ หากสัมพันธ์ดีกับเรือนที่​ 7​ (ย่อมดีต่อเรือนลัคนาด้วย)​ มีการจ่ายคืนหนี้ ถ้าพุธสัมพันธ์เสาร์จะถูกหลอกลวงฉ้อโกง​ ถ้าพุธสัมพันธ์อังคารจะเกิดทะเบาะวิวาท​ เปลี่ยนแปลงข้อตกลง​เป็นต้น
นักโหราศาสตร์ประวัติศาสตร์บางท่านยังได้สันนิษฐานว่าเรื่องแนวคิดการหาฤกษ์และกาลชะตาที่พิจารณาจากจักราศีนั้นอิยิปต์นำมาจากอินเดียอีกที​ เพราะในยุคกลางตั้งแต่คศต.9​เป็นต้นมา โหราศาสตร์มีการเฟื่องฟูในอาณาจักรอิสลามสมัยราชวงศ์อับบาสิยะศ์ถึงขั้นมีการเดินทางแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างโหราจารย์ที่อิงกับตำรากรีกโรมัน​(Hellenistic)​ เปอร์เซียอาหรับ​ และอินเดีย​ นักโหราศาสตร์อาหรับ​ จึงนำความรู้เรื่องฤกษ์​ กาลชะตา​และดวงเมือง​มาต่อยอดใส่ไว้ในตำราโหราศาสตร์ของตน แต่ไม่มีต้นฉบับเป็นลายลักษณ์อักษรที่ยืนยันความเก่าแก่​ ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับข้อสันนิษฐานนี้จากฝั่งนักโหราศาสตร์ตะวันตก​
นักโหราศาสตร์ตะวันตกบางท่านก็อ้างงานเขียน​ Yavatajataka​ ของ​ Sphujidhvaja ที่มีการแปลจากกรีกเป็นสันสกฤตราว​ค.ศ.270 ที่เข้าไปแพร่หลายในอินเดีย​ ที่มีการกำหนดคำสันสกฤตเช่นชื่อราศี​ มีที่มาจากภาษากรีก​ มาเป็นหลักฐานว่าโหราศาสตร์อินเดียที่ใช้จักรราศีนั้นรับมาจากกรีก ส่วนฝั่งนักโหราศาสตร์อินเดียจะอ้างว่าองค์ความรู้โหราศาสตร์ในอินเดียมักปิดบังถ่ายทอดเฉพาะคนในตระกูลผ่านทางมุขปาฐะ​ จะให้มีลายลักษณ์อักษรมายืนยันได้อย่างไร​
โดยสรุป​ ในโหราศาสตร์ยุคต้น
ดาวเคราะห์และความหมายดาวเคราะห์จะใช้พิจารณาเหตุการณ์ที่จะเกิดกับเจ้าชะตา
ส่วนลัคนา​ เรือนชะตาและความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์จะใช้พิจารณาฤกษ์(วันเวลาเริ่มต้นกระทำการ)​ของกิจกรรมที่เจ้าชะตาต้องการทำ
ดังนั้นความหมายของเรือนชะตาจึงถูกผูกเข้ากับเวลาที่กำหนดในแต่ละวัน​ ไม่ได้ขึ้นกับตำแหน่งดาวในทางจักรราศีแต่อย่างใด​ และนี่เป็นแนวคิดมูลฐานทำให้นักโหราศาสตร์ฝั่งตะวันตกต้องมีการสร้างดวงชะตา​จรแบบทุติยภูมิ(Secondary) แบบต่างขึ้นมาในภายหลังไม่ว่าจะเป็นดวงประเภท​ Progression หรือ​ Direction ที่​ derived มาจากดวงชะตาเกิด​ (Natal) อีกทีหนึ่ง​ และดวงชะตาประเภทนี้ก็ไม่ได้อ้างอิงจากตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้าอีกต่อไป​ (เพราะเกิดจากการคำนวณ)
ทำให้แนวคิดของนักโหราศาสตร์ในยุคหลังเริ่มเปลี่ยนไปจากการพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าชะตา​ (ที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้)​ มาเป็นการหาระยะเวลาที่ดี​ และหลีกเลี่ยงระยะเวลาที่ไม่ดี​ (ต่อรองกับนายเวลาได้)​
เมื่อโลกพัฒนาขึ้น​ ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากขึ้น​ ก็ดูเหมือนช่วงเวลาที่ดี​ (หมกมุ่นกับสิ่งอำนวยความสะดวก​ฆ่าเวลาจนลืมสังเกตุสิ่งแวดล้อมรอบข้าง)​ จะมีระยะเวลามากขึ้นกว่าช่วงเวลาไม่ดี​ (อดอยาก​ขาดแคลน​ ป่วยตายไม่รู้สาเหตุ​ โกหกหลอกลวงคดโกงเพราะไร้ทางเลือก​ ทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายคล้ายสัตว์เพราะไม่มีกฏระเบียบไม่รู้จิตวิทยา​และอื่นๆ)​
โหราศาสตร์ก็ถูกลดน้ำหนักความสำคัญลงเป็นเพียงวิชาปลอบใจ​คน​ เป็นการทายทักแนวโน้มที่จะเกิดกับเจ้าชะตา​ (เป็นทางเลือกตามศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละดวงชะตา​ที่เจ้าชะตา​ต้องตัดสินใจทำหรือไม่ทำ)​ มีการใช้ยืมศัพท์​จิตอิสระ​ (Freewill) จากปรัชญาคริสเตียนมาตีความใหม่​ ให้กว้างขวางออกไปมากขึ้น​ ทำให้ศักยภาพและจิตอิสระของมนุษย์นั่นมีอำนาจมากมายมหาศาลเกินข้อจำกัดของโชคชะตา​ (destiny) ถึงขั้นสามารถกำหนดขีวิตตนเองได้โดยอิสระ​ โหราศาสตร์ก็จึงต้องหมดความจำเป็นลงไป
โหราทาส
๖ ธันวาคม​ ๒๕๖๓

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา