9 ธ.ค. 2020 เวลา 22:54 • ปรัชญา
๑๑.เค้าขวัญวรรณกรรม : ไซอิ๋ว
ท่านผู้แต่งได้ซ่อนเพชรพลอยไว้ ทั้งในแง่วรรณศิลป์และส่วนลึกซึ้งทางจิตใจ ในคำสนทนาของเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง และพระถังซัมจั๋ง กับทั้งตัวประกอบอื่น นี้โสตหนึ่ง ส่วนความเยี่ยมยอดนั้นกลับไปอยู่ที่โครงสร้างของการเดินทางฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้นจนจบตามเนติธรรมเนียมแห่งการแต่งมหากาพย์
3
หากว่าพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้วจะพบว่า ไซอิ๋ว ได้รับอิทธิพลจาก รามายณะ ยวนฉ่าง (องค์จริงในทางประวัติศาสตร์) ได้กลับจากอินเดียหลังจากที่ท่านได้ใช้ชีวิตอยู่ถึง ๑๐ ปีกว่า พระตรีปิฎกแห่งราชวงศ์ถัง ผู้เป็นยอดนักศึกษาคงจะเป็นภาชนะใหญ่บรรทุกฮินดูธรรมและพุทธธรรมไปกำนัลแผ่นดินจีน
ท่านผู้รจนาคงรับทราบถึงความวิเศษของมหากาพย์ของชาวอินเดีย คือ มหาภารตยุทธ์ รามายณะ ฯลฯ แล้วคงเป็นเหตุบันดาลใจให้กวีจีนผู้นี้รจนาขึ้นบ้างดังที่เราได้เห็นชัดว่า เห้งเจียนั้นถอดแบบมาจากหนุมานทุกประการ ข้อต่างอยู่ที่ หนุมานของอินเดียนั้น เป็นอุปมาแห่งพลังภักตะ (ภักดี) ต่อองค์พระราม (คือสัจจะ) ในการยกทัพไปช่วงชิงสีดา (อาตมัน) จากราวณะ (อหังการ์ ) ซึ่งเป็นคติธรรมทางฮินดู
รามายณะ ที่ท่านมหาโยคีวาลมิกิรจนาขึ้นนั้น เป็นการอธิบายเรื่องของจิตวิญญาณที่ได้หุ้มเรื่องจริง คือประวัติของรามจันทราแห่งอโยธยา วาลมิกิได้แปลงให้รามจันทราเป็นสัจจะ เช่นเดียวกับหลวงจีนยวนฉ่าง ผู้ทรงเกียรติคุณได้ถูกแปลงเป็นขันติ เห้งเจียของจีนนั้นเป็นโพธิปัญญา โป๊ยก่ายนั้นคือศีล และซัวเจ๋งนั้นก็คือสมาธิ
รามายณะ นั้นดำเนินเรื่องสงครามระหว่างสัจจะ (รามจันทรา) กับอหังการ์ (ราวณะ,ทศกัณฐ์) เช่นเดียวกับ มหาภารตยุทธ์ กำหนดให้การเดินป่าเป็นความเป็นไปในท่ามกลางของการปฏิบัติธรรม ส่วนไซอิ๋ว ให้เป็นการเดินทางผ่านป่าทุรกันดาร ผจญภูตผีปีศาจนานา
ทั้งสามมหากาพย์นี้เป็นการนำเอาเรื่องจริงในประวัติศาสตร์มาห่อหุ้มใหม่ พร้อมกับดัดแปลงตัวละครให้เป็นคุณค่าทางศีลธรรม หรือโลกุตรธรรม วีรบุรุษเหล่านั้นในมหากาพย์ถูกปัดความเป็นคนออกไปสิ้นเหลือแต่ความเป็นทิพยลักษณะ (Divinity) สำหรับฮินดูธรรม และเป็นคุณธรรมหรือบารมีสำหรับพุทธธรรม
มีอยู่หลายตอนที่ท่านผู้แต่งหยิบมาจาก รามายณะตรง ๆ เช่น ใน รามายณะผู้แต่งหยิบมาจาก รามายณะตรง ๆ เช่น ใน รามายณะ หนุมานไปพบนางสีดาในสวน แล้วไม่สามารถอุ้มนางมาได้เพราะจะเป็นมลทินแก่นาง (รามเกียรติ์ ไทย นิยมเรียกตอนนี้ว่า หนุมานถวายแหวน) ซึ่งแท้จริงมีความหมายมากกว่านั้น ซึ่งจะเฉลยรวมกับ ไซอิ๋ว ในตอนเห้งเจียตีลังกาไปหาพระยูไล แล้วไม่สามารถรับพระไตรปิฎกกลับมาเมืองจีนได้นั่นเอง เพราะว่าต้องรอให้ปัญญาหรือโพธิจิตนี้ ได้มีบารมีอื่นสนับสนุน และที่สำคัญต้องผ่านการฆ่าปีศาจ นั้นคือชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้แล้วจึงจะได้รับวิมุตติ มิใช่ว่าจะเข้าถึงได้ด้วยสักแต่การคิด ๆ นึก ๆ ตามแบบอย่างวิธีการของปรัชญา
ในไซอิ๋ว ทั้งคณะต้องผจญปีศาจฉันใด พระรามก็ต้องจองถนนไปลงกาฉันนั้น ลำพังจะให้เห้งเจียเข้าถึงพุทธะก็ได้ แต่ไม่สามารถตั้งมั่นอยู่ได้ เพราะยังไม่รู้อริยสัจตามที่เป็นจริง หรือตัวอย่างที่เราอาจจะเห็นได้ดีว่า แม้ความรู้เรื่องสุญตาหรือความว่างถูกต้องแล้ว แต่ยังต้องเป็นทุกข์กระสับกระส่าย เรื่องทั้งนี้ก็เพราะว่านั่นยังเป็นเพียงความรู้เฉยๆ ยังหาใช่ญาณจักษุในอริยสัจไม่ ต่อเมื่อชีวิตผ่านการสู้รบกับภูติผีปีศาจแล้ว จึงจะเป็นสัจจะที่มั่นคงขึ้น
การตีลังกาไปหาพระยูไลนั้น แม้จะเป็น “ฤทธิ์” แต่เป็นสิ่งชั่วคราว นั่นคือจะทำเป็นเข้าถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่นเอาดื้อๆ พาลๆ นั้นไม่ได้ แต่การรู้จักพระยูไลแม้ด้วยการตีลังกาไปก็ยังเป็นหลักประกันที่แน่นอนว่า เห้งเจียไม่เคยหลงยึดถือหรือหลงกลปีศาจตัวไหน เพราะได้รู้จักพุทธภาวะถูกต้องดีมาก่อนนั่นเอง
ดังนั้นการตีลังกาไปหาพระยูไลเมื่อคราวอับจนนั้นก็คือการทำให้ว่างจากความยึดมั่นด้วยอุปาทาน ก็พลันถึงพุทธภาวะแม้เป็นการชั่วคราว ปีศาจคือกิเลสก็พ่ายแพ้ไปได้เช่นกัน ในตอนเห้งเจียสู้รบกับลักฮี้เกา (ภวตัณหา) นั้น เห็นเค้าพาลีรบสุครีพอยู่ชัดเจน
ในส่วนอรรถของปริศนาก็วิเศษตรงอุปมาว่า ความอยากเป็นพระอรหันต์นั้นเป็นภวตัณหา ปัญญาที่จะละภวตัณหา จึงสู้รบกันเอิกเกริก เพราะไม่สามารถแยกออกว่า ไหนเป็นปัญญา ไหนเป็นภวตัณหา จนพระยูไลต้องเสด็จไปตัดสิน
ตอนปราบปีศาจไซท่อ (สิงโต) ของพระกวนอิมนั้น มเหสีของพระเจ้าแผ่นดินจูจี๊ก๊กได้รับเสื้อหนามพุงดอสวม ปีศาจจึงเข้าใกล้มิได้ ดูเค้าจะเลียน รามายณะ ที่ทศกัณฑ์จะเข้าใกล้สีดาก็ให้รุ่มร้อนดังเข้าใกล้ไฟ
ที่เมืองปีเปี๊ยกก๊ก เห้งเจียแหวกอกให้ดูว่าไม่มีใจ นี้ในส่วนความหมายตามวิธีหรือตามทางแห่งมหายานนั้น มีความหมายวิเศษว่า “พระนั้นต้องไม่มีใจ” และในส่วนอิทธิพลหรือที่มา ยืมมาจากตอนที่หนุมานแหวกอกให้ทศกัณฐ์ดู ในคราวที่ทศกัณฐ์เกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพวก ในใจของหนุมานมีแต่ สีดา-ราม เท่านั้น ส่วนพุทธนั้นในใจของพระโยคาวจรหรือภิกษุ จะต้องมีแต่ความว่างจากตัณหาอุปาทาน
นอกจาก ไซอิ๋ว หยิบยืมออกมาจาก รามายณะ แล้ว ยังมีเรื่องราวที่หยิบเอามาจากบันทึกการเดินทางของพระสมณะยวนฉ่าง (ตามทางประวัติศาสตร์) มาผสมผสานลงด้วย อย่างเช่นเหตุการณ์ตอนพระสมณะยวนฉ่างไปพบเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่ท่านได้บันทึกไว้ก็ถูกนำมาใส่ไว้ ตอนหนอน ๙ หัว (มละ ๙)
บันทึกเรื่องราวการตกแต่งประทีปอันงดงามที่เมืองหนึ่ง ได้กลายมาเป็นตอนปีศาจควายปลอมมาเป็นพระพุทธเพื่อขโมยน้ำมันจันทน์ เมื่อพระสมณะยวนฉ่างถูกโจรปล้น ก็ถูกนำมาไว้ในไซอิ๋ว หลายตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนหลวงจีนยวนฉ่าง (องค์จริงทางประวัติศาสตร์) บันทึกถึงการเดินทางที่ท่านนำพระคัมภีร์ข้ามแม่น้ำสินธุแล้วเกิดเรือล่ม ทำให้อักขระเลือนหายไป จนท่านต้องเสียเวลาคัดลอกใหม่จนครบ ก็ถูกนำมาไว้ในไซอิ๋วในฐานะ “ธรรมที่คัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้”
ซึ่งพอจะประมวลได้ว่า ไซอิ๋ว เป็นเรื่องอิงประวัติศาสตร์ผสมผสานกับมหากาพย์รามายณะ ส่วนสำคัญที่สุดก็คือ ท่านผู้รจนาเป็นผู้แตกฉานรอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านพุทธธรรม เนื้อหาของพระสูตรมากมายถูกนำมาแทรกไว้ตลอด ทั้งเต๋า ทั้งพุทธ ทั้งธรรมเนียม ทั้งภาษิตโบราณ คลุกเคล้ากันไปอย่างสนใจยิ่ง ผู้รู้ภาษาจีนเป็นอย่างดีผู้หนึ่งชี้ให้ข้าพเจ้าได้ทราบว่า แม้แต่ในแง่ภาษาที่แต่งก็มีความไพเราะลึกซึ้งยิ่งนัก ไซอิ๋วจึงแพรวพราวไปด้วยคุณค่ารอบด้าน
ความเยี่ยมยอดและวิเศษของไซอิ๋ว ที่ไม่เหมือนวรรณกรรมอื่นอยู่ที่ ผู้อ่านจะต้องลืมความเป็นคนให้หมด ไม่มีพระถังซัมจั๋ง ไม่มีพระเจ้าหลีซิบิ๋น ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีลิงเห้งเจีย ไม่มีหมูโป๊ยก่าย ไม่มีเงือกซัวเจ๋ง มีแต่ คุณะ หรือค่าที่ยืมชื่อของบุคคลในประวัติศาสตร์มาเรียกเท่านั้น มิฉะนั้นความที่ ไซอิ๋ว นั้นซับซ้อนนั่นเองจะปกปิดอรรถรสเสียหมด แล้วท่านผู้อ่านเองจะเป็นฝ่ายลดระดับค่าของวรรณกรรมนี้ลง
ขณะที่อ่านนั้น เรามักจะเผลอไปจากระนาบนี้ เพราะว่าพระพุทธองค์ที่ประทับอยู่ที่วัดลุยอิมยี่นั้น ก็หาใช่พระพุทธเจ้าทางกายภาพไม่ แต่กลับเป็นพุทธภาวะ และดังนั้นขันติคุณแห่งชีวิต (พระถัง) ที่อาศัยโพธิจิต (เห้งเจีย) และบารมีอื่นประกอบสนับสนุน จึงได้บรรลุถึงพุทธภาวะ
สมัยใดที่เห้งเจียไม่นำทางให้โป๊ยก่าย (ศีล) นำ คือจูงม้า (วิริยะ) โป๊ยก่ายจะนำเข้ารกเข้าพงเข้าถ้ำผีจนถูกกักขัง และรอให้เห้งเจีย (ปัญญา) มาช่วยปลดปล่อย ดังนี้ เป็นต้น แม้แต่เจดีย์ หาบห่อ ต้นไม้ ภูเขา ถ้ำ ลำธาร และอาวุธวิเศษต่าง ๆ ก็ล้วนเป็นความหมายทางธรรมทั้งสิ้น และที่ยิ่งไปกว่านั้นพระสงฆ์ก็หาได้หมายถึงพระสงฆ์ไม่ กลับหมายถึงเจตสิกธรรม
ในขณะที่อ่านไซอิ๋วเป็นปริศนานี้ ท่านจะพบกับความขบขันในปริศนาธรรมขั้นลึก ความขบขันที่โพธิปัญญาดูหมิ่นดูแคลนศีล หรือว่าโพธิปัญญาทะเลาะกับขันติที่มันเอาแต่จะทนฝ่ายเดียว มิได้เชื่อโพธิในการฆ่ากิเลส อรรถรสในปริศนาธรรมที่ไม่มีคน ไม่มีสัตว์นี้ช่างแสนสนุกตรงที่ได้นึกทายหรือคาดการณ์ว่าปีศาจตัวนี้ คือกิเลสตัวไหนหนอ และปัญญาจะผ่านปีศาจได้อย่างไรหนอ เมื่อกระทำในใจเพื่อที่จะอ่านไซอิ๋วเช่นนี้ จะได้ความหรรษาในธรรมสโมธานอย่างลึกซึ้ง
ผู้อ่านจะพบว่าการอ่าน ไซอิ๋ว เป็นดุจการได้สนทนากับชีวิต ไซอิ๋ว จึงเป็นคัมภีร์ที่ลึกซึ้งเท่า ๆ กับความเป็นวรรณกรรม เพราะท่านผู้แต่งได้รวบรวมเอาเนื้อหาในพระสูตรไว้หลายสิบสูตร ชื่อของถ้ำปีศาจและชื่อของภูเขาและพรรณไม้รอบ ๆ ถ้ำจะเป็นกุญแจไขข้อธรรม น่าเสียดายว่า ไซอิ๋ว ฉบับไทยนั้นไม่คงเส้นคงวาในการแปลชื่อเท่าใดนัก
ข้าพเจ้าได้เคยเข้าใจคลาดมาหลายระดับ แม้แต่เคยเข้าใจว่า เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง คือ ราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งถ้าพิจารณานิสัยของสัตว์ทั้งสามก็คงจะใกล้เคียงมาก ครั้นต่อมาครูของข้าพเจ้าได้ชี้ขึ้นว่า ที่แท้สัตว์ทั้งสาม นั้นคือ ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นเอง โพธิก็ยังเถื่อน ศีลก็ยังทุศีล และสมาธิก็ยังซึมกะทืออยู่ ครั้นต่อมา เมื่อ ศีล สมาธิ ปัญญา ประชุมพร้อมกันแล้ว ถึงเขตโลกุตระ ทั้งสามตัวเริ่มเข้าร่องเข้ารอยกันได้
หากจะถือว่าทั้งสามสัตว์ คือ ราคะ โทสะ โมหะ แล้วพระถังซัมจั๋งจะอาศัยไปไซที (นิพพาน) ได้อย่างไร ดูขัดเขินกว่าที่จะลงเห็นว่าเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ ที่ยังเป็นโลกียะอยู่ ต่อมาเมื่อได้พิจารณาถี่ถ้วน หรือว่าท่านผู้อ่านไซอิ๋วจนจบเรื่องนั่นแหละ จึงจะมีความเห็นร่วมกับข้าพเจ้าเป็นแน่
เคยตีพิมพ์ในคำนำหนังสือ “ลิงจอมโจก” ของเขมานันทะ
ขอบคุณภาพ: อินเทอร์เน็ต

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา